Sunday, August 10, 2025

AIDA'S POEM AND THE FILM

 

พอวันนี้ได้ฟังการบรรยายของคุณ Kong Rithdee และคุณ May Adadol Ingawanij ที่มีการพูดถึง “การเขียนบทกวีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์” แล้ว

 

เราก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า หนี่งในประสบการณ์ที่เราชื่นชอบมากที่สุดในฐานะ cinephile ก็คือ “การอ่านกลอนของคุณไอดา อรุณวงศ์” ในงานฉายหนังเรื่อง BY THE TIME IT GETS DARK หรือ “ดาวคะนอง” (2016, Anocha Suwichakornpong) ในวันที่ 6 ต.ค. 2016

 

เมื่อกี้เราเลยรีบ search หาดูว่า มีใครได้บันทึก “กลอน” ที่คุณไอดา อรุณวงศ์อ่านไว้ในงานนั้นบ้าง ปรากฏว่าไม่มีเลย กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด แล้วเราจะหาอ่านกลอนนี้ได้อีกจากที่ไหน เราจำได้แต่ว่ามันทรงพลังมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆๆ มีใครจดบันทึกกลอนของคุณไอดา อรุณวงศ์ในงานนั้นไว้บ้างไหมคะ ถ้าใครมีจดไว้ก็ช่วยนำมาเผยแพร่ด้วย จักกราบขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

 

พอพูดถึง “การแสดงความเห็นต่อภาพยนตร์” และพูดถึงคุณไอดา อรุณวงศ์แล้ว เราก็เลยนึกถึงการแสดงความเห็นของคุณไอดาต่อภาพยนตร์เรื่อง BERNADETTE  (2008, Duncan Campbell, A+30) ที่เคยมาฉายในกรุงเทพในวันที่ 30 ม.ค. 2012 ด้วย โชคยังดีที่การแสดงความเห็นของคุณไอดาต่อ BERNADETTE ได้รับการจดบันทึกเอาไว้ในสูจิบัตรเทศกาลภาพยนตร์ทดลองกรุงเทพครั้งที่ 6 ที่สามารถดาวน์โหลดออนไลน์ได้

 

อันนี้เป็นส่วนหนึ่งจากการแสดงความเห็นของคุณไอดาต่อ BERNADETTE

 

“เราเห็นมือและเท้าคู่นั้น แววตาคู่นั้น ริมฝีปากคู่นั้น ทั้งในความ เงียบและในยามส่งเสียง เสียงที่กราดเกรี้ยว ขึงขัง อารมณ์โกรธ อย่างไม่ปิดบัง การท้าทายทั้งทางคำพูดและสีหน้า ทั้งหมดนี้เราไม่ ได้เห็นแม้แต่เสี้ยวของความพยายามที่จะเกลื่อนให้ดูดี ดูมีวุฒิภาวะ ดู“แคร์สื่อ”ใดๆ เป็นความโกรธอย่าง angry young Irish girl ต่อ อำนาจของอังกฤษ และระบบเศรษฐกิจรวมถึงระบอบการปกครองที่ เธอเห็นว่ามันสุดจะทนแล้ว

 

 เป็นความโกรธอย่างนี้ที่ทำให้นึกถึงนักข่าวของบีบีซีคนหนึ่งที่ สัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักข่าวคนนั้นข้องใจว่า ทำไม เหตุการณ์สังหารหมู่เมษา-พฤษภา 2553 ผ่านไปแล้วหนึ่งปี นาย อภิสิทธิ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีแห่งทุ่งสังหาร จึงยังไม่สามารถสรุปได้ ว่าประชาชนเหล่านั้นตายด้วยน้ำมือใครและโดยการสั่งการของใคร

 

นายอภิสิทธิ์เกทับกลับอย่างอวดกำพืดอีตัน+ออกซ์ฟอร์ดว่า ก็ ทีเหตุการณ์ Bloody Sundayล่ะ คุณก็ใช้เวลาตั้งนานไม่ใช่หรือกว่าจะสรุปได้ นักข่าวคนนั้นสวนทันควันแบบเก็บอาการไม่อยู่ว่า ผมเป็น คนไอริช ผมรู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น!

 

มันคงเป็นความโกรธอย่างนี้ และความโกรธอย่างที่ทำให้เบอร์-นาเด็ตต์เดินเข้าไปชกหน้ารัฐมนตรีมหาดไทยขณะที่เขากำลังแถลง ในสภาว่ารัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการตายของประชาชน13 คน ในเหตุการณ์ Bloody Sunday เป็นฉากการชกหน้าอันอื้อฉาวที่แม้จะ ไม่มีฟุตเทจให้เราเห็น แต่ก็เว้นช่องว่างให้ข้าพเจ้าได้ใช้จินตนาการ อย่างสะใจ (และบอกตรงๆอย่างไม่อายว่า ข้าพเจ้าอิจฉาเบอร์นาเด็ตต์ ฉิบหาย)

 

 หนังไม่ได้จะบอกเราว่าเบอร์นาเด็ตต์เป็นวีรสตรีไปเสียทุกด้าน หนังเพียงแต่จับ “บทบาท” ของเธอมาเราเห็นโดยเฉพาะในแง่การ แสดงอารมณ์เมื่ออยู่ต่อหน้ากล้อง และเราสัมผัสถึงอารมณ์ความ รู้สึกและความเป็นเบอร์นาเด็ตต์ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะคำปราศรัย หรือคำให้สัมภาษณ์เวลาที่ฟุตเทจปล่อยเสียงเหล่านั้นออกมา แต่ ยังสัมผัสได้ในเสียงถอนหายใจ ช่วงของถ้อยคำที่ขาดห้วง และช่วง ของความเงียบ

 

และที่สำคัญคือสีหน้าแววตานั้นที่ฟ้องว่าเธอรู้ว่าเธอกำลังพูดอยู่ ต่อหน้ากล้อง รู้ว่าเธอกำลังถูกจ้องมอง และรู้ว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของ ภารกิจของการต่อสู้ คือการรู้จักใช้มัน

 

 อย่างคนที่รู้ว่าคนอื่นรู้ว่าเธอรู้ว่าเธอกำลังอยู่ต่อหน้ากล้อง”

+++++++++++

 

(ต่อจากโพสท์ของเราก่อนหน้านี้)

 

ในวันเสาร์นี้เราได้ฟังการบรรยายของคุณ Kong Rithdee และคุณ May Adadol Ingawanij ที่มีการพูดถึง “การเขียนบทกวีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์”

 

เราก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่า หนี่งในประสบการณ์ที่เราชื่นชอบมากที่สุดในฐานะ cinephile ก็คือ “การอ่านกลอนของคุณไอดา อรุณวงศ์” ในงานฉายหนังเรื่อง BY THE TIME IT GETS DARK หรือ “ดาวคะนอง” (2016, Anocha Suwichakornpong) ในวันที่ 6 ต.ค. 2016 เราจำได้ว่าการอ่านกลอนนี้ในงานนั้นมันทรงพลังอย่างสุดขีดมากสำหรับเรา

 

เมื่อกี้เราเลยรีบ search หาดูว่า มีใครได้บันทึก “กลอน” ที่คุณไอดา อรุณวงศ์อ่านไว้ในงานนั้นบ้าง ปรากฏว่าเราหาไม่เจอ เราก็เลยโพสท์ถามเพื่อน ๆ ของเรา ปรากฏว่าคุณ Warong Lupaiboon หาเจอ กรี๊ดดดดดดด กลอนนี้ได้รับการบันทึกไว้ในนิตยสาร “อ่าน” ที่มีให้อ่านออนไลน์ได้ด้วย เราก็เลย copy กลอนนี้มาแปะไว้ในนี้ด้วยเลย

 

พอเราได้อ่านกลอนนี้อีกครั้งในคืนนี้ เราก็ร้องห่มร้องไห้หนักมาก หนักมาก ๆ กลอนนี้ยังคงส่งผลกระทบต่อเราอย่างรุนแรงแม้ในปัจจุบันนี้

 

“ในสมุดบันทึก

 

ในสมุดบันทึก ฉันเคยบันทึกไว้
บทสนทนากับเพื่อนเก่า
ฉันเล่า ว่าสมัยราวแปดขวบนั้น
ฉันชอบดูดาวประกายพรึกตอนค่ำ
ดื่มด่ำ ชวนฝัน ชวนมุ่งมั่น
อธิษฐานว่าอะไรบ้างนั้นอย่ารู้เลย
ฉันอาย

 

เพื่อนฟังแล้วลอบถอนใจ
เขาว่า รู้ไหม ณ จุดที่เรายืนอยู่นี้
ไกลจากดวงดาวหลายพันปีแสง
แล้วไง ฉันถาม
ก็แปลว่าดาวที่เรามองเห็นอยู่ตอนนี้
ความจริงอาจแตกดับไปนานแล้ว

 

ไม่แน่ใจว่าฉันบันทึกบทสนทนานี้ลงสมุดบันทึกทำไม
เพื่อจะรำลึกว่ากาลครั้งหนึ่งฉันเคยดูดาว
หรือเพื่อจะจำใส่หัว ว่าความจริงแล้ว อาจไม่มีดาว
หรือเพื่อจะไม่ลืมว่าเราจะรู้ความจริงว่าดาวไม่มีอยู่จริงได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เคยรู้ว่ามันไม่มี

 

ว่าแต่เราจะมีดาวไว้ทำไม
กะจิ๊ดริดในสายตา
สุกสกาวก็ต่อเมื่อหมดแสงรอบข้าง
สว่างเพียงชี้นำหนทาง
แต่ไม่เป็นธุระจะส่องทางให้เห็น


นางพรานเถื่อนคงได้แต่คว้าตะเกียงดุ่มเดินไป
ช่างขุนทองปะไร
มันกลับไปแล้วตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง —

 

กลับไปนั่งจดจารให้เป็นที่รำลึกไว้
รำลึกว่ามันจะลืมรำลึกเสียมิได้
ว่าไม่ว่าถึงที่สุดใครจะเห็นหรือไม่เห็นอะไร
ดาวฤกษ์เกิดมาเพื่อเป็นดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง, จำไว้
ว่าแล้วมันก็ดับสวิตช์ไฟหัวเตียง

 

ครั้นหากนางพรานเถื่อนจะบันทึกสิ่งที่เคยเห็นบ้างอย่างคนไม่เขียนบันทึก
จะบันทึกอย่างไร

 

พร่างพรายแสง ดวงดาวน้อยสกาว
ส่องฟากฟ้า…”

 

โอ๊ะ ไม่ใช่

 

เห๊น, เห๊น”
จะเขียนยังไง?
สระเอ หอหีบ ไม้ตรี นอหนู
เห๊น, เห๊น…”

 

หรือว่า “เห็น”
สระเอ หอหีบ ไม้ไต่คู้ นอหนู
เห็น, เห็น…”

 

หรือว่า “เห้น”
สะเอ หอหีบ ไม้โท นอหนู

 

เห้น, เห้น –
เห้นทรวงฟ้ากว้าง หมื่นดาวนั้น สำอาง วับวาว
แม้นเดือนสกาว ไม่ยอมให้ดาว ขาวเฉิดไฉไล
ถึงตัวฉัน มีสวรรค์ ลอยมาใกล้
เชิญฉันเป็นดาวใหม่
ฟ้ามาวอนไหว้
ไม่-เป็น-แล้ว-ดาว!”

 

แล้วจะให้ฉันจดว่าควรจำรำลึกอย่างไร
รำลึกอย่างดาวประกายพรึกที่เพียงดึกก็ลับหาย
หรือบันทึกอย่างนางพรานเถื่อนที่ถูกทิ้งไว้กับตะเกียง?

 

อย่ากระนั้นเลย อย่างมากก็แค่ท่อนฮุกของทุกคนที่ฉันจะเขียนขึ้นใหม่
ปอดไม่ดี, ฉันเขียนแล้วท่องแทนร้องได้ไหม

 

ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
ดาวคืนเพ็ญมัวเด่นลืมท้าทาย
ครั้นผืนฟ้าใกล้ดับจวนลับมลาย
ดินจะพราย-ไม่ว่ามี-หรือไม่-มีดาว
ดินจะกลาย-เป็น-หรือไม่-เป็นดาว!”

 

ไอดา
6 ตุลา 59

 

อ่านบทความของคุณชูศักดิ์เกี่ยวกับกลอนนี้ได้ที่

https://readjournal.org/aan-on-line/7531/

 

No comments: