Monday, May 04, 2020

CINEMORE 2020



THE SECRET (2020, Natnicha Yangthong, 46min, A-)

1.ไม่ชอบเนื้อเรื่องเลย

2.แต่ชอบ location และการถ่ายภาพมากๆ เข้าใจว่าตากล้องคือเมธัส คอมเพ็ชร ชอบความพยายามถ่าย long take และชอบการถ่าย location

3.ชอบการแสดงของคนที่เล่นเป็น “ศักดิ์” ด้วย

SECRETS IN THE BLUE BOX (2020, Napatsapol Jaidee, 28min, A+20)

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1. ปีที่แล้วชอบหนังเรื่อง RAIN RAIN COME AGAIN กับ RUN RAN RUN ของผู้กำกับคนนี้มากๆ ปรากฏว่าชอบสองเรื่องนั้นมากกว่าเรื่องล่าสุดอีก 555

2.ไม่นึกว่าหนังจะมีความเป็น “เทพนิยาย” แทรกเข้ามาด้วย 555 เพราะเปิดมาฉากแรกนึกว่าจะเป็นหนังโรแมนติก แต่อยู่ดีๆพอมีฉากกล่องวิเศษเข้ามา เราก็นึกถึงพวกหนังฝรั่งที่ชอบฉายในช่วงเทศกาลคริสต์มาสอะไรทำนองนี้ พวกหนังปาฏิหาริย์วันคริสต์มาส

แต่เราว่าความเป็นเทพนิยาย หรือไซไฟในหนังเรื่องนี้ มันทำไม่ถึงในแง่บรรยากาศและความน่าเชื่อถือน่ะ เราก็เลยไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ

3.แต่เราก็ชอบหนังเรื่องนี้มากพอสมควรนะ คือเรามองมันในแง่ “จิตวิทยา” น่ะ คือพอดูหนังเรื่องนี้ เรานึกถึงที่นักวิจารณ์คนนึงเคยเขียนถึงละครทีวีเรื่อง BUFFY THE VAMPIRE SLAYER (1997-2003) ว่า ละครเรื่องนี้มันสะท้อนความรู้สึกของวัยรุ่นที่ว่า “โลกกำลังจะแตกในทุกๆสัปดาห์”

คือพอเราไม่ได้มองว่า “โลกกำลังจะแตก” จริงๆ แต่ภาวะโลกแตกอาจจะสะท้อนความรู้สึกของตัวละครที่เป็น loser (โดยที่หนังอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้) เราก็ชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้น

คือเราเป็นคนที่หมกมุ่นกับการฆ่าตัวตายน่ะ และเราก็รู้สึกเหมือนกับว่า ในแง่นึง “ภาวะโลกแตก” มันก็เหมือนเป็นภาวะอย่างนึงในใจของคนที่อมทุกข์ มีปัญหาครอบครัว มีปัญหาการเงิน มีปัญหากับคนรัก หาทางออกจากชีวิตไม่ได้ อะไรทำนองนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าหาก “ภาวะโลกแตก” คือปัญหาทางใจแล้ว วิธีการนึงที่จะยับยั้งภาวะโลกแตกทางใจได้ ก็คือการเรียนรู้ตัวเอง ทำความเข้าใจว่าเรารักใคร เราต้องการอะไรกันแน่ อะไรคือบ่อเกิดแห่งทุกข์ที่ฝังลึกอยู่ในใจเรา เมื่อเราเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ได้ ภาวะโลกแตกในใจเราก็อาจจะถูกยับยั้งได้

4.เราก็เลยโอเคกับการคลี่คลายในช่วงท้ายของหนังมากๆ มันเหมือนตัวละครเข้าใจตัวเองแล้วว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาทุกข์ใจมาตั้งแต่เด็ก เขาอาจจะรักแม่ แต่แม่ไม่รักเขา อะไรทำนองนี้ พอตัวละครคลี่คลายปมในใจตรงนี้ได้ โลกในใจตัวละครก็เลยไม่แตก

5.การแสดงของพระเอกในฉากโทรศัพท์คุยกับแม่นี่เราชอบสุดๆ กราบตีนมากๆ

6.อีกสิ่งที่ชอบสุดๆคือว่า ปัญหาในหนังเรื่องนี้คลี่คลายด้วยการที่ “แม่ขอโทษลูก” แทนที่จะคลี่คลายด้วยการที่ “ลูกขอโทษแม่”

7.ตอนแรกเรารู้สึกว่า หนังถ่ายไม่ดีในฉากที่นางเอกมาหาพระเอกที่ห้อง เหมือนในบางจุด กล้องควรจะตัดไปรับที่ตัวนางเอกบ้างในฉากนั้น

แต่พอคิดไปคิดมา บางทีฉากนี้ทั้งฉากมันอาจจะเป็นจินตนาการของพระเอกเองก็ได้ เพราะมันมีพิรุธอยู่แล้วว่า อยู่ดีๆนางเอกแอบเข้าห้องพระเอกมาได้ยังไง คือพระเอกอาจจะจินตนาการว่านางเอกกลับมาหาเขา แต่พอจินตนาการไปเรื่อยๆ เขาก็เข้าใจได้จริงว่า นางเอกไม่ใช่ปมที่ใหญ่ที่สุดที่ซ่อนอยู่ในใจเขา

คือพอคิดว่าฉากนี้ทั้งฉากอาจจะเป็นจินตนาการของพระเอก เราก็เลยเข้าใจได้ว่า ทำไมฉากนี้ถึงถ่ายประหลาดๆ 555

8.ชอบการเล่าปูมหลังของพระเอก ผ่านทางบทสนทนาในฉากแรกของเรื่อง และชอบการเล่าปัญหาเรื่องนิสัยของพระเอก ผ่านทางบทสนทนาในฉากที่นางเอกมาหาพระเอกที่ห้องด้วย

คือเราว่า หนังหลายๆเรื่องในงาน cinemore ปีนี้ เหมือนให้ข้อมูลเกี่ยวกับปูมหลังตัวละครได้ไม่ดีพอน่ะ แต่เราว่าเรื่องนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวพระเอกผ่านทางบทสนทนาสองฉากนี้ได้ดีพอเหมาะมากๆ

9.มีแววว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นหนังที่เราชอบมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป คือความเป็นเทพนิยายของมันดูกิ๊กก๊อกมาก แต่อารมณ์ของหนังในช่วงท้ายเข้าทางเรามากๆ และบางทีอารมณ์ของหนังในช่วงท้ายอาจจะเป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเราเป็นเวลานานก็เป็นได้

12:01 PM (2020, Atichat Hasap, 33min, A+30)
เที่ยงไม่ตรง (อติชาต หาทรัพย์)

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1. ชอบสุดๆ เพราะการหักมุมช่วง climax นี่แหละ มันทำให้หนังเรื่องนี้สร้างความประทับใจให้เราได้ในทันที เพราะมันทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคนดีปะทะคนชั่ว, เหยื่อปะทะคนร้าย อะไรพวกนี้ แต่เป็นเรื่องของคนในโลกแห่งความเป็นจริงที่มีความดีๆชั่วๆผสมกันไปในตัวคนแต่ละคน พระเอกของเรื่องไม่ใช่ hero ผู้ผดุงคุณธรรม แต่เป็นเพียงคนที่ทำดีในบางโอกาส และเลือกที่จะไม่ทำดีในบางโอกาส ถ้าหากการทำดีนั้นจะส่งผลร้ายให้กับตนเอง เขาจะเลือกทำดีเฉพาะในกรณีที่มันไม่สร้างความเสียหายให้กับชีวิตเขาเท่านั้น

เราว่าหนังสร้าง moral dilemma ในแบบที่เราชอบมากๆ และมีมุมมองต่อมนุษย์ที่น่าสนใจมากๆ

2.ช่วงแรกๆเรานึกว่าหนังจะแป้ก เพราะนึกว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องของเหยื่อปะทะคนร้าย (เรานึกว่า พระเอกจะถูกรุม bully) และช่วงต่อมาเราก็เดาว่าหนังเรื่องนี้อาจจะเป็นเพียง “หนังเชิดชูคุณธรรมเพียงชั้นเดียว” แบบพระเอกกับเพื่อนร่วมกันเปิดโปงความเลวในโรงเรียน แต่ปรากฏว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงชั้นเดียว เพราะพอฉาก climax มาถึง เราก็รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าในทันที

สาเหตุที่เรารู้สึกแบบนั้นเป็นเพราะเราว่า เราเองก็อาจจะเคยทำในสิ่งที่ที่คล้ายๆกับพระเอกเหมือนกันในบางครั้ง และมันไม่ค่อยมีหนังเรื่องไหนหรอกที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดเบ้อเริ่มแบบหนังเรื่องนี้

3.การใช้ต้วละครผิวดำก็ดีมากๆ มันทำให้หนังเรื่องนี้มีเอกลักษณ์ จดจำได้ง่ายมาก

FILMSIS (2020, Thodsaporn Wasukree ทศพร วาสุกรี, 28min, A+30)

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด น่ารักที่สุด ชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ทำไมดูแล้วอินมากๆก็ไม่รู้

พอเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆในงาน CINEMORE แล้ว เราชอบหนังเรื่องนี้มากที่สุดพอๆกับ “เที่ยงไม่ตรง” น่ะ ตอนนี้ยังตัดสินไม่ได้ว่าชอบเรื่องไหนมากกว่ากัน

อย่างแรกที่ชอบมาก คือเรารู้สึกเหมือนกับว่า หนังเรื่องนี้ “มักน้อย” ที่สุดในงานน่ะ 5555 คือเล่าเรื่องธรรมดา เรียบๆง่ายๆ ไม่มีเหตุการณ์สำคัญอะไรมาเร้าอารมณ์มากนัก ไม่ต้องอาศัยเหตุการณ์พิสดาร หวือหวา ฆาตกรรมอะไรเลย แต่มันเลยกลายเป็นว่า เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ละเอียดอ่อนทางอารมณ์มากที่สุดสำหรับเราในงาน cinemore ปีนี้

2.ตอนแรกเราเบ้หน้าอย่างรุนแรง ตอนฉากที่พระเอกกับนางเอกมาเจอกันครั้งแรก เรารู้สึกว่าฉากนั้นมัน cliche สุดๆ แต่พอตอนหลัง หนังเฉลยว่าเหตุการณ์ cliche ที่เกิดขึ้น มันมีที่มาที่ไป เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้มากๆ

3.ตอนจบก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง เพราะเรารู้สึกว่ามันจริงใจกับตัวละครมากๆ มันไม่ฝืนตัวละครเลย คือตอนแรกเรานึกว่า หนังจะพยายามฝืนให้จบแบบสูตรสำเร็จ อย่างเช่น

3.1 นางเอกมาสารภาพว่า เธอชอบพระเอกจริงๆนะ เธอถูกจ้างมาก็จริง แต่เธอก็ชอบพระเอกจริงๆด้วย

3.2 พระเอกกับเพื่อนคืนดีกันได้ในที่สุด (แบบฝืนๆ อย่างเช่นในหนังเรื่อง LAST NIGHT)

แต่ปรากฏว่า หนังเรื่องนี้ไม่พยายามฝืนตัวละครให้จบแบบนั้น และปล่อยให้ตัวละครไปตามทางที่มันควรจะเป็นจริงๆ เราก็เลยชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดๆ

4.แต่ข้อเสียอย่างรุนแรงสำหรับเราในหนังเรื่องนี้ ก็คือฉากมุกตลกช่วงต้นเรื่อง ที่พระเอกกับเพื่อนเอามอเตอร์ไซค์ไป แล้วทิ้งให้เพื่อนอีกคนค้างเต่อ หาทางกลับบ้านไม่ได้

คือเราว่าฉากนี้มันหลุดออกจากหนังน่ะ เพราะโทนโดยรวมของหนังมันดูมีความสมจริง แต่ฉากนั้นมันเป็น “มุกตลกที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในโลกแห่งความเป็นจริง” น่ะ ใครมันจะปล่อยเพื่อนค้างไว้ที่สถานีแบบนั้น เราก็เลยว่าฉากนี้ทำให้หนังแย่ลง หรือเป็นฉากที่ไม่เข้ากับหนังอย่างรุนแรง

5.ถ้าทำดีๆ ขยายออกมาเป็นหนัง 90 นาที เราจะได้หนังแบบ Eric Rohmer เรื่องนึงเลยนะ แต่คนทำหนังแบบนี้ต้องละเอียดอ่อนมากๆน่ะ ต้องหาทางสร้างบทสนทนาที่น่ารื่นรมย์ ให้ตัวละครแลกเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆของชีวิต, ความรัก, ศิลปะ, ศิลปะที่สะท้อนชีวิต ฯลฯ อะไรอย่างนี้ไปให้ได้เรื่อยๆ ตลอดความยาวของหนัง

6.ชอบนักแสดงนำชายทั้งสองคนมากๆ ทั้งสองไม่ได้หล่อแบบนายแบบ แต่หนังสามารถดึงความน่ารักในตัวทั้งสองคนออกมาได้ดีมาก

WHO’S A MURDERER (2020, Yupparet Boonprasert, 23min, A+15)

1.เหมือนมันควรเป็นหนังยาว 90 นาทีนะ เพราะหนังมีตัวละครเยอะ แต่ตัวละครแต่ละตัวแทบไม่ได้มีเวลา “หายใจหายคอแบบมนุษย์ธรรมดา” ในหนังเลย เพราะเวลาในหนังมันสั้นมาก ทุกตัวเลยมี function แค่โผล่มาเพื่อ “ทำตัวให้น่าสงสัยพอเป็นพิธี” ตามระเบียบของหนังแนว whodunit เท่านั้น หนังเรื่องนี้ก็เลยคล้ายจะเป็นการนำเสนอไอเดียเพื่อนำไปพัฒนาเป็นหนังยาวมากกว่า

2.แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในหนังเรื่องนี้สำหรับเรา ก็คือการแคสต์นักแสดงชายนี่แหละ หล่อมากๆๆๆๆ 5555555 ทั้งตัวแฟนผู้ตาย (รับบทโดย Dendet Juntasri), ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ป่าไม้รุ่นน้อง ความเพลิดเพลินของเราในการดูหนังเรื่องนี้นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับทีม casting จริงๆ 555

DEVIL’S BLOOD (2020, Aphichat Panthuphat, 18min, A+15)

เราชอบพล็อต แต่เราไม่ชอบโทนของหนัง คือเราว่าพล็อตมันน่าจะเป็นหนังที่เข้าทางเราได้ เพราะมันเป็นเรื่องของฆาตกรโรคจิตที่เป็นผู้หญิง

แต่เราว่าตัวผู้ร้ายในหนังดูไม่น่ากลัวน่ะ คือผู้ร้ายดูเป็นคนบ้าที่มันดู “ไม่ขลัง” ยังไงไม่รู้ มันเหมือนกับว่าตัวละครถูกสร้างขึ้นเพื่อทำหน้าที่ function ในหนัง thriller ธรรมดา แต่ไม่ได้มีความโหดเหี้ยมอำมหิตวิปริตจริงๆแผ่ออกมาจากข้างในตัวเองน่ะ

เราก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่า “โทน” ของหนังเรื่องนี้มันพยายามเร้าอารมณ์แบบธรรมดาเกินไปน่ะ มันไม่ขลัง มันไม่ “เย็นชา” คือถ้าเป็นหนังฆาตกรโรคจิต เราชอบหนังที่มันมีโทนเย็นชา แบบหนังสั้นเรื่อง “อวสานโลกสวย” (ไม่ใช่เวอร์ชั่นหนังยาวนะ) หรือหนังอย่าง WOLF CREEK (2005, Greg McLean), KILLING GROUND (2016, Damian Power) อะไรแบบนั้นมากกว่า คือเหมือนตัวละครในหนังแบบนี้มันเลวจริงๆ มันไม่ได้เลวเพื่อสร้างความระทึกขวัญให้คนดู

เราก็เลยรู้สึกว่า พล็อตในหนังเรื่องนี้ดีแล้วล่ะ แต่ฉาก climax อาจจะต้องออกแบบใหม่หมด ถ้าหากจะทำให้มันดูน่ากลัว หรือสนุกตื่นเต้นได้จริงๆ

RESTRICT (2020, Sippakorn Tatsanasuwan, 16min, A)

เหมือนเป็นหนังที่มีแต่องก์สาม แต่ขาดองก์หนึ่งกับองก์สอง 55555 คือเหมือนมันเป็นหนังยาวที่ตัดเอามาให้เราดูเฉพาะฉากไคลแมกซ์เฉลยตัวคนร้ายน่ะ อารมณ์ในหนังเลยไม่ลงตัวอย่างมากๆ

คือเหมือนปกติแล้ว เราต้องรู้ก่อนว่า “โลก” ในหนังเรื่องนี้ มันมีลักษณะเป็นอย่างไร เพราะมันไม่ใช่โลกธรรมดาในยุคปัจจุบัน โลกในหนังเรื่องนี้มันเฉพาะตัว คนดูต้องรู้ก่อนว่า โลกในหนังเรื่องนี้มันแตกต่างจากโลกปัจจุบันยังไง มีอันตรายยังไงบ้าง ตัวละครเอกต้องทำยังไงถึงจะเอาชนะอันตรายในแต่ละวันได้ ก่อนจะไปเจอเพื่อนร่วมทาง

แต่พอหนังเรื่องนี้เล่าปรู๊ดปร๊าดไปสู่ฉากเฉลยตัวจอมบงการเลย และให้น้ำหนักกับฉากนี้มากๆ มันเลยทำให้หนังเสียสมดุล

เราว่าปัญหาของหนังเรื่องนี้คล้ายๆกับ WHO’S A MURDERER น่ะ คือเหมือนตัวหนังสั้นมันไม่สมบูรณ์ เพราะจริงๆแล้วมันเหมือนเป็นไอเดียสำหรับพัฒนาเป็นหนังยาวมากกว่า

LAST NIGHT (2020, Supachok Phlapthong, 18min, A-)

เราว่าหนังเรื่องนี้เหมือนเป็นการผสม “โลกแฟนตาซี” กับ “เรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อน” เข้าด้วยกัน แต่มันผสมกันแล้วเข้ากันไม่ได้เลย 5555 เหมือนน้ำกับน้ำมัน

เราว่าถ้ามันแยกกันไปเลย อาจจะดีกว่า อย่างเช่น

1.ทำเป็นหนังสมจริงเกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนไปเลย เน้นสังเกตนิสัยเล็กๆน้อยๆของมนุษย์ เรื่องขัดใจเล็กๆน้อยๆระหว่างเพื่อน แล้วนำเอาสิ่งที่สังเกตได้เหล่านี้มาทำเป็นหนังสมจริง โดยไม่จำเป็นต้องบิดหรือฝืนให้ทุกคน “ได้รับบทเรียน” ในตอนจบก็ได้

2.หรือถ้าจะทำเป็นหนังแฟนตาซี ก็ทำให้เพี้ยนๆเหวอๆ สุดๆไปเลยก็ได้ โดยไม่ต้องใส่บทเรียนอะไรในตอนจบ เพราะเราว่าการใส่บทเรียนสั่งสอนตัวละครในหนังเรื่องนี้ มันดูฝืนมากๆน่ะ

REBUILD ทีมห่วยซวยขั้นเทพ (2020, Panuwong Sittisak ภาณุวงศ์ สิทธิศักดิ์, 26min, A+)

1.สิ่งที่ชอบสุดๆในหนังคือการใช้เสียงพากย์ และเคมีของนักแสดงนำทั้งสี่คน เราว่าการใช้เสียงพากย์ในหนังเรื่องนี้มันดีมากๆ นักแสดงนำทั้งสี่คนก็เล่นได้เข้าขากันดีมากๆ เคมีลงตัวมากๆ

2.แต่เหมือนหนังมันไม่ตลกเท่าที่มันอยากจะเป็นน่ะ เหมือนเป็นหนังที่ดูแล้วขำแหะๆไปเรื่อยๆ เพลินๆ แต่ไม่ได้ฮาแบบหยุดหัวเราะไม่ได้อะไรทำนองนี้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ชมที่เป็นคนนอก

3.ดูแล้วแอบคิดถึงหนังอย่าง WHITE CHICKS (2004, Keenen Ivory Wayans) 55555 คือมันเป็นการปลอมตัวที่ไม่มีทางทำได้ในโลกแห่งความเป็นจริงน่ะ หนังแบบนี้มันเลยต้องอาศัย suspension of disbelief สูงกว่าหนังปกติทั่วไปมากๆ ในการที่จะ enjoy กับหนังได้

4.ถึงแม้เราจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากนัก แต่เราว่ามันมีเสน่ห์แบบหนัง cult สูงมากๆเลยนะ คือไอเดียตั้งต้นมันดีน่ะ แต่เราว่าระหว่างทางมันสนุกน้อยไปหน่อย มันตลกน้อยไปหน่อย อย่างไรก็ดี เนื่องจากไอเดียตั้งต้นมันน่ารักจริงๆ มันก็เลยถือเป็นหนัง cult ที่น่าจดจำเรื่องนึง



No comments: