Tuesday, October 11, 2016

BLUE HOUSE (2016, Kridpuj Dhansandors, A+15)

BLUE HOUSE (2016, Kridpuj Dhansandors, A+15)
ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่นี่

1.ขอพูดถึงหนังเรื่องนี้ในแง่ลบก่อนแล้วกัน หรือในแง่ที่ว่า เพราะเหตุใดเราถึงไม่ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับ A+30 555

คือดูแล้วก็นึกถึงหนังของ Teeranit Siangsanoh, Wachara Kanha และหนังยุคแรกๆของ Theeraphat Ngathong กับ Supakit Seksuwan นะ คือที่นึกถึงหนังของผู้กำกับ 4 คนนี้เป็นเพราะว่า ผู้กำกับ 4 คนนี้ก็ทำ “หนังทดลองที่ใช้ home video เป็นองค์ประกอบ” เหมือนกัน มันมีทั้งความเป็นหนังทดลองและความเป็น home video ผสมอยู่ด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้ดูในหนังทดลองของต่างชาติ คือจริงๆแล้วต่างชาติอาจจะมีทำหนังแบบนี้หลายเรื่องก็ได้นะ แต่หนังแบบนี้มันไม่ค่อยได้รับการฉายในไทยน่ะ เท่าที่เรานึกออกก็มีแค่ AS I WAS MOVING AHEAD OCCASIONALLY I SAW BRIEF GLIMPSES OF BEAUTY (2000, Jonas Mekas, 288min) กับ IMMANENCE DECONSTRUCTION OF US (2011, Rouzbeh Rashidi, Ireland, 70min) ที่เป็นการเอา home video มาร้อยเรียงเป็นหนังทดลองเหมือนกัน

คือพอเอา BLUE HOUSE ไปเทียบกับหนังกลุ่มเดียวกันนี้แล้ว เราจะรู้สึกว่า BLUE HOUSE มันถ่ายได้ไม่ทรงพลังและตัดต่อร้อยเรียงได้ไม่ทรงพลังเท่าน่ะ คือเราว่า Teeranit กับ Wachara ถ่ายได้ทรงพลัง ถึงแม้มันจะเป็นการบันทึกภาพกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และทั้งสองก็สามารถนำมาตัดต่อร้อยเรียงกันได้ในแบบที่ทรงพลังมากๆในบางเรื่อง อย่างเช่นใน PHENOMENON (2012, Teeranit Siangsanoh) หรือ บรรยากาศยามเช้าที่บ้านตอน 6 โมง (Wachara Kanha)

คือเราว่า Teeranit กับ Wachara มี “ตา” และมี sense แบบนักทำหนังน่ะ เขาถึงถ่ายภาพออกมาได้ทรงพลังสำหรับเรา และมีความเป็นกวีอยู่ในตัวสูงมากๆด้วย เขาถึงสามารถร้อยเรียงซีนต่างๆออกมาแล้วให้ความรู้สึกที่งดงามมากๆได้ (แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องนะ หนังบางเรื่องของสองคนนี้ก็อาจจะไม่ทรงพลังมากนัก หรืออาจจะน่าเบื่อในบางเรื่อง)

เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ได้ชอบ BLUE HOUSE ถึงขั้น A+30 น่ะ เพราะเราว่ามันถ่ายไม่สวย 555, ถ่ายไม่ทรงพลัง, การตัดต่อก็ไม่ได้อารมณ์เชิงกวีอย่างรุนแรงแบบหนังทดลองที่เราคุ้นเคยหรือชื่นชอบ แต่ถ้าหากมองว่านี่เป็นหนังเรื่องแรกๆของมือสมัครเล่น มันก็เป็นหนังที่น่าพอใจ และหวังว่าผู้กำกับจะพัฒนา sense ของการถ่ายภาพและการตัดต่อให้ดียิ่งๆขึ้นไปอีกในหนังเรื่องต่อๆไป

2.เอาล่ะ คราวนี้มาพูดถึงจุดที่ชอบบ้าง คือเราชอบที่มันประหลาดดี เป็นตัวของตัวเองดี และกล้ามากที่ทำหนังแบบนี้ออกมา คือเหมือนเป็นการทำหนังที่เป็นตัวของตัวเองจริงๆ โดยไม่พยายามจะเอาใจผู้ชมในวงกว้าง หรือพยายามจะสร้างหนังเพื่อให้อยู่ในกรอบใดกรอบหนึ่งที่สังคมยอมรับ

มันมีความสนุกของคนทำอยู่ด้วย คือมันเหมือนมีความสนุกในการทดลองกับองค์ประกอบต่างๆของภาพยนตร์น่ะ นั่นคือภาพ, เสียง, การตัดต่อ โดยมีการตัดต่อภาพที่ไม่เกี่ยวเนื่องกันมาไว้ติดกัน, มีการเล่นกับเทคนิคต่างๆทางภาพ, มีการใส่เสียงที่ไม่เกี่ยวกับภาพ คือดูแล้วมันเหมือนการทดลองเล่นแร่แปรธาตุทางภาพยนตร์ ลองผสมโน่นกับนี่มาไว้ด้วยกัน ลองผสมสาร A กับ สาร B เข้าด้วยกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันไม่เกิดเป็นทองหรือเพชร แต่มันเป็นสารเคมีประหลาดๆอะไรสักอย่าง แต่แน่นอนว่าถ้าหากผู้กำกับทดลองทำอะไรแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาอาจจะเริ่มค้นพบ “จังหวะ” หรือ “วิธีการถ่าย” ที่เหมาะกับตัวเองจริงๆในอนาคตก็ได้

และถึงแม้เราจะรู้สึกว่าเขาถ่ายไม่สวย แต่เราก็ชอบการใช้ home video มาทำหนังทดลองนะ เพราะเรารู้สึกว่าภาพ home video มัน “มีชีวิต” ดีน่ะ มันเป็นการบันทึกชีวิตจริงที่ไม่ได้ถูกจำกัดความหมายก่อนการถ่าย คือบางครั้งถ้าหากเราคิดประดิษฐ์ฉากสวยๆขึ้นมาสักฉากหนึ่ง เราก็อาจจะถ่ายได้ฉากที่สวยมากๆและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายที่เราซ่อนแฝงไว้ในฉากนั้นก็จริง แต่มันเหมือนฉากนั้นมันตายแล้ว หรือมันมีขีดจำกัดน่ะ เพราะทุกอย่างในฉากนั้นถูกกำหนดความหมายและความงามเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกอย่างในฉากนั้นอยู่ภายใต้เหตุผลของผู้สร้างฉากและเจตนาของผู้สร้างฉากแล้ว แต่ภาพแบบ home video มันเป็นการบันทึกชีวิตจริงที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาล่วงหน้าน่ะ มันอาจจะไม่ได้งดงามเท่าฉากที่ประดิษฐ์ขึ้นมา และไม่ได้ซ่อนแฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง แต่ในความ meaningless ของมัน มันมีความ limitless อยู่ด้วย เพราะมันไม่ได้ถูกครอบไว้ด้วยเจตนาของผู้สร้างฉาก สิ่งที่เกิดขึ้นใน home video เกิดขึ้นโดยตัวของมันเอง และไม่ได้ถูกครอบงำด้วยเจตนาของผู้สร้างฉาก ถึงแม้ว่ามันจะยังคงถูกครอบงำด้วยเจตนาของผู้ถ่ายและผู้ตัดต่ออยู่ก็ตาม


สรุปว่า ชอบ BLUE HOUSE มากในระดับนึง เพราะมันเป็นแนวทางหนังที่เราชอบ เราชอบหนังทดลองกึ่ง home video แบบนี้ แต่เราว่าหนังเรื่องนี้ยังถ่ายภาพได้ไม่ทรงพลังเท่าไหร่ และยังตัดต่อได้ไม่ทรงพลังเท่าไหร่จ้ะ ส่วนเรื่องความหมายของปลาหรือแมลงหรือแสงไฟหรืออะไรต่างๆในหนังนั้น เราไม่ขอตีความนะ เพราะเราไม่ถนัดเรื่องการตีความสัญลักษณ์อะไรพวกนี้ 

No comments: