Friday, April 17, 2020

THE MUDGUARD AND A LONELY MONKEY (2020, Wichanon Somumjarn, 78min, A+30)


THE MUDGUARD AND A LONELY MONKEY (2020, Wichanon Somumjarn, 78min, A+30)

1. หนังเรื่องนี้มันคืออะไร 55555 ประหลาดดี ชอบความ organic, free form, freestyle ของมัน แต่ถ้าถามว่าหนังเรื่องนี้ดีไหม เราก็คงตอบไม่ได้ เพราะมันตอบได้ยากว่าหนังเรื่องนี้มีคุณค่าอะไรบ้างหากจะวัดจาก “บรรทัดฐานแบบดั้งเดิม” อย่างเช่น การเล่าเรื่องสนุก, การให้สาระความรู้, ความงดงามเชิงกวี, การสร้างอารมณ์ซาบซึ้งสะเทือนใจ อะไรแบบนี้ ซึ่งดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะไม่มีสิ่งเหล่านี้ให้ 555

2.เข้าใจว่าหนังเรื่องนี้เหมือนจะเป็นบันทึกของผู้กำกับขณะ research ข้อมูลเพื่อนำไปทำเป็นหนังยาวอีกเรื่องในภายหลังนะ เพราะฉะนั้นตอนแรกเราก็เลยนึกว่าหนังเรื่องนี้อาจจะมีความเป็น “สารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำ” เหมือนกับหนังอย่าง IN PUBLIC (2001, Jia Zhangke, China), THE EIGHTIES (1983, Chantal Akerman, Belgium), MALADY DIARY (2004, Teekhadet Vucharadhanin), THE COLOUR OF WORDS: INDIA SONG (1984, Jerome Beaujour, Jean Mascolo) อะไรทำนองนี้

แต่ปรากฏว่าแทนที่หนังเรื่องนี้จะนำเสนอ “เบื้องหลังการถ่ายทำ”  อย่างตรงไปตรงมา หนังเรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยฉากที่ไม่รู้ที่มาที่ไป หรือฉากที่เราไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร อยู่หลายฉาก มันเหมือนกับว่าความเป็น “สารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำ” หรือ “สารคดีบันทึกชีวิตของผู้กำกับขณะพยายามจะทำหนังใหม่” เป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งในหนังเรื่องนี้เท่านั้น หนังเรื่องนี้ยังมีองค์ประกอบส่วนอื่นๆผสมเข้ามาด้วย และนั่นก็เลยทำให้หนังเรื่องนี้หลุดพ้นจากความเป็นหนังสารคดีธรรมดา และดูมีความเป็นหนังทดลองแบบ freestyle มากกว่า

3. ส่วนที่ดูแล้วเข้าใจง่ายที่สุดในหนังเรื่องนี้ คงเป็นส่วนที่หนังนำเสนอการเดินทางเยือนสถานที่สำคัญต่างๆ อย่างเช่น กู่บ้านนาคำน้อย ที่ดูเหมือนจะเป็นซากปราสาทขอมโบราณ (ชอบส่วนนี้อย่างสุดๆ) , พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง และนิทรรศการอะไรสักอย่าง ที่นำเสนอโลกอนาคตของขอนแก่น มันเหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้พาเราซึ่งเป็นคนนอก เข้าไปสำรวจทั้งอดีต, ปัจจุบัน และอนาคตของขอนแก่น เราได้เห็นทั้งอดีตหลายล้านปีก่อน (ไดโนเสาร์), อดีตเมื่อพันปีก่อน (ปราสาทขอม), ปัจจุบัน (ภาพวิวทิวทัศน์ต่างๆของขอนแก่นในหนังเรื่องนี้) และอนาคตของขอนแก่นในหนัง

4.ส่วนที่เป็น “ปัจจุบัน” ของหนังเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงหนังของกลุ่มสำนักงานใต้ดิน/Teeranit Siangsanoh/Wachara Kanha อะไรทำนองนี้ 555 เพราะหนังของกลุ่มสำนักงานใต้ดินหลายๆเรื่อง อย่างเช่น สูญ (LOSE) (2011, Wachara Kanha, 70min), ผีโป่ง (2010, Wachara Kanha, 30min), ผู้บุกรุก (2011, Wachara Kanha, 90min) มันเหมือนเป็นการบันทึกความประทับใจของผู้กำกับที่มีต่อสถานที่ต่างๆเอาไว้เหมือนกันน่ะ และมันถ่ายทอดออกมาในสไตล์ของหนังทดลองเหมือนกัน แทนที่จะถ่ายทอดออกมาเป็น video diary ที่เล่าเรื่องตรงไปตรงมา หรือถ่ายทอดออกมาเป็นสารคดีท่องเที่ยวอย่างตรงไปตรงมา

คือใน THE MUDGUARD AND A LONELY MONKEY มันอาจจะมีส่วนที่ดูเป็น video diary ที่น่าประทับใจอยู่ด้วย อย่างเช่นฉากที่ถ่ายปลาอะไรสักอย่างที่อาศัยอยู่ใต้หนองน้ำที่แห้งขอด, ฉากที่ถ่ายต้นมะม่วงมหาชนก, ฉากที่ถ่ายมดไต่ต้นไม้, ฝูงควายกินหญ้า อะไรทำนองนี้

แต่มันก็จะมีความเป็นหนังทดลองแทรกเข้ามาในหนังเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน อย่างเช่น ฉากที่กล้องลงไปดำผุดดำว่ายอยู่ในลำน้ำชีโดยไม่มีสาเหตุ หรือการใส่ดนตรีประกอบเฮี้ยนๆเข้ามาในฉากพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ โดยในฉากนั้นลำโพงขวาจะเหมือนเป็นเสียงดนตรีไทยโบราณ แต่ลำโพงซ้ายจะเป็นดนตรี ambient หลอนๆ

การถ่ายทอดความประทับใจต่อสถานที่ต่างๆออกมาในสไตล์ video diary บวกหนังทดลองแบบนี้ ก็เลยทำให้เรานึกถึงหนังของสำนักงานใต้ดิน เพราะหนังของสำนักงานใต้ดินบางเรื่องก็จะเป็นการบันทึกความประทับใจขณะไปเที่ยวป่า หรือเที่ยวทะเล แต่แทนที่จะบันทึกมันอย่างตรงไปตรงมา ผู้กำกับก็มักจะใส่ฉากที่เป็น fiction เข้าไปด้วย มีการสร้างเรื่องแต่งบางๆ เข้าไปในหนังด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เราก็ดูแล้วไม่รู้เรื่องแต่อย่างใด 555

5.ฉากที่เฮื้ยนที่สุด และอาจะเป็นฉากที่เราชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ ก็คือฉากที่เราไม่รู้ว่าเราดูอะไรนานราว 10 นาที มันเหมือนหนังให้เราจ้องกลุ่มก้อนวัตถุขมุกขมัว กลุ่มก้อนสีอะไรบางอย่างเป็นเวลานานมาก พร้อมกับฟังเสียงดนตรีไปด้วย ก่อนที่ในช่วงท้ายของฉาก เราถึงจะพอมองออกว่า วัตถุแต่ละชิ้นในฉากนั้น มันมีอะไรบ้าง และมันจัดวางอย่างไร มันถึงเกิด effect ด้านภาพ, แสง, สี ที่ประหลาดแบบนั้นออกมา

คิดว่าฉากนี้คงคล้ายๆกับเป็นการทดลองด้านภาพของผู้กำกับมั้ง มันให้อารมณ์ดิบๆ หลอนๆ ประหลาดดี นึกว่าอยู่ในทศวรรษ 1960 ยุคของ Stan Brakhage, Andy Warhol อะไรทำนองนี้

ความประหลาดของฉากนี้ ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง “มารเกาะกุมนครหลวง” (THE DEVIL RULES THE CAPITAL CITY) (2001, Manussak Dokmai, 13min) ด้วย เพราะ”มารเกาะกุมนครหลวง” ก็เป็นหนังที่ให้เราจ้องก้อนวัตถุอะไรก็ไม่รู้เป็นเวลานานมากเหมือนๆกัน 555

6.สรุปว่าก็ชอบหนังเรื่องนี้มากๆแหละ คิดว่าคนที่ชอบหนังที่ดู “อิสระ” มากๆ แบบหนังของ Wachara Kanha และ Phaisit Phanphruksachat ก็อาจจะชอบหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยากเหมือนกัน

No comments: