Wednesday, April 14, 2021

LAW OF KARMA

 

ช่วงบันทึกความทรงจำ/บันทึกกรรม

 

เห็นหลายคนเขียนสรุปชีวิตตัวเองตอนช่วงส่งท้ายปีเก่า/ขึ้นปีใหม่ในวันที่ 31 ธ.ค.-1 ม.ค.ที่ผ่านมา เราก็เลยอยากทำบ้าง แต่เราก็ไม่ได้ทำ เพราะช่วงนั้นเราอยู่ในระหว่างการพักฟื้นหลังผ่าตัดต้อกระจกครั้งที่สอง เหมือนชีวิตของเราในช่วงนั้นยังอยู่ภายใต้ความหวาดผวาเรื่องการระวังรักษาดวงตาตลอดเวลา เราก็เลยกะว่าเรามาเขียนบันทึกความทรงจำ สรุปชีวิตตัวเองหลังการพักฟื้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจะดีกว่า ซึ่งจริงๆแล้วดวงตาเราหายกลับมาเป็นปกติ โดนน้ำได้นับตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.  แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าดวงตามันดีจริงแล้วหรือเปล่า เราก็เลยยังไม่ได้เขียนสรุปชีวิตตัวเองสักที แล้วงานก็ยุ่ง  ๆ ด้วย ในที่สุดเราก็เพิ่งได้มีโอกาสหายใจหายคออย่างเต็มที่ก็ช่วงหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์นี่แหละ ก็เลยได้เขียนเสียที 555

 

เราขอเน้นจดบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับความหวาดกลัวกฎแห่งกรรมของตัวเองก็แล้วกัน สาเหตุที่เราหวาดกลัวการผ่าตัดต้อกระจกในช่วงที่ผ่านมามากกว่าคนปกติ เป็นเพราะเรากลัวว่าเราอาจจะตาบอดได้ โดยเป็นผลจากกฎแห่งกรรมที่เราเคยทำร้ายลูกแมวตอนที่เราเป็นเด็กๆ อย่างที่เราเคยเขียนเล่าไปนานแล้วว่า ตอนที่เราเป็นเด็ก อายุน่าจะประมาณ 7-8 ขวบ เราเคยแกล้งลูกแมวตัวเล็ก ๆ ตัวนึง ด้วยการเอาน้ำส้มสายชูไปหยดใส่ลูกตาของมัน แล้วมันก็คงเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เราก็เลยจะเอาน้ำเปล่าไปหยดใส่ลูกตาของมัน เผื่อจะช่วยเจือจางน้ำส้มสายชูได้ แต่มันก็กลัว ก็เลยพยายามต่อสู้ ไม่ยอมให้เราหยดน้ำเปล่าใส่ แม่แมวได้ยินเสียงลูกแมวร้อง ก็เลยมาช่วยเลียลูกตาของมัน

 

เราจำรายละเอียดไม่ได้แล้วว่า หลังจากนั้นตาของลูกแมวบอดหรือเปล่า เราจำได้แต่ว่าหลังจากนั้นอีกไม่นานลูกแมวตัวนั้นก็ตายไป

 

พอเราเริ่มโตขึ้น และรู้ผิดชอบชั่วดี เราก็สำนึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป บางทีเราก็อยากจะฆ่าตัวตาย (เพราะปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่าง และเพราะเกลียดตัวเองที่เคยทำบาปมหันต์แบบนี้ด้วย)  แต่คิดได้ว่าถึงฆ่าตัวตายไป ก็คงไม่สามารถช่วยชีวิตลูกแมวตัวนั้นได้อยู่ดี สิ่งที่ทำได้ก็คือใช้ชีวิตต่อไปแล้วพยายามทำดีเท่าที่พอทำได้เท่านั้นเอง เดี๋ยววันนึงกรรมก็ต้องตามทัน แล้วเราก็ต้องทำใจรับกรรมนั้นไป

 

บางทีเราก็แอบคิดด้วยซ้ำไปว่า การที่เรามีความคิดอยากจะฆ่าตัวตายหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่ตอนที่เราเป็นวัยรุ่น มันอาจจะเป็นเพราะกฎแห่งกรรมที่เราได้ทำกับลูกแมวตัวนั้นด้วยหรือเปล่า เพราะนอกจากเราจะทำร้ายดวงตาของมันอย่างรุนแรงแล้ว เราอาจจะ “ทำร้ายจิตใจ” ของลูกแมวตัวนั้นอย่างรุนแรงด้วย เพราะมันไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เรามักจะจินตนาการว่า ถ้าหากตัวเราเองเป็นลูกแมวน้อยตัวนั้น เราจะรู้สึกยังไง เราอาจจะรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปก็ได้ ลองนึกดูสิ เราอยู่เฉย ๆ อยู่ดี ๆ ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่น้อย อยู่ดี ๆ ก็มีคนมาทำร้ายดวงตาของเราอย่างรุนแรง แล้วเราก็ไม่สามารถตอบโต้อะไรกลับไปได้ หากเราเป็นลูกแมวน้อยตัวนั้น นอกจากเราจะบาดเจ็บทางดวงตาอย่างแสนสาหัสแล้ว เราก็อาจจะ “หมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกที่โหดร้าย” อีกต่อไปด้วย

 

พอเราป่วยเป็น “จอประสาทตาฉีกขาด” ในปี 2019 แล้วต้องยิงเลเซอร์เพื่อรักษาจอประสาทตาฉีกขาดถึง 4 จุด เราก็คิดว่านี่อาจจะเป็นเพราะกรรมตามทันแล้วล่ะ แต่การยิงเลเซอร์เพื่อรักษาจอประสาทตาฉีกขาดมันแทบไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ เลยนะ เราก็เลยแอบสงสัยตั้งแต่ตอนนั้นแล้วล่ะว่า เราใช้กรรมหมดแล้วยัง

 

ช่วงนั้นเราก็เลยเน้นบริจาคเงินให้โรงพยาบาลจักษุบ้านแพ้วเป็นระยะ ๆ นะ ไม่รู้มันจะช่วยบรรเทากรรมของเราให้ทุเลาลงได้บ้างหรือเปล่า แต่เราก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

 

พอมาถึงช่วงกลางเดือนมิ.ย. 2020 เราก็มีความสุขมาก เพราะช่วงนั้นโควิดในไทยซาลงมาก ๆ แล้ว เรากลับมาทำงานใน office อีกครั้ง รู้สึกชีวิตเข้าที่เข้าทาง ไปยิม ดูหนังได้ตามปกติ happy มาก ๆ

 

แต่ความสุขแบบสุด ๆ ก็อยู่กับเราได้เพียงแค่ราว 2 สัปดาห์เท่านั้นมั้ง เพราะพอช่วงปลายเดือนมิ.ย. 2020 เราก็พบว่าอาการต้อกระจกของเรารุนแรงจนถึงขั้นต้องผ่าตัด แต่เราเลือกได้ว่าจะผ่าตัดเมื่อไหร่ เราก็เลยกะไว้คร่าว ๆ ว่า ถ้าหากสถานการณ์ทุกอย่างเอื้ออำนวย เราก็ขอผ่าเดือนธ.ค.ก็แล้วกัน เพราะปัจจัยอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งเรื่องความสะดวกในการลางานนานติดต่อกัน 45 วัน โดยใช้สิทธิวันลาของปี 2020+2021 มารวมเข้าด้วยกัน, การไม่ต้องกลัวว่าจะโดนฝนใน “ฤดูฝน” , การไม่ต้องกลัวว่าเหงื่อจะไหลเข้าตาใน “ฤดูร้อน” และเราจะได้มีเวลาเตรียมตัวจัดแจงทุกอย่างให้พร้อมด้วย เนื่องจากเราใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังคนเดียวในอพาร์ทเมนท์ พึ่งพาอะไรใครไม่ได้ เราก็เลยต้องเตรียมอพาร์ทเมนท์ของเราให้พร้อมสำหรับการพักฟื้นหลังผ่าตัด

 

เพราะฉะนั้นช่วงเดือนก.ค.-พ.ย. 2020 เราก็ใช้ชีวิตตามปกติ แต่มันจะมี “เมฆหมอกแห่งความกังวล” อยู่ในใจเราตลอดเวลา เรากังวลว่า การผ่าตัดจะราบรื่นหรือไม่, การพักฟื้น ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในอพาร์ทเมนท์จะราบรื่นหรือไม่, เราจะป้องกันดวงตาไม่ให้โดนน้ำได้นานจนหายสนิทจริง ๆ หรือเปล่า และยิ่งเรามีบาปกรรมมหันต์ที่เคยทำไว้กับลูกแมวด้วย เราก็เลยยิ่งหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นไปอีกว่า บางทีกรรมอาจจะตามทัน แล้วทำให้เราตาบอดก็ได้ แต่ถ้าหากกฎแห่งกรรมใจดี เห็นว่าเราสำนึกผิดจริง ๆ แล้ว เราอาจจะรอดก็ได้

 

ในที่สุดเราก็เข้าผ่าตัดต้อกระจกตาขวาในวันที่ 6 ธ.ค. และผ่าตัดต้อกระจกตาซ้ายในวันที่ 20 ธ.ค. หลังผ่าตัดก็รู้สึกเจ็บปวดลูกตาบ้างแต่ไม่มากนัก  อย่างไรก็ดี หลังผ่าตัดตาซ้าย เราก็รู้สึกว่าการมองเห็นมันผิดปกติ เหมือนมีฝ้าขาว ๆ มาบดบังการมองเห็นในด้านล่างของตา อย่างที่เราเคยเขียนเล่าไปแล้วว่า มันเหมือนมีแอ่งน้ำตามากองอยู่จนบดบังการมองเห็นบางส่วนของเรา

 

ตอนนั้นเราก็เคยคิดว่า บางทีฝ้าขาว ๆ นี้มันอาจจะเป็น “น้ำตาของลูกแมวน้อย” ตัวนั้นก็ได้ มันเป็นกรรมที่เราต้องชดใช้ ทำให้เรามองเห็นไม่ชัด แล้ววันที่ 1 ม.ค.เราก็ไปตรวจตาอีกรอบ หมอตรวจพบว่าฝ้าขาว ๆนั้น มันคือเศษต้อกระจกที่เหลืออยู่ เราก็เลยตัดสินใจให้หมอผ่าเอาเศษต้อกระจกนั้นออกในวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งจะส่งผลให้ดวงตาของเราห้ามโดนน้ำจนถึงราว ๆ วันที่ 7 ก.พ. (4 สัปดาห์หลังผ่าตัด)

 

อย่างที่เราเคยเขียนเล่าไปแล้วว่า หลังจากการผ่าเอาเศษต้อกระจกออก แล้วพอยาชาหมดฤทธิ์ คืนนั้นเราก็รู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก ๆ ที่ดวงตา มันเหมือนกับผ่าฟันคุด แต่มันคือผ่าฟันคุดที่ลูกตา ในใจเราก็เลยคิดว่า นี่แหละ มันคือกรรมตามทันแล้วล่ะ ลูกแมวน้อยตัวนั้นคงจะรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานแบบนี้เช่นกัน และอาจจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากกว่าเราหลายเท่าด้วย ตอนนี้กรรมคงตามทันเราแล้ว เราก็ก้มหน้ารับกรรมของตัวเองไปก็แล้วกัน

 

พอเราคิดเช่นนั้น เราก็สบายใจขึ้น มันเหมือนกับว่าเราโล่งใจที่ได้ชดใช้กรรมที่ทำไว้เสียที ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า พอเราผ่านคืนวันที่ 10 ม.ค.มาได้ อาการเจ็บปวดก็ค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วตาเราก็เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ

 

แต่ตอนนี้ตาซ้ายเราก็ยังไม่เห็นชัดเท่าตาขวานะ แต่มันก็คงได้แค่นี้แหละ คือตาขวาเราจะสามารถอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ ได้ทั้งตอนใส่แว่นสายตายาวและไม่ใส่แว่นสายตายาวน่ะ แต่ตาซ้ายของเราจะไม่สามารถอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ ได้หากมองด้วยตาเปล่า ตาซ้ายของเราจะอ่านตัวหนังสือเล็ก ๆ ได้ก็ต่อเมื่อเราใส่แว่นสายตายาวเท่านั้น

 

เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราชดใช้กรรมที่ทำไว้กับลูกแมวน้อยตัวนั้นหมดแล้วยังนะ เพราะเราก็มีอาการวุ้นลูกตาเสื่อมอยู่ และเราก็ยังกังวลว่าจอประสาทตาอาจจะฉีกขาดได้อีกในอนาคต เราก็ได้แต่หวังว่าเราน่าจะใช้กรรมก้อนใหญ่หมดไปแล้ว และถ้าจะยังมีกรรมเหลืออยู่ ก็ขอให้เหลืออยู่แค่เศษกรรมอะไรที่เล็กน้อยมาก ๆ ก็แล้วกัน

 

ช่วงที่ผ่านมาเราก็เจออุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย  ๆ เกี่ยวกับลูกตาอยู่บ้างเหมือนกัน อย่างเช่น

 

1.เราไปดูหนังที่สถาบันเกอเธ่ แล้วเราก็ฉีดสเปรย์กันยุงที่แขนเรา แต่มันมืด เรามองไม่เห็นปลายขวดสเปรย์กันยุงว่ารูพ่นมันหันไปทิศไหน ปรากฏว่าพอฉีดไป ละอองสเปรย์กันยุงมันเลยเข้าตาเรา แต่เราไม่รู้สึกแสบหรือเคืองตาเลย เราก็เลยไม่แน่ใจว่าสเปรย์มันเข้าตาเราจริง ๆ หรือเปล่า เราก็เลยไม่ได้ไปล้างตา

 

ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น ตาขวาเราแดงเลย เราก็เลยรู้ตัวว่าซวยแล้ว เราก็เลยรีบลางานเพื่อไปโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่าตาเราอักเสบ ก็เลยให้ยาหยอดตาแก้อักเสบมา โชคดีที่พอหยอดยาไปแค่วันเดียวตาเราก็หายแดง

 

2.บางทีพอเราขยับ mask ที่หน้าเรา นิ้วเราก็เสือกทิ่มเข้าไปในลูกตาโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

3.วันนี้ก็มีฝุ่นพัดเข้าตาเรา ทำให้ตาเราแดงอยู่พักนึง

 

เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็เลยทำให้เราคิดว่า บางทีมันอาจจะยังมีเศษกรรมของสิ่งที่เราเคยทำไว้กับลูกแมวน้อยหลงเหลืออยู่ก็ได้นะ เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของกรรมที่หลงเหลืออยู่ก็แล้วกัน เราก็คงทำได้แค่ใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุดต่อไป 

No comments: