Sunday, December 26, 2021

VENGEANCE IS MINE, ALL OTHERS PAY CASH (2021, Edwin, Indonesia, A+30)

 

VENGEANCE IS MINE, ALL OTHERS PAY CASH (2021, Edwin, Indonesia, A+30)

 

1.สุดฤทธิ์ หนักมาก ๆ ไม่นึกว่า “หนังบู๊ภูธร” แบบในทศวรรษ 1980 จะสามารถทำออกมาใหม่ให้เป็นหนังที่เราดูแล้วอินด้วยสุด ๆ แบบนี้ได้

 

คือปกติเวลาเราดูหนังบู๊ภูธรแบบของไทยในทศวรรษ1980 เราจะชอบแค่ในระดับปานกลางน่ะ เพราะเราว่าหนังกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มันเน้นขายความมันส์สำหรับกลุ่มผู้ชมที่อาจจะ identify ตัวเองกับพระเอกของเรื่องที่ได้ต่อสู้ห้ำหั่นกับผู้ร้ายอย่างรุนแรง ซึ่งเราไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มนี้ (เราก็เลยไปอินกับ “หนังเมโลดราม่าชีวิตผู้หญิง” ของไทยในทศวรรษ 1980 มากกว่า แบบหนังของชนะ คราประยูร) และเราว่าหนังบู๊ภูธรหลายเรื่องในกลุ่มนี้พล็อตมันซ้ำ ๆ กันจนดูแล้วงงไปหมดว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องไหน อย่างเช่น “ป่าเดือด” (1984, ไพโรจน์ ช่างแก้ว) กับ“สารวัตรเถื่อน” (1987, กิตติชัย) ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็ชอบหนังสองเรื่องนี้มากพอสมควร แต่พอเวลาผ่านไปนาน ๆ แล้วเราจะจำไม่ได้ว่าพล็อตเรื่องไหนเป็นเรื่องไหน แต่ก็มีหนังบู๊ภูธรบางเรื่องที่เราชอบสุด ๆ นะ อย่างเช่น “ปีนเกลียว” (1994, อรนุช)

 

แต่กับ VENGEANCE IS MINE, ALL OTHERS PAY CASH นี่เราอินด้วยมาก ๆ และเราว่ามันน่าจดจำสุด ๆ เลยสำหรับเรา เพราะว่า

 

1.1 นางเอกบู๊เก่งสุด ๆ เราก็เลยมีตัวละครที่ identify ด้วยได้ หรือเอาใจช่วยหรือรักตัวละครได้อย่างเต็มที่

 

1.2 ตัวละครพระเอกก็ไม่ได้ดู macho จนน่าหมั่นไส้สำหรับเรา เพราะเขาไร้สมรรถภาพทางเพศ ตัวละครตัวนี้ก็เลยไม่ได้เปล่งรัศมีความเป็นชายในแบบที่เรารังเกียจมากนัก 55555

1.3 หนังไม่ได้ขายอารมณ์มันส์ ๆ จากฉากบู๊เป็นหลักน่ะ เหมือนหนังแค่เอาพล็อตเรื่องกับรูปลักษณ์ของหนังบู๊ภูธรมาใช้ แต่จริงๆ แล้วหนังมันเน้นเนื้อเรื่องแบบที่เราว่าอาจจะเป็น allegory ทางการเมืองของอินโดนีเซียอะไรแบบนั้นมากกว่า

 

และพอเหมือนหนังมันไปเน้นเนื้อเรื่อง มากกว่าอารมณ์มันส์ ๆ จากฉากบู๊แบบผู้ชาย macho มาห้ำหั่นกัน เราก็เลยอินกับหนังเรื่องนี้มากกว่าหนังบู๊ภูธรโดยทั่วไป

 

2.ชอบสุด ๆ ที่หนังเรื่องนี้มีความเป็น “หนังผีเกรดบีในทศวรรษ 1980” ผสมอยู่ในหนังด้วย หนังเรื่องนี้ก็เลยเหมือนเป็นการเอา genre หนังเกรดบีสอง genres ในทศวรรษ 1980 มาทำใหม่ในแบบที่ออกมาดูแล้วงดงามสุด ๆ

 

ในแง่นี้เราชอบหนังเรื่องนี้ในระดับมากกว่าหรือเท่ากับหนังของ Quentin Tarantino เลยนะ เพราะเราว่าหนังของ Tarantino หลาย ๆ เรื่องมันคือการเอา genres หนังเกรดบีในอดีตมาดัดแปลงใหม่ให้กลายเป็นหนังที่มีคุณค่าน่าจดจำน่ะ ทั้งหนังอย่าง KILL BILL (2003-2004), DEATH PROOF (2007), INGLORIOUS BASTERDS (2009), DJANGO UNCHAINED (2012), THE HATEFUL EIGHT (2015) ต่างก็เป็นการนำเอา genres หนังเกรดบีในอดีตมาดัดแปลงใหม่ให้กลายเป็นหนังที่มีคุณค่าทั้งนั้น โดยเฉพาะ THE HATEFUL EIGHT ที่ถือเป็นหนึ่งในหนังคาวบอยที่เราชอบที่สุดตลอดกาล

 

3.ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองหรือเปล่า เพราะเราก็ไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์อินโดนีเซีย แต่พอดูหนังเรื่องนี้แล้วเราก็เลยสงสัยว่า หนังมันเป็น allegory ทางการเมืองของอินโดนีเซียหรือเปล่า เพราะตัวผู้ร้ายใหญ่ของเรื่องก็เหมือนเป็นทหาร

 

คือเราสงสัยว่า การที่พระเอกไร้สมรรถภาพทางเพศ เพราะเขาถูกทหารบังคับให้ข่มขืนผู้หญิงตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก มันอาจจะเป็น allegory ทางการเมืองแบบหนังหลาย ๆ เรื่องก็ได้ เพราะหนังหลาย ๆ เรื่องก็ชอบใช้ “สภาพร่างกาย” ของตัวละครเป็น allegory ทางการเมืองเหมือนกัน อย่างเช่น

 

3.1 CLOSELY WATCHED TRAINS (1966, Jiri Menzel, Czechoslovakia) พระเอกเป็นคนที่ไร้สมรรถภาพทางเพศในช่วงที่นาซียึดครองเช็กโกสโลวาเกีย

 

3.2 THE TIN DRUM (1979, Volker Schlöndorff, West Germany) ร่างกายของพระเอกหยุดการเติบโตพร้อม ๆ กับการเรืองอำนาจขึ้นเรื่อย ๆ ของพรรคนาซีในเยอรมนี

 

3.3 SCIENCE FICTIONS (2019, Yosep Anggi Noen, Indonesia) พระเอกเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเชื่องช้าผิดปกติตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1960 ในอินโดนีเซีย

 

3.4 MUNDANE HISTORY (2009, Anocha Suwichakornpong)

 

3.5 THE EDGE OF DAYBREAK (2021, Taiki Sakpisit)

 

4.นอกจากความไร้สมรรถภาพทางเพศของพระเอกแล้ว เราก็เลยสงสัยว่าเหตุการณ์อื่น ๆ ในหนังมันก็เลยเป็น allegory ทางการเมืองไปด้วยหรือเปล่า ทั้งการฟื้นคืนชีพของผี, การแก้แค้นให้พระเอก และการที่พระเอกกลับมามีสมรรถภาพทางเพศได้ในที่สุด คือถ้าหากหนังเรื่องนี้เป็น allegory ทางการเมืองจริงแบบที่เราสงสัย หนังเรื่องนี้ก็อาจจะเทียบเคียงได้กับหนังฟิลิปปินส์หลาย ๆ เรื่องของ Lav Diaz กับ Raya Martin ที่เป็น allegory ทางการเมืองเหมือนกัน, หนังบางเรื่องของ Jia Zhangke ที่ชีวิตของตัวละครเหมือนกับจะสะท้อนหรือหยอกล้อกับความเปลี่ยนแปลงในจีน, หนังอย่าง THE MARRIAGE OF MARIA BRAUN (1979, Rainer Werner Fassbinder, West Germany) ที่ชีวิตของตัวละครสะท้อน/หยอกล้อไปกับประวัติศาสตร์ของเยอรมนี หรือ MIDNIGHT’S CHILDREN (2012, Deepa Mehta, India) ที่ชีวิตของตัวละครเหมือนหยอกล้อไปกับประวัติศาสตร์อินเดีย

 

5.แต่ไม่ว่ามันจะเป็น allegory ทางการเมืองหรือไม่ เราก็ชอบหนังเรื่องนี้แบบสุด ๆ อยู่ดี เพราะเราชอบที่มันนำ genre หนังบู๊ภูธรกับหนังผีเกรดบีในทศวรรษ 1980 มาปัดฝุ่นใหม่ให้กลายเป็นหนังที่เราอินด้วยมาก ๆ และเพราะว่าหนังเรื่องนี้มีตัวละครนางเอกที่เราชอบอย่างสุดๆ ตัวละครนางเอกแบบในหนังเรื่องนี้นี่แหละที่ตรงกับตัวละครหญิงในโลกจินตนาการของเรา

 

6.สรุปว่าเราได้ดูหนังของ Edwin มาแล้ว 11 เรื่อง และเราชอบเรื่องนี้มากที่สุด

 

หนังของ Edwin ที่เคยดู เรียงตามลำดับความชอบ

 

6.1 VENGEANCE IS MINE, ALL OTHERS PAY CASH

 

6.2 DAJANG SOMEBI, THE WOMAN WHO WAS MARRIED TO A DOG (2005)

 

6.3 BLIND PIG WHO WANTS TO FLY (2008)

 

6.4 POSESIF (2017)

 

6.5 POSTCARDS FROM THE ZOO (2012)

 

6.6 TRIP TO THE WOUND (2008, A+30)

 

6.7 SOMEONE’S WIFE IN THE BOAT OF SOMEONE’S HUSBAND (2013, A+25)

 

6.8 KARA, DAUGHTER OF A TREE (2005, A+15)

 

6.9 A VERY BORING CONVERSATION (2006, A+15)

 

6.10 HULAHOOP SOUNDINGS (2008, A+10)

 

6.11 A VERY SLOW BREAKFAST (2003, B+  )

 

No comments: