PRIMA DE CINÉ (2020, Kay Amphone Xaysombath, documentary, A+30)
หนังสารคดีสัมภาษณ์ Mattie Do
เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆเพราะมันพูดถึงประเด็นที่เราสนใจ เราเพิ่งรู้จากหนังเรื่องนี้ว่า
Mattie ไม่เคยเรียนด้านภาพยนตร์มาก่อน เธอเป็นครูสอนบัลเลต์
แล้วเธอคิดว่าบัลเลต์มันยากกว่าการกำกับภาพยนตร์ เพราะการเต้นบัลเลต์บนเวทีมันพลาดแล้วพลาดเลย
แต่การกำกับภาพยนตร์เราสามารถถ่ายเทคใหม่ได้เสมอ
เธอเล่าด้วยว่า CHANTHALY (2012, Mattie Do, A+30) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเสียชีวิตของแม่ของเธอเอง ส่วน DEAREST
SISTER (2016, Mattie Do, A+30) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบัลเลต์เมื่อ
400 ปีก่อน
NCUK (2020, Natthapol Asawarnon, advertisement)
งานฉาย thesis ของ Digital Media students, Comm Arts, Assumption University. มีอะไรที่ไม่ใช่หนังสั้นเยอะมาก
อย่างอันนี้เป็นโฆษณาสถาบันที่ให้บริการด้านการช่วยเหลือลูกค้าในการไปเรียนต่อที่อังกฤษ
LOST IN CONNECTION (2020, Nutchanon Tanyasri, documentary, A+30)
1.เหมือนการทำหนังเรื่องนี้เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก
3 ตัว 555 คือได้ทั้งหนัง thesis, ได้ทั้งตามหาเพื่อนสนิทในวัยเด็ก
และได้หาโอกาส reconnect กับพ่อด้วย
2.ชอบหนังตั้งแต่ช่วงแรกๆ
เหมือนผู้กำกับเลือกใช้ภาพมาประกอบได้เก่งน่ะ ทั้งการใช้ภาพวิวทิวทัศน์ที่งดงาม,
ภาพถ่ายเก่าๆ, ภาพบ้านที่มีฝุ่นจับเขรอะตามสิ่งของต่างๆ
เหมือนผู้กำกับทำให้ภาพเหล่านี้มันทรงพลังขึ้นมา และภาพเหล่านี้มันก็ให้พลังกับตัวหนังด้วย
เรารู้สึกว่าการเลือกใช้ภาพเหล่านี้
และการร้อยเรียงภาพเหล่านี้เข้าด้วยกันในช่วงแรกๆของหนังมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆน่ะ
เพราะมันไม่ใช่การเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา แต่เป็นการสร้าง “ภาวะ”
ของความทรงจำถึงอดีต มันเป็นการสร้างมิติทางอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่มีเสน่ห์
และเปิดโอกาสให้เราเข้าไปในหนังได้ เราว่าช่วงแรกๆของหนังทำออกมาได้งดงามมากๆ
3.พอผ่านช่วงแรกไปแล้วนิดนึง “พ่อ” ถึงค่อยปรากฏตัวขึ้นมา
แล้วพอผ่านไปอีกระยะนึง ตัวผู้กำกับถึงค่อยปรากฏตัวขึ้นมาเป็นภาพต่อหน้ากล้อง
และเราก็ชอบการทิ้งระยะการปรากฏตัวของบุคคลเหล่านี้ในหนังน่ะ มันส่งผลกระทบต่อจินตนาการของเรามากๆ
คือในช่วงแรกๆที่ตัวพ่อกับตัวผู้กำกับยังไม่ปรากฏขึ้นมาในหนังน่ะ
เรารู้สึกเหมือนกับว่า หนังมันเชื้อเชิญเราเข้าไปใน “ห้องจินตนาการ”
ที่เต็มไปด้วยสิ่งของจากอดีตมากมาย ห้องนั้นยังไม่มีคนอื่นๆอยู่ในห้อง
และการเข้าไปในห้องจินตนาการนั้น มันก็เลยกระตุ้นจินตนาการของเราอย่างเต็มที่
มันทำให้เรานึกถึงอดีตของตัวเองมากๆ และถึงแม้ตัว “พ่อ” ปรากฏขึ้นมาในหนังแล้ว
หนังมันก็ยังคงกระตุ้นให้เรานึกถึงอดีตของตัวเองอยู่
(โดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจ) มันทำให้เรานึกถึงเพื่อนในวัยเด็กที่หายสาบสูญไปจากชีวิตของเราแล้วเหมือนกัน
ทั้งเพื่อนในโรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ ที่พอเราจบจากโรงเรียนอนุบาล
เราก็ไม่ได้เจอพวกเขาอีกเลยมานาน 40 ปีแล้ว
(แน่นอนว่าเราจำชื่อจริงของพวกเขาไม่ได้เลย), เพื่อนในจังหวัดอุบลฯที่เราเคยไปเล่นด้วยตอนเด็กๆทุกๆปิดเทอม,
เพื่อนในโรงเรียนสอนธรรมะวันอาทิตย์ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 etc. และแม้แต่เพื่อนมัธยมที่เราสนิทที่สุดตอนม.2-ม.3
ก็หายสาบสูญไปจากชีวิตเราแล้วเหมือนกัน เพราะพวกเขาไม่เล่น facebook และเลือกที่จะไม่ติดต่อกับเพื่อนๆมัธยมอีกเลย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไร
ยอมรับว่าช่วงแรกๆของหนังมันกระตุ้นให้เรานึกถึงอดีตของตัวเองมากๆ
และเราชอบหนังสุดๆตรงจุดนี้ เพราะหนังเรื่องอื่นๆแทบไม่เคยกระตุ้นให้เรานึกถึงความทรงจำส่วนนี้ของตัวเองมาก่อน
4.เราเริ่มหลุดออกจากจินตนาการของตนเอง และหันมาจดจ่อกับเรื่อองราวของผู้กำกับอย่างเต็มที่
เมื่อหนังไม่ได้ใช้ “ภาพถ่ายเก่าๆ” หรือ “การจับภาพสิ่งของเก่าๆ” มานำเสนอบ่อยๆอีกน่ะ
คือเหมือนในช่วงต่อมา ผู้กำกับกับพ่อก็เดินทางไปถามข้อมูลจากชายชราคนนึง
และผู้กำกับเริ่มปรากฏตัวต่อหน้ากล้องบ้างแล้ว (ผ่านทางภาพถ่าย) มันก็เลยเหมือนกับว่า
“ห้องจินตนาการ” ที่หนังสร้างขึ้นในช่วงต้นเรื่อง
มันมีตัวละครสำคัญปรากฏขึ้นมาอยู่ในห้องนั้นแล้ว
เราก็เลยหันมาจดจ่อกับสิ่งที่ตัวละครทำ
และไม่ได้ฟุ้งไปกับจินตนาการและอดีตของตนเองอีก
5.ดีที่หนังไม่พยายามทำซึ้ง, ฟูมฟาย หรือเร้าอารมณ์เกินไป
แต่ปล่อยให้สิ่งต่างๆดำเนินไปตามครรลองของมันเอง
6.แต่พอดูหนังเรื่องนี้แล้วก็เลยแอบคิดว่า
บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุนึงหรือเปล่า ที่ทำให้ผู้กำกับชายหลายๆคนชอบทำหนังเกี่ยวกับสภาพจิตของผู้หญิง
เพราะเราว่าพอตัวบุคคลหลักในหนังเรื่องนี้ทั้ง 3 คนเป็น “ผู้ชาย” หมดเลย
(ผู้กำกับ, พ่อ, เพื่อนในวัยเด็ก)
การแสดงออกทางอารมณ์ความรู้สึกก็เลยแข็งๆกันหมดน่ะ 55555
ซึ่งมันก็คงเป็นธรรมชาติของผู้ชายแหละ แต่พอดูหนังเรื่องนี้แล้วก็เลยแอบคิดว่า
ถ้าหากมันเป็นเรื่องของผู้หญิง การแสดงออกของ subjects มันคงจะให้อารมณ์ที่รุนแรงกว่านี้ไปโดยปริยาย
7.อยากให้มีคนเอาพล็อตนี้ไปดัดแปลงเป็น fiction หนังเกย์มากๆ
55555
MELON LEK FIN IM-POR-DEE (2020, Kemiga Krutto, documentary, A+30)
หนึ่งในหนังที่ชอบที่สุดที่ได้ดูในงาน thesis ของ Assumption
University วันนี้ จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีความน่าสนใจในด้าน
aesthetics แต่อย่างใด หนังเรื่องนี้เป็นการสัมภาษณ์เกษตรกรหนุ่มคนนึงที่ปลูก
melon ในภาคตะวันตกของไทย แต่เราชอบมากๆที่หนังมันเหมือน “รักและหลงใหลในความรู้”
น่ะ และหนังปล่อยให้ตัวเกษตรกรหนุ่มพูดชุดข้อมูลความรู้แบบอัดแน่นสุดๆ
ละเอียดสุดๆไปเรื่อยๆ
เราว่าหนังแบบนี้มันไม่ “ดูถูกคนดู” ดีน่ะ
คือหนังบางเรื่องมันเหมือนแบบว่า “เราถ่ายภาพสวยๆ
แต่อย่าให้สาระอะไรกับคนดูมากเกินไปนะ เดี๋ยวคนดูบางคนจะบ่นปวดหัว”
แต่หนังเรื่องนี้ไม่แคร์คนดูแบบนี้เลย คือกูรักสาระ กูรักความรู้
กูก็เลยให้สาระและความรู้ในหนังอย่างเต็มที่ และเรารักหนังแบบนี้มากๆ
(แน่นอนว่าเรารักหนังทดลองที่ไม่มีสาระหรือความรู้อะไรเลยด้วย
คือเรารักหนังที่ไม่ประนีประนอมกับคนดูในทั้งสองแนวทางน่ะ)
ชอบเรื่องที่เกษตรกรเล่ามากๆเลยด้วย โดยเฉพาะเรื่องการปลูก melon 200
ต้นแรกแล้วตายหมดทั้ง 200 ต้น แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงหาทางเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง
และพัฒนาตนเองไปเรื่อยๆ ทดลองการปลูกไปเรื่อยๆ
เรื่องการปลูกถั่วก่อนปลูก melon ก็ถือเป็นการให้ชุดข้อมูลที่ละเอียดยิบมากๆ
ชอบที่หนังบอกละเอียดเลยว่า “เรือนเพาะชำ 1 เรือน ปลูกได้ 426 ต้น”
อะไรทำนองนี้
ถ้าเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆในงาน thesis เดียวกันแล้ว
เราก็ชอบ MELON กับ PRIMA DE CINÉ มากที่สุดแหละ
เราเข้าใจว่าหนัง thesis ในงานนี้มันมีการจำกัดความยาวมั้ง
ทุกเรื่องเลยออกมาสั้นๆหมด ซึ่งพอหนังแต่ละเรื่องมันต้องสั้นมากๆแล้ว
หนังสารคดีที่จะประสบความสำเร็จภายในข้อจำกัดแบบนี้ได้ ก็เลยเป็นหนังที่พูดถึง subject
แค่คนเดียวแบบ MELON กับ PRIMA DE CINÉ
น่ะ ในขณะที่หนังสารคดีที่พยายามนำเสนอประเด็นใหญ่ๆบางประเด็นในงานนี้
พอเราดูแล้วเรากลับพบว่ามันดู “ผิวเผิน” มากๆ
No comments:
Post a Comment