Friday, May 05, 2006

ROBBY BENSON

ความเห็นต่อหนังที่ได้ดู

GHOST GAME

ไม่ค่อยชอบช่วงท้ายของหนัง แต่รู้สึกว่าผีผู้ชายในเรื่องนี้น่ากลัวมาก ชอบบรรยากาศในช่วงต้นๆเรื่องด้วย เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูเสร็จแล้วกลับไปฝันร้าย ส่วนหนังอีกเรื่องที่เคยดูแล้วกลับไปฝันร้ายคือ CONSTANTINE (2005, FRANCIS LAWRENCE, A-)

ถ้าหากเทียบกับหนังสยองขวัญแนว REALITY SHOW แล้ว รู้สึกว่า GHOST GAME อยู่ในระดับปานกลาง นั่นก็คือดีกว่า HALLOWEEN RESURRECTION (2002, RICK ROSENTHAL, C-) แต่ยังไม่ดีเท่า MY LITTLE EYE (2002, MARC EVANS, A)


THE NUN

ชอบหนังแนวนี้อย่างมากๆ รู้สึกว่าพล็อตหนังเรื่องนี้ซึ่งเกี่ยวกับหญิงสาวและปริศนาฆาตกรรมทำให้นึกถึงหนังของ DARIO ARGENTO อย่าง SUSPIRIA, DEEP RED และ INFERNO แต่หนังเรื่องนี้เน้นบรรยากาศมืดๆทึมๆ ไม่ได้เน้นสีสันฉูดฉาดและการออกแบบฉากแบบวิลิศมาหราอย่างหนังของ ARGENTO

รู้สึกว่าไม่ได้ดูหนังแนวนี้ที่ถูกใจมานานมากแล้ว เพราะระยะหลัง ARGENTO ก็ไม่ค่อยทำหนังแนวนี้ออกมาแล้ว อย่างไรก็ดี ข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือการเฉลยและตอนจบที่ห้วนๆไปหน่อย ถ้าหากหนังมีการแก้ไขตอนจบให้ดีกว่านี้ นี่อาจเป็นหนังในดวงใจอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้อย่างแน่นอน

หนังแนวนี้ที่ดูแล้วชอบมากในระยะหลังก็รวมถึง TOOLBOX MURDERS (2004, TOBE HOOPER, A+)

จุดนึงที่ชอบมากใน THE NUN ก็คือการที่นางเอกหนังเรื่องนี้ไม่ได้ “กลัวผี” แบบนางเอกหนังผีเรื่องอื่นๆ แต่นางเอกหนังเรื่องนี้อยู่ในอารมณ์ “กูจะตบผี” อยู่ตลอดเวลา และนั่นคือสิ่งที่ถูกใจดิฉันอย่างที่สุดในชีวิตค่ะ

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตก็คือ THE NUN เป็นหนังผีอีกเรื่องที่ผีใช้น้ำเป็นสื่อ เหมือนกับหนังผีเรื่อง

1.THE RING TWO (2005, HIDEO NAKATA, B+)

2.DARK WATER (2005, WALTER SALLES, A+)

3.THE GHOST (2004, KIM TAE-KYEONG, A)

4.BLACK NIGHT (2006, TANIT JITNUKUL, PATRICK LEUNG, TAKAHIKO AKIYAMA, B)

รู้สึกว่าหนังผีที่ใช้น้ำเป็นสื่ออาจจะใกล้ถึงจุดซ้ำซากแล้วเหมือนกัน แต่ก็เดาว่าสาเหตุหนึ่งที่ใช้น้ำเป็นสื่อ เพราะน้ำเป็นสิ่งที่คนขาดไม่ได้ คนต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำอะไรสักอย่างตลอดเวลา ถ้าจะให้ผีตัวไหนแหวกแนว หันมาใช้แร่ทังสเตน หรือแร่พัลลาเดียมเป็นสื่อในการหลอกผู้คน ผีก็คงจะหลอกคนยากเกินไปหน่อย และพาลจะทำให้หนังไม่สนุกไป (แต่ถ้าผีไปสิงตามแร่ยูเรเนียมหรือพลูโตเนียมก็ดีเหมือนกัน คนจะได้ไม่กล้าไปยุ่งกับแร่พวกนี้)

OFF THE MAP

รู้สึกว่าเคยดูหนังเกี่ยวกับชีวิตเด็กหญิงในชนบทมาแล้วหลายเรื่อง แต่ก็ไม่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้น่าเบื่อหรือซ้ำซากเลย ดูแล้วรู้สึกเฉยๆกับตัวเด็กหญิงคนนี้ ไม่ได้รู้สึกรักหรือผูกพันกับนางเอกของเรื่องเลย แต่กลับชอบจังหวะ บรรยากาศ และความเบาสบายของเรื่องเป็นอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้ทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างจากหนังโปแลนด์เรื่อง SQUINT YOUR EYES (2002, ANDRZEJ JAKIMOWSKI, A+++++) ที่นำเสนอช่วงเวลาสั้นๆของเด็กหญิงคนนึงในชนบท โดย SQUINT YOUR EYES ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกผูกพันกับนางเอกของเรื่องเหมือนกัน แต่กลับสร้างความรู้สึกที่สุดยอดมากๆ ในเรื่องจังหวะและบรรยากาศของชนบท

แต่สิ่งที่แตกต่างกันระหว่าง OFF THE MAP กับ SQUINT YOUR EYES ก็คือ หลังจากที่ดู OFF THE MAP จบ ดิฉันรู้สึกว่าได้ “รู้จัก” กับตัวละครในเรื่อง แต่หลังจากดู SQUINT YOUR EYES จบ ดิฉันกลับพบว่าตัวเองแทบไม่รู้จักหรือเข้าใจอะไรตัวละครในเรื่องเลย หนังเรื่อง OFF THE MAP ให้ “ข้อมูล” เกี่ยวกับตัวละครเยอะกว่า SQUINT YOUR EYES เป็นอย่างมาก แต่ดิฉันชอบ SQUINT YOUR EYES มากกว่าค่ะ
http://images.amazon.com/images/P/B0006Q93E2.01.LZZZZZZZ.jpg

ถ้าหากคุณชอบหนังเกี่ยวกับเด็กหญิงในชนบท หนังแนวนี้ก็รวมถึง

1.AN UNFINISHED LIFE (2005, LASSE HALLSTROM, A-)

2.THE MAN IN THE MOON (1991, ROBERT MULLIGAN, B+)
นำแสดงโดย REESE WITHERSPOON และ JASON LONDON หนังเรื่องนี้ใช้ฉากหลังเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1950 ถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่องนี้มีฉากพี่สาวสอนน้องสาวเรื่องวิธีการจูบผู้ชาย ซึ่งเป็นฉากที่ดิฉันชอบมาก
http://images-eu.amazon.com/images/P/B0000C88K4.01.LZZZZZZZ.jpg

JASON LONDON พระเอกของ THE MAIN IN THE MOON
http://www.jasonlondon-online.com/jpshots.htm
http://www.jasonlondon-online.com/janeco.jpg

อย่าจำ JASON LONDON สลับกับ JEREMY LONDON ซึ่งเป็นคู่แฝดของเขา (อ้าว แล้วจะไม่ให้จำสลับกันได้ยังไงล่ะ บางทีคู่แฝดคู่นี้น่าจะไปเล่นหนังคู่กับ MARY-KATE OLSEN และ ASHLEY OLSEN นะ)
http://www.geocities.com/Hollywood/Academy/7637/jeremy3.jpg

อย่าจำหนังเรื่อง THE MAN IN THE MOON สลับกับ A WALK ON THE MOON (1998, TONY GOLDWYN) ที่ใช้ฉากหลังเป็นปี 1969 และมีเนื้อหาเกี่ยวกับแม่บ้านชาวยิว (DIANE LANE) ที่มีชู้กับฮิปปี้ (VIGGO MORTENSEN) ขณะที่สามีของเธอ (LEIV SCHREIBER) ซึ่งเป็นช่างซ่อมทำงานง่วนอยู่ในเมือง และลูกสาวของเธอ (ANNA PAQUIN) กำลังเรียนรู้เรื่องการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
http://images.amazon.com/images/P/B00000K31T.01.LZZZZZZZ.jpg

ส่วนหนังเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นในชนบทที่อยากดูอย่างสุดๆก็คือ ODE TO BILLY JOE (1976, MAX BAER) ค่ะ เพราะพระเอกหนังเรื่องนี้เป็นเกย์หรือไม่ก็ไบเซ็กชวล
http://www.amazon.com/gp/product/6302877822/102-0035207-8307364?v=glance&n=404272
http://images.amazon.com/images/P/6302877822.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

ODE TO BILLY JOE ใช้ฉากหลังเป็นชนบทในรัฐมิสซิสซิปปีช่วงต้นทศวรรษ 1950 ซึ่งเป็นสังคมที่ยังไม่ยอมรับเกย์ พระเอกของหนังเรื่องนี้คือ BILLY JOE (ROBBY BENSON) เขารู้สึกว่าเขาเป็นโฮโมเซ็กชวล และเขาก็หวาดกลัวสิ่งนี้ เขาสารภาพรักกับหญิงสาวชื่อ BOBBI LEE (GLYNNIS O’CONNOR) เพื่อปิดบังความกลัวในเรื่องนี้ ส่วน BOBBI LEE เองนั้นก็รักเขาเช่นกัน ถึงแม้ว่าพ่อของเธอจะเข้มงวดเรื่องการมีแฟนก็ตาม

ในงานเต้นรำคืนหนึ่ง บิลลี โจไม่ยอมไปมีเซ็กส์กับโสเภณี เขาตัดสินใจทำตามความปรารถนาของตัวเองด้วยการมีเซ็กส์กับผู้ชาย แต่เขากลับรู้สึกผิดหลังจากนั้น ดังนั้นเขาจึงหนีไปซ่อนตัวอยู่ในป่า และสารภาพความจริงให้ BOBBI LEE ฟังในเวลาต่อมา

แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดี เขายังคงยอมรับไม่ได้ที่ตัวเองเป็นเกย์ ดังนั้นเขาจึงฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงจากสะพาน TALLAHACHEE

ODE TO BILLY JOE มีจุดเด่นที่ทิวทัศน์ที่สวยงาม, เสน่ห์ของหลายสิ่งหลายอย่างในยุคสมัยเก่าๆ อย่างเช่นความรู้สึกตื่นเต้นกับส้วมแบบชักโครก, บทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมของ HERMAN RAUCHER และดารานำสองคนที่ถ่ายทอดความสุข, ความหวาดกลัว และแฟนตาซีของวัยรุ่นได้อย่างสมจริงมาก อย่างไรก็ดี ช่วงท้ายของหนังไม่ได้รับคำชมเท่าใดนัก ส่วนดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ MICHEL LEGRAND

ODE TO BILLY JOE ดัดแปลงมาจากเพลงฮิตของ BOBBIE GENTRY ในปี 1968 โดยคำโปรยของหนังเรื่องนี้คือประโยคที่ว่า

What the song didn't tell you, the movie will.

เนื้อร้องของเพลง ODE TO BILLY JOE

It was the third of June, another sleepy, dusty Delta dayI was out choppin' cotton and my brother was balin' hayAnd at dinner time we stopped and walked back to the house to eatAnd Mama hollered out the back door "y'all remember to wipe your feet"And then she said "I got some news this mornin' from Choctaw Ridge""Today Billy Joe MacAllister jumped off the Tallahatchie Bridge"And Papa said to Mama as he passed around the blackeyed peas"Well, Billy Joe never had a lick of sense, pass the biscuits, please""There's five more acres in the lower forty I've got to plow"And Mama said it was shame about Billy Joe, anyhow
Seems like nothin' ever comes to no good up on Choctaw RidgeAnd now Billy Joe MacAllister's jumped off the Tallahatchie BridgeAnd Brother said he recollected when he and Tom and Billie JoePut a frog down my back at the Carroll County picture showAnd wasn't I talkin' to him after church last Sunday night?"I'll have another piece of apple pie, you know it don't seem right""I saw him at the sawmill yesterday on Choctaw Ridge""And now you tell me Billie Joe's jumped off the Tallahatchie Bridge"And Mama said to me "Child, what's happened to your appetite?""I've been cookin' all morning and you haven't touched a single bite""That nice young preacher, Brother Taylor, dropped by today""Said he'd be pleased to have dinner on Sunday, oh, by the way""He said he saw a girl that looked a lot like you up on Choctaw Ridge""And she and Billy Joe was throwing somethin' off the Tallahatchie Bridge"A year has come 'n' gone since we heard the news 'bout Billy JoeAnd Brother married Becky Thompson, they bought a store in TupeloThere was a virus going 'round, Papa caught it and he died last SpringAnd now Mama doesn't seem to wanna do much of anythingAnd me, I spend a lot of time pickin' flowers up on Choctaw RidgeAnd drop them into the muddy water off the Tallahatchie Bridge

ฟังตัวอย่างเพลงนี้ของ BOBBI GENTRY ได้ในอัลบัมชุด AMERICAN QUILT 1967-1974
http://www.amazon.com/gp/product/B00006C2P9/sr=8-8/qid=1146830807/ref=pd_bbs_8/102-0035207-8307364?%5Fencoding=UTF8
http://images.amazon.com/images/P/B00006C2P9.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

ROBBY BENSON พระเอกหนังเรื่อง ODE TO BILLY JOE เคยให้เสียงพากย์เป็น BEAST ใน BEAUTY AND THE BEAST (1991, GARY TROUSDALE + KIRK WISE, A-)
http://mysticcurio.com/faygeleh/robby.htm
http://www.movie-gazette.com/directory/img/robby+benson.jpg
http://mysticcurio.com/faygeleh/images/rb10.jpg
http://mysticcurio.com/faygeleh/images/rb13.jpg
http://mysticcurio.com/faygeleh/images/rb5.jpg
http://mysticcurio.com/faygeleh/images/rb15.jpg

ไม่รู้ว่าคุณ KIT เคยรู้จักหรือเคยชอบ ROBBY BENSON มาก่อนหรือเปล่า

ผลงานของ ROBBY BENSON รวมถึงหนัง “สูตรสำเร็จ” หลายๆเรื่อง อ่านเรื่องย่อผลงานเก่าๆของ ROBBY BENSON แล้วรู้สึกว่าฮามาก เพราะมันเป็นสูตรสำเร็จอย่างสุดๆ

ผลงานภาพยนตร์ของเขารวมถึง

1.JEREMY (1973, ARTHUR BARRON)
http://images.amazon.com/images/P/6304494335.01.LZZZZZZZ.jpg

ROBBY BENSON นำแสดงร่วมกับ GLYNNIS O’CONNOR เช่นกันในเรื่องนี้ โดยเขารับบทเป็นเจเรมี นักเล่นเชลโลวัย 16 ปีในนิวยอร์คที่ได้พบกับนักเต้นบัลเลต์ที่มีความทะเยอทะยาน แต่มีนิสัยขี้อายและละเอียดอ่อนเหมือนกับเขา และในวันหนึ่งเมื่อฝนตก ทั้งสองก็รู้สึกเบื่อเล่นหมากรุกด้วยกัน และร่วมรักกันอย่างงดงาม แต่ก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในอีก 3 สัปดาห์หลังจากนั้น

นักวิจารณ์บางคนไม่ชอบหนังรักเรื่องนี้ แต่ผู้ชมบางคนประทับใจกับความรักในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างมากจนถึงกับตั้งชื่อลูกตัวเองว่า JEREMY


2.ALL THE KIND STRANGERS (1974)
http://www.amazon.com/gp/product/6301802756/102-0035207-8307364?n=404272
http://images.amazon.com/images/P/6301802756.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับจิมมี วีลเลอร์ (STACY KEACH) นักประพันธ์ที่เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อหาเรื่องราวที่น่าสนใจมาเขียน และในขณะที่เขาเดินทางอยู่ในชนบท เขาก็ได้พบกับ GILBERT (TIM PARKINSON) เด็กชายอายุเจ็ดขวบที่ล่อลวงให้เขาขับรถพาไปส่งที่บ้าน

เมื่อจิมมีพากิลเบอร์ตไปส่งที่บ้านอันห่างไกล เขาก็ได้พบกับพี่ๆของกิลเบิร์ต (ROBBY BENSON, ARLENE Farber, Patti Parkinson, Brent Campbell, John Connell) และพี่ชายคนโตสุด (JOHN SAVAGE) รวมทั้งพบหญิงคนหนึ่ง (SAMANTHA EGGAR จาก THE BROOD) ที่ทำตัวเหมือนแม่ของเด็กๆเหล่านี้มานาน 5 ปีแล้ว และต่อมาจิมมีก็ได้เรียนรู้ว่าเด็กๆเหล่านี้ต้องการให้เขาทำหน้าที่เป็นพ่อ และเด็กๆเหล่านี้อาจจะเคยฆ่าผู้ใหญ่มาหลายคนแล้วที่สร้างความไม่พอใจให้เด็กๆ


3.THE LAST OF MRS.LINCOLN (1976, GEORGE SCHAEFER)

http://www.amazon.com/gp/product/B00006CXGV/102-0035207-8307364?n=130
http://ec1.images-amazon.com/images/P/B00006CXGV.01._SCLZZZZZZZ_.jpg
ชีวิตอันน่าเศร้าของภรรยาของอับราฮัม ลินคอล์น (JULIE HARRIS) นับตั้งแต่เขาถูกลอบสังหาร

JULIE HARRIS ได้รับคำชมอย่างรุนแรงมากในการแสดงหนัง/ละครเวทีเรื่องนี้


4.ONE ON ONE (1977, LAMONT JOHNSON)
http://images.amazon.com/images/P/6302877814.01.LZZZZZZZ.jpg

หนังเรื่องนี้มีโครงสร้างคล้ายกับ ROCKY เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็นวงการบาสเกตบอล โดยในเรื่องนี้ ROBBY BENSON รับบทเป็นนักเล่นบาสในไฮสกูลที่ได้รับการติดต่อให้ชิงทุนการศึกษาด้านกีฬาเพื่อเข้ามหาลัย แต่เขาตกหลุมรักครูของตัวเอง และไม่ชอบโค้ชของเขาที่ทำตัวเป็นเผด็จการ เขาเกือบประสบความล้มเหลวในชีวิต แต่ในเวลาต่อมาเขาก็มุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับอุปสรรค, ได้ครองใจหญิงสาวที่เหมาะสมกับเขา, ชนะการแข่งขัน และหยามน้ำหน้าโค้ชได้สำเร็จ


5.ICE CASTLES (1978, DONALD WRYE)
http://www.amazon.com/gp/product/B000059XTL/102-0035207-8307364?n=130
http://images.amazon.com/images/P/B000059XTL.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

เล็กซี วินสตัน (LYNN-HOLLY JOHNSON) นักสเก็ตสาวผมบลอนด์จากชนบทรัฐไอโอวาทิ้งชนบทไปรับการฝึกซ้อมอย่างเข้มงวดเพื่อลงแข่งโอลิมปิก

ชีวิตของเธอในชนบทไม่มีความสุขมากนัก เพราะพ่อของเธอมองว่าเธอเป็นตัวแทนของแม่ที่ตายไปแล้ว ส่วนแฟนของเธอนั้นเป็นนักเล่นฮ้อกกี้น้ำแข็ง (ROBBY BENSON)

เล็กซีได้รับความช่วยเหลือจากโค้ชและพิธีกรรายการกีฬาในการไต่เต้าขึ้นมาจนกลายเป็นคนดัง อย่างไรก็ดี เธอได้สูญเสียความไร้เดียงสาของสาวชนบทไป และในที่สุดเธอก็หกล้มและกลายเป็นคนตาบอด


6.DIE LAUGHING (1980, JEFF WERNER)
http://images.amazon.com/images/P/6300271749.01.LZZZZZZZ.jpg

หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนขับรถแท็กซี่ที่อยู่ดีๆก็ได้เป็นเจ้าของลิงตัวหนึ่งที่ถือสูตรลับที่สามารถแปลงกากกัมมันตภาพรังสีให้กลายเป็นระเบิดพลูโตเนียม เขาถูกใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกร และคนหลายคนก็ไล่ตามจับเขาเพราะต้องการจะครอบครองสูตรลับอันนั้น


7.TRIBUTE (1980, BOB CLARK)
http://images.amazon.com/images/P/6302148359.01.LZZZZZZZ.jpg

JACK LEMMON นำแสดงในบทของนักประชาสัมพันธ์ละครบรอดเวย์ที่ค้นพบว่าตัวเขาป่วยใกล้ตาย ในช่วงที่ภรรยาเก่าของเขา (LEE REMICK) และลูกชาย (ROBBIE BENSON) กำลังจะกลับมานิวยอร์คเพื่อพักผ่อนหน้าร้อนพอดี

เลมม่อนพยายามทำให้ลูกชายกลับมารักเขาอีกครั้ง แต่ความพยายามของเขากลับยิ่งทำให้ลูกชายเกลียดเขามากยิ่งขึ้น คนที่ชอบหนังซึ้งๆเกี่ยวกับพ่อ-ลูกชายห้ามพลาดหนังเรื่องนี้เป็นอันขาด


8.THE CHOSEN (1981, JEREMY PAUL KAGAN)
http://images.amazon.com/images/P/B00009WVSG.01.LZZZZZZZ.jpg

หนุ่มยิวสองคนเป็นเพื่อนกัน โดยคนหนึ่งนับถือยิวนิกายออร์โธด็อกซ์ และเป็นพวก ZIONIST ส่วนอีกคนเป็นยิวนิกาย HASIDIC โดยหนังใช้ฉากหลังเป็นนิวยอร์คยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และหนังสำรวจประเด็นคำถามเรื่องการก่อตั้งรัฐยิวในดินแดนปาเลสไตน์ โดยมี ROD STEIGER รับบทเป็นพระแรบไบนิกาย HASIDIC


9.RUNNING BRAVE (1983, DS EVERETT)
http://images.amazon.com/images/P/6304836260.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ BILLY MILLS อินเดียนแดงเผ่า SIOUX ที่ออกจากเขตสงวนของอินเดียนแดงเพื่อรับทุนการศึกษาสำหรับนักกีฬาในมหาลัยแคนซัส เขาต้องพบกับโค้ชที่ทำตัวเป็นเผด็จการ, คนที่เหยียดผิว และเขาก็ตกหลุมรักสาวผิวขาวซึ่งเขาได้แต่งงานด้วยในเวลาต่อมา

หนังเรื่องนี้นำเสนอการต่อสู้ภายในจิตใจของบิลลี เขาต้องรับมือกับทั้งทัศนคติของคนผิวขาว และของคนอินเดียนแดงที่คิดว่าเขาเป็นคนผิวขาวไปแล้ว

ฉากไคลแมกซ์ของเรื่องนี้คือฉากการวิ่งระยะทาง 10 กิโลเมตรในการแข่งขันโอลิมปิกปี 1964


10.HARRY & SON (1984, PAUL NEWMAN)
http://images.amazon.com/images/P/0792898788.01.LZZZZZZZ.jpg

หนังเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับพ่อม่าย (PAUL NEWMAN) ที่หดหู่ เขาตกงานและชอบทะเลาะกับลูก

นักแสดงที่น่าสนใจหลายคนร่วมแสดงในเรื่องนี้ ซึ่งรวมถึง ELLEN BARKIN, MORGAN FREEMAN และ JOANNE WOODWARD


11. กำกับละครทีวีชุด DREAM ON (1990) ที่ตอนนี้มีขายแล้วในรูปแบบดีวีดี
http://www.amazon.com/gp/product/B00005JN8P/102-0035207-8307364?n=130
http://images.amazon.com/images/P/B00005JN8P.01._SCLZZZZZZZ_.jpg

DREAM ON เป็นละครทีวีที่น่าดูเป็นอย่างมากในช่วงต้นทศวรรษ 1990 และเป็นผลงานของ DAVID CRANE + MARTA KAUFMAN ซึ่งต่อมาได้สร้างละครเรื่อง FRIENDS ที่โด่งดัง โดยละครเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับมาร์ติน (BRIAN BENBEN) พ่อม่ายเมียหย่าที่ทำงานเป็นบรรณาธิการหนังสือในนิวยอร์ค เขามีลูกติด และยังคงเป็นเพื่อนที่ดีกับภรรยาเก่าของเขา (WENDIE MALICK) โดยเขาเองก็พยายามหาแฟนสาวคนใหม่ แต่ก็แทบไม่เคยประสบความสำเร็จในการจีบสาวติดเลย นอกจากนี้ เขายังได้รับทั้งความช่วยเหลือและปัญหาจากเลขานุการปากร้าย (DENNY DILLON) ของเขาด้วย

จุดเด่นของละครเรื่องนี้คือการที่ตัวละครมาร์ตินเป็นคนที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คนยุคนั้นเป็นยุคแรกๆที่ติดโทรทัศน์ และหนังเรื่องนี้จะแทรกฉากจินตนาการของมาร์ตินเข้ามาเป็นระยะๆ และจินตนาการของเขาก็มักจะตัดมาจากภาพหนังหรือละครเก่าๆที่เขาเคยดูในวัยเด็ก

No comments: