TIONG BAHRU SOCIAL CLUB (2020, Tan Bee Thiam,
Singapore, A+30)
spoilers alert
--
--
--
--
--
1. Thomas Pang น่ารักมาก ฉันรักเขา
2. ตอนดูก็ชอบสุด ๆ นะ
แต่ก็งงกับหนังประมาณนึง เพราะตอนแรกนึกว่ามันจะเป็นหนังไซไฟแบบ THE
STEPFORD WIVES (2004, Frank Oz), PARADISE HILLS (2019,
Alice Waddington) หรือ GET OUT (2017, Jordan Peele) ที่ภายใต้ฉากหน้าที่สงบสุข มีความชั่วร้ายแฝงอยู่
แต่ปรากฏว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น เหมือนพระเอกดูหัวอ่อนมาก ๆ
แต่ก็มีความสุขไปได้เรื่อย ๆ ท่ามกลางการถูก monitor อย่างเข้มงวด
แม้แต่ในตอนที่ร่วมรักกับเมียตัวเอง
คือตอนดูจะรู้สึกว่า
มันคงเสียดสีอะไรบางอย่างในสิงคโปร์ แต่เราไม่แน่ใจว่าคืออะไร
3.แต่พอได้คุยกับเพื่อน ๆ
ก็เลยมีการตั้งทฤษฎีกันว่า หนังอาจจะเสียดสีประชากรหลายคนในสิงคโปร์ ที่หัวอ่อนสุด
ๆ ว่านอนสอนง่ายมาก ๆ
ซึ่งไม่ใช่ประชากรกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เคยได้รับการนำเสนอในหนังอย่าง TO
SINGAPORE, WITH LOVE (2013, Tan Pin Pin) และ THE RETURN
(2015, Green Zeng) แต่อย่างใด
4. ฉากที่รู้สึกว่าน่าสนใจมากในหนัง
คือฉากที่นักเคลื่อนไหวมาปลุกระดมชาวบ้านให้ไม่ขายบ้าน แต่ชาวบ้านรวมตัวกันขับไล่นักเคลื่อนไหวออกไป
เพราะพวกเขาต้องการเงินที่จะได้จากการขายบ้าน
แต่ไม่สนใจความทรงจำที่มีต่อสถานที่หรือชุมชน
คือการนำเสนอชาวบ้านแบบนี้นี่มันเป็นอะไรที่แปลกหูแปลกตามาก ๆ
สำหรับคนนอกสิงคโปร์อย่างเรา ซึ่งเป็นคนที่คุ้นชินกับการนำเสนอภาพชาวบ้านแบบชุมชนป้อมมหากาฬ,
ชุมชนกระดาษ (ตรอกเจริญไชย ย่านเยาวราช
ที่ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อทำสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินวัดมังกร), etc. ที่ผูกพันกับถิ่นที่อยู่ของตัวเองอย่างรุนแรง เราก็เลยรู้สึกสนใจมาก ๆ
ว่าฉากดังกล่าวในหนังเรื่องนี้มันสมจริงหรือเกินจริง (เพื่อเสียดสี) มากน้อยแค่ไหน
5.รู้สึกว่าถ้าหากเราเป็นตัวละครในหนังเรื่องนี้
เราคงเป็นคนทำทัวร์แมวที่ถูกไล่ออกเป็นรายแรก 555555
6.การทำงานรับฟัง complain
ของพระเอก ก็ทำให้เรานึกถึงเรื่องที่เราเคยได้ยินว่า
รัฐบาลสิงคโปร์ส่งเจ้าหน้าที่ไปทำงานรับฟัง complain แบบนี้ตามตึกที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเป็นประจำ
ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ในความเป็นจริงนั้น
การทำงานแบบนี้ช่วยแก้ทุกข์สุขของประชาชนได้มากน้อยแค่ไหน
คือเราว่าการส่งคนไปรับฟัง complain ของประชาชนตามตึกแบบนี้เป็นสิ่งที่ดีนะ
แต่ในหนังเรื่องนี้ดูเหมือนกับว่า งานที่พระเอกทำมันดูไม่มีประสิทธิภาพจริง ๆ
ยังไงไม่รู้
7.จริง ๆ
แล้วเราว่าหนังเรื่องนี้ควรฉายควบกับหนังที่เราชอบสุด ๆ อีกเรื่อง ซึ่งก็คือ LIVING
A BEAUTIFUL LIFE (2003, Corinna Schnitt,
13min) เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้ทำให้เรา “นึกไปเองว่ามันจะมีการระเบิดอย่างรุนแรงในช่วงท้าย
แต่กลับไม่มีการระเบิดใด ๆ ทั้งสิ้น” 555
คือ LIVING A BEAUTIFUL LIFE ทำให้เรารู้สึกเหมือนดูหนัง
Michael Haneke ที่ตัวละครชนชั้นกลาง/คนรวยที่น่าหมั่นไส้
ไม่ได้รับการลงโทษใด ๆ ทั้งสิ้นน่ะ
เพราะหนังเรื่องนี้นำเสนอคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวร่ำรวยสองคน ที่มีชีวิตเพียบพร้อม
ทั้งสองบรรยายถึงชีวิตที่สมบูรณ์แบบ เปี่ยมด้วยความสุขสุดขีดของตัวเองไปเรื่อย ๆ
ซึ่งเรารู้สึกว่าถ้าหากตัวละครสองตัวนี้ไปอยู่ในหนังของ Haneke พวกมึงต้องไม่รอดแน่ ๆ พวกมึงต้องเจอดีแน่ ๆ ในช่วงท้ายของหนัง
แต่ปรากฏว่าหนุ่มสาวผู้ร่ำรวยและเปี่ยมสุขทั้งสองไม่เจออะไรแบบนั้นเลย มันเหมือนกับว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราจุดชนวนระเบิดในใจตัวเอง
และคิดว่า “ระเบิดในใจเรา” จะได้รับการระบายออกผ่านทางหนัง หนังจะ satisfy เราด้วยการให้เราได้ release ระเบิดในใจออกมาในช่วงท้าย
แต่หนังเรื่องนี้กลับไม่ทำแบบนั้น เราก็เลยฝังใจกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ
ลืมหนังเรื่องนี้ไม่ลงตลอดช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา
เหมือน TIONG
BAHRU SOCIAL CLUB ก็ส่งผลกระทบกับเราในแบบที่คล้าย ๆ LIVING
A BEAUTIFUL LIFE คือเรานึกว่าหนังมันจะเฉลยว่าชุมชนนี้มีความชั่วร้ายแฝงอยู่
หรือไม่ก็มีกลุ่มตัวละครเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง, มีคนฆ่าตัวตายต่อหน้าทุก ๆ
คนในชุมชน หรือมีการล่มสลายอย่างรุนแรงของชุมชนนี้ในที่สุด แต่ปรากฏว่าหนังไม่ได้ satisfy เราในแบบนั้นเลย เราก็เลยรู้สึกว่าหนังมันมีอะไรคล้าย ๆ กับ LIVING
A BEAUTIFUL LIFE ในแง่นี้
No comments:
Post a Comment