Tuesday, May 24, 2022

MENTAL-VERSE AND MY LIFE

 

UPDATE ข้อมูลในโพสท์นี้ เกี่ยวกับหนังที่มีอะไรพ้องกันอย่างน่าประหลาดใจ และออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยคราวนี้เราเพิ่มรายชื่อหนังใหม่เข้าไปอีก 3 คู่ คู่แรกเป็นคู่หนังฮ่องกงที่คุณ Rock Leenut เคยแนะนำมา ส่วนคู่ที่สองคือ  SHOCK WAVE 2 (2020, Herman Yau, Hong Kong) กับ DETECTIVE CONAN: THE SCARLET BULLET (2021, Tomoka Nagaoka, Japan, animation) เพราะหนังสองเรื่องนี้พูดถึงการก่อวินาศกรรมโดยใช้รถไฟเป็นอาวุธเหมือนกัน โดยที่ผู้ร้ายกระทำไปเพราะความแค้นที่มีต่อความอยุติธรรมที่ไม่ได้รับจากองค์การตำรวจเหมือนกัน และคู่ที่สามคือ DOCTOR STRANGE IN THE MULTIVERSE OF MADNESS (2022, Sam Raimi) กับEVERYTHING EVERYWHERE ALL AT ONCE (2022, Dan Kwan, Daniel Scheinert) เพราะหนังสองเรื่องนี้พูดถึง multiverse เหมือนกัน, ต้นตอของปัญหาก็เกิดจาก “ความเป็นแม่” เหมือนกัน และตัวละครในทั้งสองเรื่องก็มี “ตาที่สาม” ในบางช่วงของหนังด้วย 55555

 -------------------

MENTAL-VERSE จักรวาลใจ (2022, Wattanapume Laisuwanchai, video installation, A+30)

 

สรุปว่าไม่ได้เขียนเกี่ยวกับหนัง แต่เขียนเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง และเขียนคุยกับตัวเองถึงเรื่องบ้าบอต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ 55555

 

1.ชอบความสั่นไหวของจอฉายภาพมาก ๆ เราเขียนถึงประเด็นนี้ไปแล้วที่นี่

 

https://web.facebook.com/jit.phokaew/posts/pfbid051naMCmc292xyvg3gu1eR434JAJaDxyAQggxzUp6FfLpYw6DbR8tGmaVtEtgkjTal

 

2.ชอบหนังอย่างสุด ๆ รู้สึกเหมือนได้กำลังใจในการมีชีวิตอยู่อย่างรุนแรงมาก ๆ เพราะถ้าหากเราต้องเจอประสบการณ์ชีวิตแบบ subjects ทั้ง 3 คนในหนังเรื่องนี้ เราอาจจะฆ่าตัวตายไปนานแล้วก็ได้

 

คือเหมือนประสบการณ์ของทั้ง 3 คนในหนังเรื่องนี้ มันมีบางส่วนที่ relate กับเราน่ะ แต่เราไม่อยากเล่าเรื่องบางเรื่องในชีวิตส่วนตัวของเรา เราก็เลยไม่ขอเล่าก็แล้วกันนะ แต่บอกได้เลยว่า หนังเรื่องนี้มันทำให้นึกถึงชีวิตของตัวเราเองมาก ๆ

 

เราเองก็เคยคิดฆ่าตัวตายบ่อย ๆ ในวัยเด็ก แต่เราก็ไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้านะ พอมาดูหนังเรื่องนี้แล้วก็เลยสงสัยว่า หรือเป็นเพราะสิ่งที่เราเคยเจอในวัยเด็ก มันไม่ได้หนักหนาสาหัสแบบพวกเขา เราก็เลยรอดจากโรคซึมเศร้าหรือโรคทางจิตที่รุนแรงต่าง ๆ มาได้ (จริง ๆ เราก็คิดว่าเราก็อาจจะเป็นโรคจิตนะ แบบโรคอยากมีลูกเป็นตุ๊กตาหมี แต่มันคงไม่ได้ถือเป็นโรคจิตแบบรุนแรงมั้ง 555)

 

อีกปัจจัยหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า ตอนเป็นวัยรุ่นเรามี “กลุ่มเพื่อน” ด้วยมั้ง คือเหมือนพอเรามีกลุ่มเพื่อน มันก็เลยเหมือนมี OASIS กลางทะเลทรายที่ทำให้ความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายลดลง คือถ้าหากเราไม่มีกลุ่มเพื่อน เราก็คงรู้สึกว่าตัวเองเดินอยู่กลางทะเลทรายที่ไม่มีแหล่งพักพิงใด ๆ เลย และเราคงจะฆ่าตัวตายไปนานแล้ว แต่พอเรามีกลุ่มเพื่อนที่อาจจะนัดเจอกันสัปดาห์ละครั้ง มันก็เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า เราเดินอยู่กลางทะเลทรายที่มี oasis เล็ก ๆ รออยู่ทุก ๆ 100 กิโลเมตร และพอเรารู้ว่ามันมี oasis รออยู่ทุก ๆ 100 กิโลเมตร เราก็เลยมีกำลังใจเดินข้ามทะเลทรายไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ได้ในตอนนั้น

 

แต่เราเข้าใจว่า subjects ในสองเรื่องแรกของ MENTAL-VERSE อาจจะไม่ได้มีที่พักพิงทางใจแบบเราในช่วงวัยรุ่นก็ได้มั้ง ชีวิตของพวกเขาก็เลยหนักกว่าเรามาก ๆ ในหลายๆ ด้าน คือขนาดเรามีกลุ่มเพื่อน เรายังเคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้งหลายหน แล้วถ้าหากชีวิตของเราต้องเจอแบบ subjects ในหนังเรื่องนี้ เราอาจจะไม่มีชีวิตรอดก็ได้

 

บางทีเราก็คิดว่า อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารอดชีวิตมาได้ อาจจะเป็นเพราะพ่อเราตายด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่เราอายุ 3 ขวบด้วยแหละมั้ง เราก็เลยไม่รู้หรอกว่าพ่อเราเป็นคนยังไง แต่ถ้าหากเรามีพ่อที่เป็นเผด็จการ กดขี่ลูก ๆ เลี้ยงดูลูกด้วยความเข้มงวด และมีปัญหากับความเป็นเกย์ของเรา เราก็คงมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นมาในชีวิตอีกมากมายหลายเท่า และเราอาจจะฆ่าตัวตายไปนานแล้วก็ได้ หรือถ้าหากพ่อเราเป็นคนใจดี ชีวิตเราอาจจะดีกว่านี้ก็ได้ เราก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน (มันไม่มี multiverse ให้เราไปแอบดูว่า ในอีกจักรวาลนึง ถ้าหากพ่อเรายังคงมีชีวิตอยู่ เราคงฆ่าตัวตายไปแล้วตั้งแต่เด็ก หรือชีวิตเราอาจจะดีกว่านี้)

 

3.เสียดายที่เราพลาด ไม่ทันได้ดูช่วงต้น ๆ ในพาร์ทแรกของคุณมินนี่ เพราะอี google map พาเราหลงทางไปนานมาก เราเดินวน ๆ อยู่ในซอยหาร้านไม่เจอตั้งครึ่งชั่วโมง ก็เลยส่งผลให้เราไม่ได้ดูช่วงแรก ๆ ของหนัง และตอนที่เราเข้าไปนั่งดูหนังในช่วงแรก ๆ เราก็ยังไม่มีสมาธิด้วย เพราะมัวแต่โกรธอี google map อยู่

 

คือเหมือน YELLOW LANE ตั้งอยู่ที่เลขที่ 92/2 แต่ถ้าหากเรากดขอทราบเส้นทางจาก google maps มันจะพาเราไปยังเลขที่ 92 น่ะ ซึ่งอยู่ห่างจาก YELLOW LANE ราว ๆ 300 เมตร กูก็โง่หลงเชื่ออี google map ก็เลยเดินวนๆ หาไม่เจออยู่ในซอยราวครึ่งชั่วโมง

 

4.ปัญหาเรื่องครอบครัวของคุณมินนี่มีส่วนที่ทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองเหมือนกัน ชอบที่คุณมินนี่พยายามทำความเข้าใจและยอมรับความเป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องของคนในครอบครัวตัวเองมาก ๆ เพราะเราก็พยายามคิดแบบนั้นเหมือนกัน

 

5.เรื่องของคุณฝันก็หนักมาก โดยเฉพาะเรื่องที่พ่อชอบปิดแอร์ แล้วคุณฝันไม่สามารถบอกความต้องการของตัวเองออกไปได้ คุณฝันทำได้แค่เปิดพัดลม แล้วก็พยายามนอนต่อไปท่ามกลางความร้อนระอุ

 

 คือเราไม่ได้เจอเหตุการณ์แบบเดียวกับคุณฝันนะ แต่เราเหมือนก็เคยมีประสบการณ์ที่สร้างความทุกข์ทรมานทางใจอย่างยิ่งยวดในแบบที่คล้ายคลึงกันมั้ง นึกถึงความเก็บกดบางอย่างในวัยเด็กที่เราเคยเจอ นึกถึงความรู้สึกในวัยเด็ก อยากมีสถานที่ที่เราสามารถร้องกรี๊ดๆ ๆ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๆๆ ออกไปให้สุดเสียงได้โดยไม่ต้องถูกจับตัวส่งโรงพยาบาลบ้า

 

นึกถึงตัวเองตอนเล่นวิดีโอนี้ในปี 1991 ด้วย มันเหมือนเป็นการได้ระบายบางอย่างที่เก็บกดไว้ออกมา
https://web.facebook.com/jit.phokaew/videos/10201256824966025/

 

6.ในส่วนของเรื่องที่ 3 นั้น พอ “แม่ณี” เล่าว่าเคยนั่งรถเมล์สาย 18 เพื่อจะไปฆ่าตัวตายที่สะพานแห่งนึง แต่จำไม่ได้แล้วว่าสะพานอะไร เราก็สงสัยขึ้นมาเลยว่า มันเป็นสะพานซังฮี้หรือสะพานพระราม 7 เพราะรถเมล์สาย 18 มันผ่านสองสะพานนี้

 

คือถ้าแม่ณีเคยคิดจะฆ่าตัวตายที่สะพานซังฮี้ มันก็จะตรงกับเราโดยบังเอิญ เพราะตอนเด็ก ๆ เราก็เคยคิดจะฆ่าตัวตายที่สะพานนี้เหมือนกัน เพราะมันอยู่ใกล้บ้านเราในวัยเด็ก เราจำได้ว่าในวัยเด็กบางครั้งเราก็เดินน้ำตาไหลอยู่ในซอยแถวนั้น กะจะเดินไปลงแม่น้ำเจ้าพระยาแถวสะพานซังฮี้ แต่ก็ไม่ได้ทำ

 

7.เรื่องของแม่ณีทำให้นึกถึงเรื่องของผู้หญิงบางคนที่เรารู้จักด้วย คนที่อยากทิ้งผัว แต่ก็ยอมกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับผัว รอจนลูก ๆ โตจนจบมหาลัยแล้วค่อยหย่ากับผัว แต่กว่าจะถึงเวลานั้น ทั้งชีวิตของผู้หญิงคนนั้นและลูก ๆ ต่างก็เต็มไปด้วยบาดแผลทางใจอย่างหนักหนาสาหัสมาก ๆ

 

บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุนึงก็ได้มั้งที่ทำให้เราชอบหนังกลุ่ม “ผู้หญิงทิ้งผัว” อย่างสุด ๆ ทั้ง THE LEFT-HANDED WOMAN, SHIRLEY VALENTINE, FAST & FEEL LOVE (2022, Nawapol Thamrongrattanarit), etc. เพราะเราก็คงทำแบบนางเอกในหนังกลุ่มนี้เหมือนกัน ตัดไฟแต่ต้นลม คือเหมือนชีวิตของผู้หญิงคนอื่น ๆ มันเป็น “ตัวอย่าง” ให้เราได้เห็นแล้วว่า ถ้าหากเราทนอยู่ต่อไป แล้วจะเกิดอะไรขึ้น และเมื่อเราได้เห็นตัวอย่างจากชีวิตของคนอื่น ๆ แล้ว เราก็จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ จากชีวิตคืออะไร

 

แต่เราไม่ได้คิดว่าคนที่ตัดสินใจทนอยู่กับผัวทำอะไรผิดนะ เพราะความสุขของเขามันแตกต่างจากเรา ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ คนเรามันไม่เหมือนกัน ความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ตัวละครนางเอกใน IT’S A FLICKERING LIFE (2021, Yoji Yamada, A+30) ยอมทนใช้ชีวิตอยู่กับผัวขี้เหล้า, ติดการพนัน, เป็นหนี้เป็นสิน เพราะตัวละครผู้หญิงคนนี้เขาคงรู้ดีแหละว่า สำหรับตัวเขาแล้ว การหย่ากับผัวไม่ได้ทำให้เขาเป็นสุขก็ได้ ซึ่งก็มีแต่ตัวเขาเองที่ตอบได้แหละว่า ความสุขของเขาคืออะไร เพราะฉะนั้นเขาจะตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตอะไร มันก็คงเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเขาที่สุดแล้ว เพียงแต่เรารู้ว่า ถ้าหากเป็นเรา ความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับผัวแบบนั้น เราก็คงตัดสินใจแตกต่างจากเขา และเลือกเส้นทางชีวิตที่เหมาะสมกับความสุขของเราเอง

 

สิ่งที่เรายึดไว้เป็นหลักการสำหรับตัวเองก็คือว่า เราต้องจริงใจกับความรู้สึกของตัวเอง อย่าให้สังคมมาหลอกเราว่าทำแบบนู้นดี, ทำแบบนี้ดี เพราะความสุขของคนเรามันไม่เหมือนกัน สิ่งที่สังคมบอกมันอาจจะดีกับคนอื่นๆ หรือสร้างความสุขให้คนอื่น ๆ แต่ถ้าหากสิ่งที่สังคมบอกมันไม่ได้สร้างความสุขให้เรา เราก็ต้องจริงใจกับความสุขของตัวเองว่ามันไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ หรือไม่เหมือนกับสิ่งที่สังคมต้องการหรือเรียกร้องจากเรา และเราก็จะทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข โดยไม่ต้องไปแคร์ความเห็นของใครในแบบที่มากเกินไป

 

8.ฉากที่ประทับใจเราอย่างรุนแรงสุด ๆ ฉากนึงใน MENTAL-VERSE คือฉากที่คุณฝันเล่าถึงการจินตนาการเห็นภาพตัวเองโอบกอดตัวเองอยู่

 

มันทำให้นึกถึงตัวเราเองมาก ๆ ไอ้ “อ้อมกอดทิพย์” ที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจนี่ เพราะเราก็ใช้ “อ้อมกอดทิพย์” แบบนี้ ในการช่วยปลอบประโลมจิตใจตัวเองมาตั้งแต่เด็กจนแก่เหมือนกัน แต่ในกรณีของเรามันไม่ได้เป็นจินตภาพว่าเป็นตัวเองโอบกอดตัวเอง โดยในกรณีของเรานั้น อ้อมกอดทิพย์มาใน 3 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่

 

8.1 ผัวทิพย์ ที่เราจินตนาการมาตั้งแต่เด็ก 55555 จินตนาการว่าสักวันนึงเราจะมีผัวหนุ่มหล่อ ที่เข้าใจความเจ็บปวดในจิตใจเรา เขาจะโอบกอดเราไว้อย่างอบอุ่น เราจะบอกเขาว่า my home is in your arms อะไรทำนองนี้ 55555 ส่วนหน้าตาของผัวทิพย์ในจินตนาการของเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ว่าตอนนั้นเราคลั่งไคล้ใคร อย่างเช่นตอนป.6 เราคลั่งไคล้คุณครูหนุ่มคนนึง หน้าตาของผัวทิพย์ก็จะเป็นหน้าของคุณครูคนนั้น แล้วพอเราเข้าสู่วัยมัธยม เราก็คลั่งไคล้ Tom Cruise กับ Hiroshi Abe มาก ๆ หน้าตาของผัวทิพย์ที่มาโอบกอดเราในจินตนาการก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามนั้น แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

 

8.2 ตุ๊กตาหมี คือพอเราหาผัวในชีวิตจริงไม่ได้สักที เราก็กอดตุ๊กตาหมีแล้วให้ตุ๊กตาหมีกอดเราแทนก็ได้ เพราะตุ๊กตาหมีก็เข้าใจความเจ็บปวดในจิตใจเราเหมือนกัน 55555

 

8.3 “ภาพยนตร์” คือภาพยนตร์บางเรื่องมันเหมือนเข้าใจความเจ็บปวดในใจเรา หรือมัน touch ส่วนลึกบางอย่างในใจเราน่ะ การได้ดูภาพยนตร์บางเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้นได้ มันก็เลยเหมือนได้รับ “อ้อมกอดอันอบอุ่น” จากใครสักคนเช่นกัน แต่ใครคนนั้นไม่ใช่หนุ่มหล่อในจินตนาการ, ไม่ใช่ตุ๊กตาหมี แต่เป็นภาพยนตร์บางเรื่องที่มันเหมือนช่วยโอบกอดเราไว้ ช่วยให้เราไม่รู้สึกเดียวดาย ช่วยให้เรารู้สึกว่าเหมือนมีอะไรสักอย่างที่เข้าใจความเจ็บปวดของเรา ถึงแม้ผู้สร้างหนังเรื่องนั้นไม่ได้ตั้งใจอะไรแบบนั้นเลยก็ตาม

 

แน่นอนว่าเมื่อใดก็ตามที่เราได้เจอภาพยนตร์แบบนี้ เราจะรู้สึกชอบหนังเรื่องนั้นอย่างรุนแรงสุดๆ และก็ไม่ได้คาดหวังว่าคนอื่น ๆ จะต้องชอบหนังเรื่องนั้นเหมือนกับเราแต่อย่างใด เพราะความเจ็บปวดในใจของแต่ละคน มันย่อมแตกต่างจากกันอย่างรุนแรงมาก ๆ อยู่แล้ว

 

หนังที่ดูเหมือน touch บางอย่างในใจเราได้อย่างรุนแรง ก็มีอย่างเช่น หนังเรื่อง MENTAL-VERSE นี่แหละ, WHAT SHE LIKES (2021, Shogo Kusano) ที่ลงโรงฉายอยู่ตอนนี้ ก็เข้าใจความเจ็บปวดในใจเรามาก ๆ, “บั้งไฟสไลเดอร์” (2022, Tayakee Promkomol) ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือน “มีตัวตน” มาก ๆ และก็มีหนังเรื่องอื่น ๆ อีก อย่างเช่น TENDERNESS (2017, Gianni Amelio, Italy), MAPS TO THE STARS (2014, David Cronenberg), TENDERNESS (2009, John Polson), MULHOLLAND DRIVE (2001, David Lynch), LOVELY RITA (2001, Jessica Hausner), BUNNY (2000, Mia Trachinger), VALERIE FLAKE (1999, John Putch), MISS FIRECRACKER (1989, Thomas Schlamme) , etc. ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกโอบกอดจากหนัง

 

บางทีอ้อมกอดที่เราได้รับจากการดูภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ นี่แหละ ที่ช่วยประคับประคองชีวิตเราไว้ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ประคับประคองจิตใจเราไว้ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา การได้ดูหนังบางเรื่อง อย่างเช่น MAPS TO THE STARS มันเหมือนกับการที่ใครสักคนมาสัมผัสเราอย่างอ่อนโยน แล้วพูดกับเราว่า “I understand your pain.” แล้วโอบกอดเราไว้

 

ก็คงได้แต่ขอบคุณผู้สร้างหนังเหล่านี้ ซึ่งรวมถึงผู้สร้าง MENTAL-VERSE ด้วย สำหรับอ้อมกอดทิพย์เหล่านี้

 

No comments: