JUNK FOOD FABLE (2020, Theerapat Wongpaisarnkit, 63min, A+30)
1.ชอบมาก
รู้สึกว่าหนังมันมีความประหลาดในแบบที่เป็นตัวของตัวเองดี
2.ดีใจที่หนังทั้งเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่าง MGB: SOFTWHERE (2018, Theerapat
Wongpaisarnkit) 555 เพราะเราว่า MGB: SOFTWHERE มันดูหนักข้อเกินไปสำหรับเรา มันดูนิ่ง ช้าเกินไปสำหรับเรา
คือจริงๆแล้วเราก็ชอบ MGB: SOFTWHERE มากในระดับนึงนะ
แต่ก็รู้สึกว่าอยากดูอะไรที่มันสนุกกว่านี้น่ะ เราก็เลยดีใจที่ JUNK FOOD
FABLE มันไม่ได้นิ่ง ช้าแบบนั้นตลอดทั้งเรื่อง
ตัวหนัง JUNK FOOD FABLE ก็ได้นำเอา MGB: SOFTWHERE มาใช้ในช่วงต้นเรื่อง ก่อนที่เนื้อเรื่องจะพลิกไป
เราไม่แน่ใจว่าเนื้อหาในส่วนที่เป็น MGB: SOFTWHERE หมายถึงอะไร
แต่มันทำให้เรานึกถึงประเทศไทยที่ไม่เดินหน้าไปไหนสักที
เหมือนถูกแช่แข็งให้อยู่ในอดีต ไม่มีทางไปถึงวันพรุ่งนี้ได้ ชีวิตแต่ละคนเหมือนไปไม่ถึงจุดหมาย
555
3.ชอบการเล่นกับนักแสดง เหมือนมีนักแสดง 2 คนที่ต้องเล่นคนละ 3 บท
นั่นก็คือรับบทเป็นตัวละครใน MGB: SOFTWHERE (ซึ่งกลายเป็น part
ที่เรียกว่า STICKY NIGHT ใน JUNK FOOD
FABLE) , รับบทเป็นสมาชิกวง ONION RING และรับบทเป็นผู้กำกับ
MV กับกลุ่มเพื่อน
การที่นักแสดงคนเดียวกันต้องรับบทถึง 3 บทในหนังเรื่องนี้
มันช่วยสร้างความแปลกประหลาดพิสดารในหนังได้ดี เหมือนมันเบลอเส้นแบ่งระหว่าง “คนที่อยู่หน้ากล้อง”
กับ “คนที่อยู่หลังกล้อง”, คนธรรมดา กับดารา, ตัวละครในเรื่องแต่ง กับผู้ชมเรื่องแต่ง,
ความจริง กับจินตนาการ, ความจริง กับ ความใฝ่ฝัน
และมันช่วยให้โลกในหนังเรื่องนี้กลายเป็นจักรวาลที่แปลกประหลาดเฉพาะตัว
4.บทสนทนาในหนังก็แปลกประหลาดดีมาก
5.การตัดต่อก็ประหลาดดี ชอบฉากขยี้โดนัทจนเละคามือ
ซึ่งเหมือนใส่เข้ามาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
6.สิ่งที่ติดใจมากๆในหนัง คือการที่ตัวละครเหมือนจะหาเวลานอนไม่ได้
และคาดหวังว่าตัวเองจะได้นอนก็เมื่อได้ขึ้นเครื่องบิน
No comments:
Post a Comment