Thursday, December 23, 2021

IN FRONT OF YOUR FACE (2021, Hong Sang-soo, South Korea, A+30)

 

IN FRONT OF YOUR FACE (2021, Hong Sang-soo, South Korea, A+30)

Spoilers alert
--
--
--
--
--

1. หนังสร้างความรู้สึก "มหัศจรรย์" ให้กับเราอย่างรุนแรงมาก ๆ มีสิทธิลุ้นอันดับหนึ่งประจำปีนี้ไปเลย ทำไมมันถึงส่งผลกระทบกับเราอย่างรุนแรงสุด ๆ ขนาดนี้ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

รู้สึกว่าหลาย ๆ ฉากของหนังเรื่องนี้มันสร้างความรู้สึกงดงามให้กับเราอย่างรุนแรงสุดขีดมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ “ถ่ายภาพสวย” เลย และสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละฉากมันธรรมดาสามัญมาก ๆ คือทั้งเหตุการณ์ก็ธรรมดา และหนังก็ถ่ายให้มันออกมาดูเป็นภาพที่ธรรมดา ไม่ได้จัดแสงหรือใช้เทคนิคทางภาพให้มันดูมลังเมลืองประกายฉ่องแต่อย่างใด แต่ผลทางอารมณ์ที่เกิดกับเรามันรุนแรงถึงขีดสุด ฉากหรือเหตุการณ์ที่เราชอบสุดขีดในหนังเรื่องนี้ก็มีอย่างเช่น

 

1.1 การที่น้องสาวไม่ยอมบอกนางเอกว่าฝันเห็นอะไร จนกว่าจะเลยเที่ยงวันไปแล้ว แต่แล้วทุกคนก็ดูเหมือนลืม และผู้ชมก็ไม่รู้อยู่ดีว่าน้องสาวฝันเห็นอะไร

 

1.2 การกินต๊อกโบกี แล้วหกเลอะเสื้อ แล้วนางเอกก็ตั้งใจจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะเห็นว่ามันไม่สำคัญ

 

1.3 การไปหาหลานชายที่ร้านอาหาร แต่ไม่เจอ แต่พอนางเอกกับน้องสาวเดินออกจากร้านไปแล้ว หลานชายถึงเพิ่งวิ่งตามมา

 

1.4 การโดนเลื่อนเวลานัด

 

1.5 การที่นางเอกกลับไปเยี่ยมบ้านเก่าในวัยเด็ก

 

1.6 ฉากนางเอกมองออกนอกหน้าต่างของบ้านเก่า  ฉากนี้โดนเราอย่างรุนแรงถึงขีดสุด นึกถึงฉาก Sabine Azema มองออกนอกหน้าต่างใน A SUNDAY IN THE COUNTRY (1984, Bertrand Tavernier)

 

1.7 ฉากที่นางเอกภาวนาว่าต้องการจะเห็น “สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเธอ” หรืออะไรสักอย่าง แล้วมีเด็กหญิงตัวน้อย ๆ เดินเข้ามาพอดี

 

1.8 การที่เด็กหญิงกับแม่เด็กพูดไม่ตรงกันเรื่องอยู่ที่บ้านนี้หรืออยู่ที่บ้านอีกหลัง อะไรทำนองนี้

 

1.9 การที่ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อ Jaewon พยายามหาโอกาสอยู่กับนางเอกสองต่อสอง แล้วไล่ลูกน้องออกไปจากร้านในทางอ้อม

 

1.10 การที่นางเอกพยายามเล่นกีตาร์ ทั้ง ๆ ที่เธอเล่นไม่ค่อยได้ และเธอยังคงเล่นต่อไปถึงแม้ Jaewon สติแตกไปแล้ว

 

1.11 การคุยกันว่าจะเก็บจานชามในร้านอาหารดีหรือไม่

 

1.12 การที่นางเอกถูกยกเลิกงาน แต่เธอหัวเราะ เหมือนไม่ได้เสียใจอะไรมากมาย

 

1.13 ฉากจบ ที่ให้ความรู้สึกที่งดงามที่สุดสำหรับเรา


คือฉากเหล่านี้มันดูเป็นเหตุการณ์ธรรมดาสามัญอย่างถึงที่สุด อาจจะธรรมดายิ่งกว่าเหตุการณ์ใน FOUR ADVENTURES OF REINETTE AND MIRABELLE (1987, Eric Rohmer) ซะอีก แต่ทำไม Hong Sang-soo ถึงสามารถทำให้เรารู้สึกว่าอะไรเหล่านี้มันงดงามตราตรึงใจเราอย่างสุดขีดคลั่งได้ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

ในแง่นึงเราก็รู้สึกว่า Hong Sang-soo อาจจะทำสำเร็จในสิ่งที่นางเอกพยายามจะทำนะ เพราะถ้าเราเข้าใจไม่ผิด นางเอกพยายามจะมองเหตุการณ์ธรรมดาสามัญทุกอย่างในชีวิตประจำวันว่าเป็นความงดงามของชีวิต ในขณะที่เธอกำลังจะตายจากโรคร้าย และหนังเรื่องนี้ก็เหมือนมอบดวงตาคู่ใหม่ให้กับเรา เพราะหนังก็ทำให้เรามองเหตุการณ์ธรรมดาสามัญเหล่านี้ว่าเป็นอะไรที่งดงามสุดๆ เหมือนกัน

 

นึกถึงตอนที่เราเข้ารับการผ่าต้อกระจกที่ดวงตา 2 ข้างในช่วงปลายปี 2020 แล้วต้องไม่ให้ดวงตาโดนน้ำเป็นเวลา 2 เดือน คือตอนนั้นเราไม่สามารถอาบน้ำฝักบัวแบบปกติได้ แต่พอดวงตาเราหายดี เรากลับมาอาบน้ำฝักบัวได้ตามปกติ ตอนนั้นแหละเราถึงรู้สึกว่า การได้อาบน้ำฝักบัวแบบปกตินี่มันคือความสุขสุดยอดจริง ๆ หลังจากไม่สามารถทำแบบนั้นมาได้เป็นเวลานาน 2 เดือน การอาบน้ำฝักบัวซึ่งเคยเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เป็นกิจวัตรประจำวันที่ไม่มีความสำคัญอะไร ได้กลายเป็นความสุขสุดยอดสำหรับเราไปแล้ว

 

คนที่ใกล้ตาย หรือดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้ว บางทีก็อาจจะรู้สึกแบบเดียวกันเมื่อได้มองเห็นชีวิตประจำวันของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ กิจวัตรประจำวันที่แสนน่าเบื่ออาจจะกลายเป็นอะไรที่งดงามสุด ๆ ขึ้นมาก็ได้ แต่บางทีเราอาจจะไม่ต้องรอให้ตัวเองใกล้ตายก็ได้ ในการเรียนรู้ที่จะมองชีวิตของตัวเองด้วยดวงตาของคนที่ใกล้ตายแบบนี้


2.ถ้าเปรียบเทียบจากความรู้สึกของเราที่มีต่อหนังเรื่องนี้แล้ว เราก็รู้สึกอยากฉายหนังเรื่องนี้ควบกับ

2.1 A WEEK'S VACATION (1980, Bertrand Tavernier) หนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดตลอดกาล หนังเล่าเรื่องของครูสาวคนนึงที่ลางานหนึ่งสัปดาห์ แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรสำคัญในช่วงหนึ่งสัปดาห์นั้น นอกจากการไปเยี่ยมคนรู้จักบางคน เหมือนเป็นหนังที่ไม่มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นในหนังเลย แต่เราดูหนังเรื่องนี้มานาน 24 ปีแล้ว แต่ยังลืมความรู้สึกที่รุนแรงสุด ๆ จากหนังเรื่องนี้ไม่ได้

2.2 DYING AT A HOSPITAL (1993, Jun Ichikawa) หนังเล่าเรื่องของกลุ่มผู้ป่วยใกล้ตายในโรงพยาบาล โดยตัดสลับกับภาพคนธรรมดาเดินไปตามท้องถนนเป็นระยะ ๆ หนังทำให้เราตระหนักว่า การเดินไปตามท้องถนน, เดินห้างสรรพสินค้า, etc. ในชีวิตประจำวันแบบนี้นี่แหละ คือโมงยามที่เปี่ยมสุขสุด ๆ แล้ว เมื่อมองจากสายตาของผู้ป่วยใกล้ตาย ซึ่งมันคล้ายกับความรู้สึกของเราที่มีต่อ IN FRONT OF YOUR FACE

2.3 LE FEU FOLLET (1963, Louis Malle) เรื่องของชายหนุ่มคนนึงที่เดินทางไปเยี่ยมเยือนเพื่อน ๆ โดยหวังว่าเพื่อน ๆ จะทำให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

และเรายังรู้สึกว่า IN FRONT OF YOUR FACE เหมือนเป็นด้านกลับของฉากสำคัญใน THE DEVIL, PROBABLY (1977, Robert Bresson) ด้วย ซึ่งก็คือฉากที่พระเอกของ THE DEVIL, PROBABLY กำลังจะเดินไปฆ่าตัวตาย แต่เขาได้ยินเสียงดนตรีที่ไพเราะมากลอยแว่วมาเข้าหูเขา เขาก็เลยหยุดยืนฟังอยู่พักนึง อย่างไรก็ดี เสียงดนตรีอันงดงามไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้

 

เหมือนเราเข้าใจตัวละครทั้งสองตัวนะ ถึงแม้ทั้งสองจะมองโลกในแบบที่อาจจะตรงข้ามกันก็ตาม พระเอกของ THE DEVIL, PROBABLY อาจจะมองว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปมันไร้ค่า มันไม่มีประโยชน์อีกต่อไป และแม้แต่ความงดงามต่าง ๆ ในโลกนี้ อย่างเช่นเสียงดนตรีที่ไพเราะ ก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ส่วนนางเอกของ IN FRONT OF YOUR FACE คงอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป และพยายามจะเก็บความงดงามต่าง ๆ ของสิ่งธรรมดาสามัญในชีวิตเอาไว้ในใจให้มากที่สุด


3.บางทีหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เราชอบ IN FRONT OF YOUR FACE อย่างรุนแรงสุดขีด อาจจะเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือน “ปล่อยวาง” มั้ง เพราะนางเอกของเรื่องนี้เหมือนไม่ต้องการไขว่คว้าอะไรมากมายอีกต่อไปแล้ว เธอไม่ได้ตั้งภารกิจให้ตัวเองแบบตัวละครเอกของ SEVEN POUNDS (2007, Gabriele Muccino), MY LIFE WITHOUT ME (2003, Isabel Coixet) และ “ไสหัวไป นายส่วนเกิน” เหมือนเธอปล่อยวางกับชีวิตของตัวเองได้แล้วในระดับนึง และเราอินกับอะไรแบบนี้อย่างรุนแรงมาก ๆ

เหมือนเรามักจะชอบหนังที่ตัวละครปล่อยวางแบบนี้น่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วหนังกลุ่ม “ปล่อยวาง” ที่เราชอบมันจะเป็นหนังที่แตกต่างจาก IN FRONT OF YOUR FACE ในแง่ที่ว่า ตัวละครในหนังกลุ่มนี้มักจะมีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดน่ะ คือตัวละครในหนังกลุ่มนี้มักจะเริ่มต้นเรื่องด้วยการอยากได้,อยากครอบครอง หรือยึดติดกับอะไรบางอย่าง (อย่างเช่นผัว) ก่อนจะเรียนรู้ว่าความสุขที่แท้จริงสำหรับตนเองอาจจะไม่ต้องพึ่งพาสิ่งที่ตนเองยึดติดมาตลอดทั้งชีวิตก็ได้ แล้วตัวละครในหนังกลุ่มนี้ก็จะทิ้งผัวไปในตอนจบ หรือเลิกไขว่คว้าสิ่งที่ตนเองเคยพยายามครอบครองมาโดยตลอด และหันมามีความสุขกับความธรรมดาสามัญของชีวิต ซึ่งอะไรแบบนี้จะตรงข้ามกับ IN FRONT OF YOUR FACE เพราะใน IN FRONT OF YOUR FACE เราจะไม่เห็นพัฒนาการของตัวละคร เพราะตัวละครนางเอกอาจจะปล่อยวางได้ตั้งแต่ก่อนหนังเริ่มเรื่องแล้ว 5555

 

เราก็เลยนับถือ Hong Sang-soo มาก ๆ ที่ทำหนังแบบนี้ออกมาโดยทำให้เรารู้สึกกับหนังอย่างรุนแรงถึงขีดสุดได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาเส้นเรื่องแบบ “หนังปล่อยวาง” เรื่องอื่น ๆ

 

ส่วนหนังกลุ่มปล่อยวางเรื่องอื่น ๆ ที่เราชอบสุดขีดก็มีอย่างเช่น VALERIE FLAKE (1999, John Putch),  SHIRLEY VALENTINE (1989, Lewis Gilbert), MISS FIRECRACKER (1989, Thomas Schlamme)

 

4.สรุปว่าเราขอยกให้ IN FRONT OF YOUR FACE เป็นหนังที่สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของเราอย่างรุนแรงถึงขีดสุด ในระดับที่ใกล้เคียงกับหนังเรื่อง BUNNY (2000, Mia Trachinger) และเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เพราะเหตุใดหนังสองเรื่องนี้ถึงส่งผลกระทบต่อเราอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า หนังสองเรื่องนี้มอง “ชีวิต” และ “ความทุกข์ของการมีชีวิตอยู่” ในแบบที่ตรงใจเรามากที่สุดก็ได้

No comments: