วิธีการปัดแก้มที่ถูกต้อง ถ้าหากคุณปัดแก้มไม่ดี
คนจะนึกว่าคุณเพิ่งถูกไม้หน้าสามฟาดหน้ามา
จากรายการโทรทัศน์ FASH SHOW ที่เคยแพร่ภาพทางช่อง 3 ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ดำเนินรายการโดยคุณริสา
หงส์หิรัญ และคุณตุ้ม
https://web.facebook.com/jit.phokaew/videos/3021436034670545
+++
รัก Nakano Taiga (MY MAN, SWEET BEAN, HARMONIUM) มาก ๆ เราว่าเขาไม่ได้หล่อมาก แต่อยากได้เขา
ฉันรักเขา Taiga Nakano from EYES IN
LOVE (HITOMI HORE) – Vaundy (2022, music video)
เราเข้าใจว่า Taiga Nakano มักจะรับบท “พระรอง” เป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็หลงรักเขามากกว่าพระเอกเสียอีกในบางครั้ง ใครมี “พระรอง” ที่น่ากินของญี่ปุ่นคนอื่น ๆ
แนะนำอีกบ้าง เสียดายที่เราไม่ได้ตามดู “ละครโทรทัศน์”
เพราะเราว่าละครโทรทัศน์น่าจะมีตัวละคร “พระรองที่น่ากิน” เยอะกว่าใน “ภาพยนตร์”
“พระรอง” อีกคนที่เราชอบสุดขีดก็คือ Oshiro
Maeda (WHAT SHE LIKES, MY HAPPY MARRIAGE, TEASING MASTER
TAKAGI-SAN MOVIE)
เห็นคุณ Kanin Nitiwong แนะนำ
Eita Nagayama (MONSTER, AZUMI, 9 SOULS, MEMORIES OF MATSUKO, DORORO) ซึ่งเราก็ชอบเขามาก ๆ เช่นกัน
ดู MV ได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=XEEXE8Ei5SA
+++++++
A QUIET PLACE: DAY ONE (2024, Michael Sarnoski, A+25)
ห้ามอ่านขณะกินข้าว
--
--
--
--
--
--
--
--
--
--
ดูมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. 2024 แต่จะขอจดบันทึกความทรงจำเพิ่มเติมไว้อีกเล็กน้อยว่า
ระหว่างที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราจะจินตนาการว่า ถ้าหากมันเป็นหนังไทย
มันจะต้องมีฉากดังต่อไปนี้
1. ตัวละครตดดังปู้ด แล้วเลยโดนเอเลี่ยนฆ่าตาย
2. ตัวละครนั่งชักโครก
แล้วมีเสียงอุจจาระกระทบน้ำดัง “ตุ๋ม” แล้วตัวละครก็เลยโดนเอเลี่ยนฆ่าตาย
3. ตัวละครกดชักโครก เกิดเสียง
แล้วเลยโดนเอเลี่ยนฆ่าตาย
คือระหว่างที่เรานั่งดูหนังเรื่องนี้
เราจะจินตนาการตลอดเวลาว่า ถ้าหากเราหลุดเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในหนังชุดนี้
เราจะผายลมและเราจะอุจจาระอย่างไร โดยที่ไม่โดนเอเลี่ยนฆ่าตายน่ะ
เพราะใช้ชักโครกก็คงไม่ได้แล้ว มันต้องเกิดเสียงดัง แต่ถ้าไปอาศัยอยู่แถว ๆ ลำธารหรือแม่น้ำ
อาจจะปลอดภัยก็ได้ เพราะสามารถไปทำอะไรใต้น้ำได้แทน 55555
ใครมีวิธีเอาตัวรอดอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ก็บอกมาได้นะคะ
+++++++
LOOK BACK (2024, Kiyotaka Oshiyama, Japan, animation, 58min,
A+30)
ดูมานานแล้วตั้งแต่วันที่ 19 ต.ค. 2024
เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ขอบรรยายถึงความดีงามของเนื้อเรื่องของหนังเรื่องนี้ก็แล้วกัน
เพราะมันก็ดีงามตามที่เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนเคยเขียนถึงไปแล้ว เราจะแค่จดบันทึกสั้นๆ
ถึงประเด็น 2 ประเด็นที่กระทบจิตใจเราอย่างรุนแรงมากเป็นพิเศษจากหนังเรื่องนี้
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1. ประเด็นแรกคือ ตอนที่เราเข้าไปดูหนังเรื่องนี้
เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมาก่อนเลย เพราะฉะนั้นพอดูจบ เราก็จะแอบรู้สึกว่า
ทำไมเนื้อเรื่องมันโหดร้ายจัง อยู่ดี ๆ ตัวละครก็ตกเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิต ซึ่งก็ถือเป็นอะไรที่
surprise มากสำหรับเรา เพราะปกติแล้ว หนังฆาตกรโรคจิต
มันมักจะเป็นหนัง horror ที่คนดูรู้ตั้งแต่ต้นเรื่องว่า
ตัวละครเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ปะทะกับฆาตกรโรคจิต แต่หนังเรื่องนี้ เป็นหนังชีวิต
ตัวละครมีชีวิตอยู่เพื่อตัวของพวกเขาเอง ก่อนที่จะเจอกับฆาตกรโรคจิต เราก็เลยชอบและเซอร์ไพรส์มากกับฟังก์ชั่นการใช้ฆาตกรโรคจิตในหนังเรื่องนี้
แต่พอดูจบแล้ว เราก็ได้อ่านจากเพื่อน ๆ ใน FACEBOOK
ว่า หนังเรื่องนี้มันได้รับแรงบันดาลใจมาจากคดีจริงที่ฆาตกรโรคจิตฆ่าคนตายไป
36 คนในการวางเพลิงสตูดิโอ Kyoto Animation ในวันที่ 18 ก.ค.
2019 เราก็เลยช็อคไปเลย และเปลี่ยนความคิดจากหลังตีนเป็นหน้ามือในทันที คือตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้จบใหม่
ๆ นั้น เราเคยแอบสงสัยว่า “เนื้อเรื่องของ LOOK BACK มันโหดร้ายเกินความจำเป็นไปไหม”
แต่พอเราได้รับรู้ว่า ในเหตุการณ์จริงนั้น ฆาตกรโรคจิตฆ่าคนตายไป 36 คน แต่ใน LOOK
BACK นั้น ฆาตกรโรคจิตเหมือนฆ่าคนตายไปเพียงแค่ไม่กี่คน
เราก็เลยต้องตั้งคำถามใหม่ว่า “เนื้อเรื่องของ LOOK BACK มันเบาเกินความเป็นจริงไปไหม”
ก็เลยรู้สึกว่า LOOK BACK นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของประโยคที่ว่า
“เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย” จริง ๆ เพราะคดีจริง ๆ นั้นมันรุนแรงกว่าตัว fiction อย่าง LOOK BACK หลายเท่ามาก ๆ
2. สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้จาก LOOK
BACK เป็นสิ่งที่หนังอาจไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดถึง นั่นก็คือพอดูหนังเรื่องนี้จบ
เราก็นึกถึงความจริงของชีวิตที่ว่า ชีวิตมักจะไม่เปิดโอกาสให้คนหลาย ๆ
คนได้ใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ หรือไม่เปิดโอกาสให้คนหลาย ๆ
คนได้ปลดปล่อยศักยภาพที่ตนเองมีอยู่อย่างเต็มที่
คือตัวละคร Kyomoto ในเรื่อง
เหมือนเป็นคนที่เก่งหลายอย่างน่ะ เธอน่าจะทำงานได้ดีทั้งในฐานะที่เป็น background
illustrator, manga artist และ artist แบบ painter
ก็ได้ แต่ “ชะตาชีวิต” หรือ “ปัจจัยหลาย ๆ อย่างในชีวิต”
ก็เปิดโอกาสให้เธอได้ฉายแสงเพียงแค่ในฐานะ background illustrator เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่เธอเองก็มีศักยภาพที่จะเป็น manga artist ได้ด้วยตัวเอง และเป็น painter ที่ดีได้ด้วย แต่ “ชีวิต”
ก็ไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปลดปล่อยศักยภาพเหล่านั้นออกมา
ซึ่งประเด็นนี้มันสะท้านสะเทือนใจเราอย่างรุนแรงมาก
ๆ เพราะเรารู้สึกว่ามันจริงมาก ๆ และเราก็เห็นชีวิตคนหลายคนเป็นแบบนี้ ซึ่งรวมถึงเพื่อน
ๆ หลายคนใน facebook ด้วย เพื่อนบางคนจบวิศวกรขั้นสูงจากต่างประเทศ
แต่ก็เลือกที่จะทำงานเป็นล่าม/นักแปลนิยาย แทนที่จะทำงานเป็นวิศวกร (ซึ่งเราก็ยินดีกับเขา
เพราะเรารู้ว่า เขาคงเลือกเส้นทางชีวิตที่ทำให้เขามีความสุขมากที่สุด), เพื่อนบางคนมีความสามารถที่จะเป็น fashion designer แต่ก็จำเป็นต้องทำงานด้านฟิสิกส์
และไม่ได้พัฒนาความสามารถในการเป็น fashion designer ต่อ, etc.
เหมือนเพื่อน ๆ หลาย ๆ คนมี potential ที่จะเป็นอะไรได้มากกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่ในปัจจุบัน
แต่ก็ไม่ได้ปลดปล่อย potential นั้นออกมา ซึ่งบางคนก็เลือกเอง
เพราะเขารู้แล้วว่าเส้นทางไหนเป็นเส้นทางที่ตนเองรักมากที่สุด แต่หลาย ๆ
คนก็ไม่ได้เลือกเส้นทางที่ตนเองรักมากที่สุด เพราะปัจจัยหลาย ๆ
อย่างในชีวิตบีบบังคับให้พวกเขาต้องเลือกประกอบอาชีพอื่น ๆ แทน
และสิ่งที่สำคัญก็คือว่า พอ LOOK BACK มันพูดถึง background illustrator ที่จริง ๆ
แล้วน่าจะยืนหยัดเป็น manga artist ได้ด้วยตัวเอง
เราก็เลยนึกถึงวงการภาพยนตร์มาก ๆ โดยเฉพาะวงการภาพยนตร์ไทย เพราะเรารู้สึกว่า
จริง ๆ แล้วมี “คนที่มีศักยภาพที่จะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ดีและเก่งกาจ” จำนวนมากในวงการภาพยนตร์ไทย
เพียงแต่ว่า คนเหล่านั้นทำงานในตำแหน่ง “ตัดต่อ”, cinematographer, ทำงาน post production ด้านต่างๆ, ทำงาน casting, ทำงานเขียนบท
แต่ไม่ได้ทำตำแหน่งกำกับภาพยนตร์
คือในเมืองนอกเราก็อาจจะเห็นตัวอย่างเช่น
2.1 Sven Nykvist ตากล้องคู่บุญของ
Ingmar Bergman แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเองเรื่อง THE OX
(1991, Sweden, A+30) หนังก็ออกมาดีมาก ๆ
2.2 Walter Murch ที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาตัดต่อยอดเยี่ยมจาก
JULIA, APOCALYPSE NOW, THE GODFATHER PART III, GHOST, THE ENGLISH
PATIENT (ชนะออสการ์), COLD MOUNTAIN แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเรื่อง
RETURN TO OZ (1985) หนังก็ออกมาน่าสนใจมาก ๆ
(แต่เรายังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้นะ)
2.3 Tony Gilroy ที่เคยเขียนบทหนังอย่าง ARMAGEDDON,
THE DEVIL’S ADVOCATE, etc. ก็กำกับหนังเรื่อง MICHAEL
CLAYTON (2007) ออกมาได้ดีมาก
2.4 David Mamet ก็เหมือนมีอาชีพหลักเป็นคนเขียนบท
(THE POSTMAN ALWAYS RINGS TWICE, THE VERDICT, THE UNTOUCHABLES) แต่หนังที่เขากำกับเอง อย่าง HOUSE OF GAMES (1987) ก็ดีงามมาก
2.5 Emmanuel Finkiel ก็เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับ
Krzysztof Kieslowski แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเอง อย่าง VOYAGES
(1999) และ MEMOIR OF WAR (2017) เราก็กราบตีนไปเลย
2.6 Claude Miller ก็เคยทำงานเป็น production
manager ให้กับหนัง 6 เรื่องของ Francois Truffaut แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเอง อย่างเช่น THE GRILLING (GARDE A
VUE) (1981), THE ACCOMPANIST, CLASS TRIP, OF WOMAN AND MAGIC และ ALIAS
BETTY เราก็กราบตีนเขาเหมือนกัน
2.7 Pascal Bonitzer นี่ก็ทำงานเขียนบทภาพยนตร์ให้กับ
Jacques Rivette, Chantal Akerman, Andre Techine, René Allio, Barbet
Schroeder, etc. แต่พอเขาลุกขึ้นมากำกับหนังเอง อย่างเช่น NOTHING
ABOUT ROBERT (1999) และ MADE IN PARIS (2006) เราก็กราบตีนเขาเหมือนกัน
2.8 Claire Denis ซึ่งโด่งดังเป็นพลุแตก
กระจกแตก กระจายเกลื่อนในปัจจุบันนั้น ก็เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้กับ Wim
Wenders, Dusan Makavejev, Eduardo de Gregorio, Costa-Gavras, Jim Jarmusch มาก่อน
คือในเมืองนอก เราก็จะเห็นตัวอย่างมากมายว่า
มีหลาย ๆ คนที่ปกติแล้วไม่ได้ทำงานกำกับภาพยนตร์ แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้กำกับภาพยนตร์
ผลงานของเขาก็ออกมาดีงามมาก ๆ หรือหลาย ๆ คนที่โชคดี+ฝีมือดี
ก็คือทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ, production manager, etc. แล้วก็ไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังได้ในที่สุด
อย่างเช่น Claire Denis
ส่วนในไทยนั้น ถ้าหากใครติดตามวงการหนังสั้น
เราก็จะพบว่า มีผู้กำกับหนังสั้นที่เก่งฉกาจมากมายหลายคน ที่ไม่ได้ “กำกับหนังยาวเป็นอาชีพหลัก”
และถ้าหากเราดู ending credits ของหนังไทยขนาดยาวหลาย ๆ
เรื่อง เราก็จะพบชื่อผู้กำกับหนังสั้นที่เก่งฉกาจเหล่านี้ ทำงานในตำแหน่งต่าง ๆ
อย่างเช่น คนตัดต่อ, cinematographer, คนเขียนบท, casting หรือทำงานในสตูดิโอ post production ต่าง ๆ
ซึ่งเราก็รู้สึกว่า บุคคลเหล่านี้ จริง ๆ
แล้วเขามีความสามารถที่จะกำกับหนังยาวดี ๆ ได้เลยนะ
และถ้าหากพวกเขาได้กำกับหนังยาว วงการหนังไทยมันจะเจิดจรัส โชติช่วงชัชวาลมาก ๆ เพียงแต่ว่าชีวิตคนเรา
บางทีมันก็ไม่เปิดโอกาสให้หลาย ๆ คนได้ปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองออกมาครบทุกด้าน
หลาย ๆ ครั้งเราก็ทำได้เพียงแค่ทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ของเราต่อไปให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง
ส่วนศักยภาพด้านอื่น ๆ ของเรา เราก็ทำได้แค่เก็บมันเอาไว้ก่อน เผื่ออนาคตอาจจะมีวันหนึ่งที่เราได้ปลดปล่อยมันออกมา
เพราะฉะนั้นพอเราดู LOOK BACK ในเดือนต.ค. เราก็เลยคิดถึงประเด็นนี้มาโดยตลอด โดยที่หนังเรื่อง LOOK
BACK ไม่ได้ตั้งใจ และมันเป็นประเด็นที่สะท้านสะเทือนใจเราอย่างรุนแรงมากเป็นพิเศษ
เพราะมันคือความจริงของชีวิต
No comments:
Post a Comment