บันทึกชีวิตเรื่อยเปื่อย
เพื่อระบายความเครียด
--WHAT A DIFFERENCE A WEEK MAKES! ภายในเวลาเพียงแค่สัปดาห์เดียว ชีวิตก็เหมือนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังตีนในทันที
ฮือๆๆๆ เมื่อวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่แล้ว เรายังพอจะมีความสุขอยู่บ้าง แต่ตั้งแต่วันจันทร์ที่
16 มี.ค.เป็นต้นมา เราก็ไม่อยากทำอะไรเลย
นอกจากนอน-ตื่นมาทำงาน-นอน เพราะมีแค่การนอนหลับเท่านั้นที่จะช่วยให้เราไม่เครียดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นมา
เรานอนหลับประมาณวันละ 8-12 ชั่วโมง จากเดิมที่เคยนอนแค่วันละ
6-7 ชั่วโมง
--ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะรอดชีวิตจากวิกฤติโรคระบาดนี้ได้ไหม
ตอนนี้สิ่งที่ตัวเองทำได้ก็คงมีแค่การจดบันทึกและระลึกถึง “ความสุขของชีวิตช่วงก่อนหน้านี้”
เพราะเราไม่แน่ใจว่า โลกจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า,
โลกจะต้องใช้เวลานานกี่ปี กว่าประชาชนจะออกมาเดินถนนได้เหมือนเดิม, เราจะรอดชีวิตหรือเปล่า,
คนจะตายกี่คน, คนจะฆ่าตัวตายเพราะความยากจนกี่คน, เราจะเป็นหนึ่งในนั้นไหม
บางทีวิกฤตินี้อาจจะกินเวลานานหลายปี
บางทีโลกอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังจากนั้น บางที “ความสุขของชีวิต” ในช่วงตั้งแต่เราเกิดมาจนถึงสองสัปดาห์แรกของเดือนมี.ค.
2020 อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่หวนคืนมาอีก เพราะโลกมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
--ช่วงนี้นึกถึงแต่
MELANCHOLIA
(2011, Lars von Trier)
--ได้ไปเยี่ยมแม่ครั้งสุดท้ายในวันที่
22 ก.พ. และถ้าหากไม่มีโรคระบาด วันนี้เราคงได้ไปเยี่ยมแม่อีกครั้งแล้ว
แต่พอมีโรคระบาด เราก็ไม่ไปดีกว่า เพราะแม่เราก็อายุ 80 กว่าปีแล้ว เรากลัวตัวเองเป็นพาหะแบบไม่รู้ตัว
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้เจอหน้าแม่อีกครั้งเมื่อไหร่
ตอนนี้ก็ได้แต่โทรศัพท์คุยกันไปก่อน
--ได้ว่ายน้ำครั้งสุดท้ายในวันที่
21 ก.พ. เรารักการว่ายน้ำมากๆ ถึงแม้เราจะว่ายน้ำช้ามากก็ตาม
แต่ต้นปีนี้เราแทบไม่ได้ไปว่ายน้ำเลย เพราะมลพิษทางอากาศมันสูง
เราก็เลยไม่กล้าไปว่าย แต่พอช่วงที่ค่ามลพิษมันลดลงมาบ้าง เราก็ไม่กล้าไปว่ายอีก
เพราะตั้งแต่ช่วงกลางเดือนม.ค.เป็นต้นมา คนก็เริ่มกลัวเชื้อไวรัสโคโรนา
แล้วเราจะมีอาการประจำตัวอย่างนึง นั่นก็คือหลังว่ายน้ำเสร็จ เราจะมีน้ำมูก
(ไม่รู้มีคนอื่นที่มีอาการเป็นแบบเดียวกับเราหรือเปล่า) ซึ่งถ้าเป็นในช่วงก่อนๆหน้านี้
เราก็ไม่แคร์อะไร เพราะคนไม่ได้หวาดกลัวอะไรกัน แต่พอตั้งแต่กลางเดือนม.ค.
เราก็เลยไม่ค่อยกล้าว่ายน้ำ เพราะพอเราว่ายน้ำเสร็จ เราจะมีน้ำมูก
แล้วเราก็จะรู้สึกหวาดระแวงว่า เราจะถูกสังคมรังเกียจหรือเปล่า เราก็เลยไปว่ายน้ำน้อยครั้งมากในช่วงต้นปีนี้
หวังว่าเราจะมีชีวิตอยู่รอดจนถึงเวลาที่สระว่ายน้ำเปิดทำการอีกครั้ง
--ได้ไป fitness ครั้งสุดท้ายในวันศุกร์ที่ 13 มี.ค. เหมือนสัปดาห์นั้นเราได้ไป fitness 4 วันต่อสัปดาห์ ไม่นึกไม่ฝันว่า จะไม่ได้กลับไปอีกเป็นเวลานาน
หวังว่าเราจะมีชีวิตอยู่รอดจนถึงเวลาที่ fitness เปิดทำการอีกครั้ง
--ได้ดูหนังในโรงภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายในวันอาทิตย์ที่
15 มี.ค. ซึ่งก็คือเรื่อง OSAMU TEZUKA’S METROPOLIS (2001, Rintaro, Japan, animation,
A+30)
หวังว่าเราจะมีชีวิตอยู่รอดจนถึงเวลาที่โรงภาพยนตร์เปิดทำการอีกครั้ง
--ได้เมาท์มอยกับเพื่อนๆมหาลัยครั้งสุดท้ายในวันที่
1 ม.ค., ได้เมาท์มอยกับเพื่อนๆมัธยมครั้งสุดท้ายในวันที่ 25 ม.ค., ได้เจอเพื่อนๆ cinephiles (กลุ่ม Kafe Lumiere) แบบแป๊บๆในวันที่ 16 ก.พ. แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีโอกาสคุยยาวๆกันอีก
หวังว่าพวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
No comments:
Post a Comment