TASTE OF WILD TOMATO (2021, Lau Kek-huat, Taiwan, documentary,
A+30)
1.ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหตุการณ์ 228 ในไต้หวันมันจะรุนแรงและหนักหนาสาหัส
ทหารเจียงไคเช็คฆ่าประชาชนตายไปเป็นจำนวนมากแบบนี้ คือถึงแม้เราจะเคยดู A CITY OF SADNESS (1989, Hou
Hsiao-hsien) กับ SUPER CITIZEN KO (1995, Wan Jen) ที่พูดถึง White Terror มาแล้ว
แต่เราก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเหตุการณ์ 228 มันจะเป็นการสังหารหมู่ที่เลวร้ายทารุณแบบนี้
เหมือนพอดูหนังเรื่องนี้จบแล้ว เราก็เลยเข้าใจได้เลยว่า
ทำไมชาวไต้หวันบางคนถึงเกลียดเจียงไคเช็คอย่างรุนแรงสุด ๆ
2.ฉากที่คนด่ากันหน้าอนุสาวรีย์เจียงไคเช็คก็เด็ดดวงมาก ๆ
และเราว่ามันสะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่างได้ดี เพราะเผด็จการหลาย ๆ
คนมันไม่ได้มีแต่ด้านเลวอย่างเดียว คือถึงแม้เผด็จการหลาย ๆ
คนมันจะฆ่าคนบริสุทธิ์ตายไปเยอะมาก แต่เผด็จการเหล่านี้ก็เหมือนสร้างสิ่งดี ๆ
บางอย่างให้กับประเทศของตนเองด้วย เหมือนกับมนุษย์ส่วนใหญ่ที่มีทั้งด้านดีและด้านเลว
เพราะฉะนั้นประชาชนบางกลุ่มก็มักจะยกเอา “คุณงามความดี” ของเผด็จการเหล่านี้มาใช้เป็นข้ออ้าง
และยังคงเชิดชูบูชาเผด็จการเหล่านี้ต่อไป
โดยไม่แยแสสนใจผู้บริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมาก
เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามองเผด็จการเหล่านี้ เราก็เลยเหมือนต้องยอมรับไปโดยปริยายว่า
ถึงแม้เราจะเกลียดพวกมันและต่อต้านพวกมัน แต่เราไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใดว่า
พวกมันเคยทำสิ่งดี ๆ ไว้บ้างเช่นกัน
3.ชอบที่หนังเรื่องนี้พูดถึงตั้งแต่ช่วงญี่ปุ่นยึดครองไต้หวันด้วย ดูแล้วนึกถึง
TIME GOES BY (2016, Bontaro
Dokuyama, documentary) แต่ถ้าหากเราจำไม่ผิด TIME GOES BY เน้นพูดถึงความทรงจำดี ๆ ที่ชาวไต้หวันมีต่อการปกครองของญี่ปุ่น แต่ TASTE
OF WILD TOMATO นี่พูดถึงแง่ลบ โดยเน้นไปที่กลุ่ม “4 พญาเหยี่ยว”
หรือกลุ่มเด็กหนุ่มไต้หวัน 4 คนที่พยายามปกป้องนักเรียนชาวไต้หวันคนอื่น ๆ
จากการถูกนักเรียนญี่ปุ่นรังแกในโรงเรียนในยุคนั้น
4.ชอบการใช้หนังข่าวเก่า ๆ ของญี่ปุ่นมาก ๆ ดูแล้วเห็นชัดเลยว่าญี่ปุ่นยุคนั้นมันเหี้ยจริง
ๆ มันมองไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเป็นพื้นที่สำหรับการรุกราน, ยึดครอง
และดูดเอาทรัพยากรธรรมชาติกลับไปเพื่อประโยชน์ของจักรวรรดิญี่ปุ่นในยุคนั้น
5.รักการสัมภาษณ์คนชราทั้งในหนังเรื่องนี้และหนังเรื่องอื่น ๆ
ในปีนี้มาก ๆ รู้สึกเลยว่าคนชราในหนังเหล่านี้บรรจุความทรงจำที่มีคุณค่าสุด ๆ
เอาไว้ มันคือความทรงจำของประวัติศาสตร์บาดแผลอันเลวร้ายของชีวิต, ของครอบครัว,
ของประเทศ และของโลก และเป็นสิ่งที่เราไม่ได้รับรู้ผ่านทางหนังสือแบบเรียนหรือผ่านทางหนังหลาย
ๆ เรื่อง (นอกจากเรื่อง Holocaust) การได้สัมภาษณ์คนชราเหล่านี้
และได้ช่วยบันทึกความทรงจำของพวกเขาเอาไว้ และได้ส่งต่อความทรงจำเหล่านี้ให้คนอื่น
ๆ ได้รับรู้ต่อไป มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีประโยชน์อย่างสุด ๆ
ก่อนที่คนชราเหล่านี้จะค่อย ๆ ทยอยตายจากพวกเราไปพร้อมกับความทรงจำอันมีค่าของพวกเขา
6.กราบ Lau Kek-huat มาก ๆ เก่งสุด ๆ ฉันรักเขา
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องที่ 6 ของเขาที่เราได้ดู และเราขอยกให้เขาเป็น Patricio
Guzman of Asia ไปเลย
No comments:
Post a Comment