Friday, December 10, 2021

DON'T BREATHE 2

 DON'T BREATHE 2 (2021, Rodo Sayagues, USA/Serbia, A+30)


1.ชอบมากกว่าภาคแรกอย่างมาก เพราะภาคนี้กลุ่มผู้บุกรุกเป็นทหารผ่านศึกเหมือนกัน (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) ก็เลยสู้กันอย่างสมน้ำสมเนื้อหน่อย

2.ชอบตัวละครเด็กหญิงที่เก่งกาจและมีความสามารถสูงแบบนี้อย่างสุด ๆ นี่แหละคือตัวละครแบบที่เราหลงรัก นึกว่าเธอคือ prequel ของนางเอกใน  YOU'RE NEXT 55555

3.เหมือนคนดูส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า มีฉากสำคัญอยู่ท้าย ENDING CREDIT เลยเหลือเรารอดูอยู่คนเดียวในโรง
---

ENCANTO (2021, Jared Bush, Byron Howard, Charise Castro Smith, animation, A+30)

ซึ้งมาก ๆ
---
FAR FROM THE TREE (2021, Natalie Nourigat, short animation, A+30)

รู้สึกว่าลูกแรคคูนในหนังเรื่องนี้ดื้อพอ ๆ กับลูกหมีของเรา 55555
---
TOKYO REVENGERS (2021, Tsutomu Hanabasa, Japan, A+30)

1. ฉันอยากได้

1.1 Takumi Kitamura ( Hanagaki Takemichi)

1.2  Yosuke Sugino (Tachibana Naoto)

1.3 Gordon Maeda (Takashi Mitsuya)

1.4 Yoshiki Minato (Nobutaka Osanai)

1.5 Nobuyuki Suzuki (Masataka Shimizu)

2. เหมือนหนังแต่ละ genre จะ require "suspension of disbelief" ที่แตกต่างกันไป เวลาดูหนังจีนกำลังภายใน เราก็จะไม่ตั้งคำถามเรื่องการทำมาหากินของตัวละคร, เวลาดูหนังเพลง หรือหนัง bollywood เราก็จะไม่งงว่าตัวละครลุกขึ้นมาเต้นกันจริงหรือเปล่า และเวลาดูการ์ตูนแบบ SAILOR MOON เราก็จะไม่สงสัยว่า ทำไมตัวร้ายไม่ฉวยโอกาสทำร้ายเหล่า SAILORS ในช่วงที่ตัวละคร "ใข้เวลาหลายวินาทีเหลือเกินในการแปลงร่าง"

พอตอนดูหนังเรื่องนี้ เราก็เลยแอบขำ ช่วงที่พระเอก "ใช้เวลานานหลายนาทีมากในการบิ๊วกำลังใจและเหตุผลต่าง ๆ" ให้ตัวเองหอบหิ้วเพื่อนไปหารถพยาบาล คือเราว่าถ้าเป็นหนังฝรั่งที่มันเน้นความสมจริงกว่านี้ สิ่งที่พระเอกควรทำ คือพอเห็นเพื่อนเจ็บปุ๊บ ก็ควรตัดสินใจได้ใน "1 วินาที" เลยว่า กูควรหิ้วเพื่อนไปหารถพยาบาล แต่เราก็ให้อภัยหนังเรื่องนี้ได้นะ เพราะคิดว่าการที่พระเอกใช้เวลานานแบบนี้มันเป็น "ข้อยกเว้นประจำของหนังญี่ปุ่น" น่ะ ที่ตัวละครเอกต้องใช้เวลาบิ๊วกำลังใจ ความฮึกเหิม บอกตัวเองว่า "ฉันจะสู้เพื่อหญิงคนรัก/โลก/เจ้าโลก/ETC." อะไรต่าง ๆ นานา กว่าที่จะตัดสินใจลุกขึ้นสู้ได้  55555
----
THE PROTEGE (2021, Martin Campbell, A+25)

รัก Maggie Q มาก ๆ ชอบความสวยประหารของเธอมาก ๆ ตั้งแต่ NAKED WEAPON (2002, Ching Siu-tung) ดีใจที่เธอได้มาเล่นหนังบู๊อีก แต่เธอก็อายุ 42 ปีแล้วนะ ไม่รู้เธอจะรับบทแบบนี้ได้อีกนานหรือเปล่า
---
ESCAPE FROM MOGADISHU (2021, Ryoo Seung-wan, South Korea, A+30)

1.สนุกมาก ลุ้นมาก ลุ้นพอ ๆ กับ ARGO (2012, Ben Affleck)  และ HOTEL RWANDA (2004, Terry George) แต่เรื่องนี้มี moral dilemma เรื่องเกาหลีเหนือ-ใต้ ใส่เข้ามาให้ตัวละครต้องเผชิญด้วย

2.ชอบการใช้หนังสือในหนังเรื่องนี้มาก ๆ ไม่นึกว่าหนังสือมันจะช่วยชีวิตคนได้มากขนาดนี้

ชอบความสำคัญของยากันยุงในหนังเรื่องนี้ด้วย

3.ชอบการเล่นกับ "อำนาจ" ระหว่างผู้คนต่าง ๆ ในหนังเรื่องนี้  อย่างเช่น

3.1 คนขับ taxi -- ผู้โดยสารที่ตอนแรกรังเกียจ แต่ในที่สุดก็ต้องพึ่งพาคนขับ

ซึ่งเราว่าตรงจุดนี้มันสะท้อนความสัมพันธ์ของอีกหลายคู่ในเวลาต่อมา ทั้งตำรวจ-สถานทูต และทูตเกาหลีเหนือ-ทูตเกาหลีใต้ ที่ตอนแรกรังเกียจ แต่ก็ต้องพึ่งพา เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป

3.2 รัฐมนตรีโซมาเลีย -- ทูตเกาหลีใต้

3.3 อำนาจของผู้หญิง 3 คนในสถานทูตเกาหลีใต้ ที่เมียเอกอัครราชทูตที่เป็นคริสต์ ไปกดทับเจ้าหน้าที่ที่เป็นพุทธ แต่ในบางสถานการณ์ เมียทูตก็กลับกลายเป็นคนที่มีมนุษยธรรมมากกว่าคนอื่น ๆ

3.4 อำนาจระหว่างตำรวจโซมาเลียกับสถานทูต ที่พอสถานการณ์พลิกผัน แต่ละฝ่ายก็ผลัดกันขึ้นมามีอำนาจเหนืออีกฝ่าย

3.5 แก๊งโจร -- สถานทูตเกาหลีเหนือ

3.6 ทูตเกาหลีเหนือ -- ทูตเกาหลีใต้

3.7 ชาวบ้านหญิงที่ได้แต่แอบมองตำรวจฆ่าคน แต่เมื่อสถานการณ์พลิกผัน เธอก็กลายเป็นคนที่หยิบยื่นความตายให้แก่ตำรวจได้

3.8 ทูต-เลขาทูต-ที่ปรึกษา

3.9 ทหารอิตาลี-กลุ่มกบฏ-ทหาร/ตำรวจโซมาเลีย

4.มีฉากที่ชอบมากหลายฉาก อย่างเช่น

4.1 ฉากรับประทานอาหารระหว่างเจ้าหน้าที่สองสถานทูต ที่เหมือนคิดมาอย่างละเอียด

4.2 ฉากเด็กเกาหลีเหนือแกล้งตายขณะเจอแก๊งเด็กกบฏพร้อมปืนกล

5.ยกให้เกาหลีใต้ ชนะอินเดียและจีน เมื่อนำหนังเรื่องนี้ไปเทียบกับ AIRLIFT (2016, Raja Menon) ที่สร้างจากเรื่องจริงของการหนีตายของคนอินเดียออกจากคูเวต ในช่วงที่อิรักบุกคูเวต ซึ่งจริง ๆ แล้ว AIRLIFT ก็เป็นหนังที่ใช้ได้ แต่ไม่น่าจดจำเท่า  ESCAPE FROM MOGADISHU 

ส่วนหนังที่โสมมที่สุดในกลุ่มนี้ก็คือ WOLF WARRIOR 2 (2017, Jing Wu, China) ที่เป็นความพยายามประกาศศักดาของจีนในทวีปแอฟริกา 555

6.พอเห็นความหล่อของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของเกาหลีเหนือ-ใต้ในหนังเรื่องนี้แล้ว ก็รู้ว่าในอนาคตต้องมีการสร้างหนังเกย์ที่ให้ทหารเกาหลีเหนือกับทหารเกาหลีใต้มาสู้กันแล้วไป ๆ มา ๆ ก็เลยเย็ดกัน แล้วล่ะ
---

RECALLED (2021, Seo You-min, South Korea, A+15)

ตอนแรกเรานึกว่ามันเป็นหนัง thriller แต่ไป ๆ มา ๆ แล้วมันเหมือนเป็นหนัง romantic 50% หนังลึกลับ thriller 50% ซึ่งความ  thriller ของมันไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ แต่เราอินกับความ romantic ของมัน โดยเฉพาะในฉากจบ ก็เลยโอเคกับหนัง ถึงแม้ว่า "ฉากก่อนฉากจบ" จะเห่ยมากก็ตาม 555
---
CARAVAGGIO (1986, Derek Jarman, UK, second viewing, A+30)

--พอได้ดูแบบมี subtitle แล้วก็ไม่ประหลาดใจที่เราเคยดูไม่รู้เรื่องตอนที่เราดูรอบแรกทาง  video จากร้าน AVS  เมื่อราว 25 ปีก่อน เพราะเสียง voiceover มันเป็นเสียงรำพึงรำพันแบบบทกวีน่ะ มันไม่ใช่อะไรที่ง่ายเลย 555 และหนังก็เล่าเรื่องแบบตัดสลับเวลาไปมาด้วย ดีใจมาก ๆ ที่ได้ดูแบบมี subtitles ในที่สุด

--คิดถึงเครื่องคิดเลขแบบที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้มาก ๆ เหมือนเราไม่ได้เห็นเครื่องคิดเลขแบบนี้มานาน 20 กว่าปีแล้ว 555






No comments: