THE FABRIC (2022, Natthaphong Aroonnet, A+30)
ผ้าผีบอก (ณัฐพงษ์ อรุณเนตร์)
1.จริง ๆ แล้วชอบเกือบทุกอย่างในหนังยกเว้นความเป็นหนังตลกของมัน
ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกับที่เรามีกับ “บั้งไฟสไลเดอร์” และ “มนต์รักวัวชน” เลย 55555
เพราะโดยส่วนตัวแล้วเราไม่ค่อยอินกับหนังตลก แต่ก็เข้าใจได้ว่าหนังไทยยุคนี้หลาย ๆ
เรื่องตั้งใจทำออกมาเป็นหนังตลก เพื่อจะได้เข้าถึงผู้ชมในวงกว้าง
แต่อาจจะเป็นเพราะเราไม่ค่อยอินกับหนังตลกด้วยแหละมั้ง หนังบางเรื่องที่ผู้ชมคนอื่น
ๆ บอกว่า “มันไม่ค่อยตลก” ก็เลยไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะเราไม่ได้ต้องการความตลกจากหนังอยู่แล้ว
ซึ่งก็รวมถึงหนังเรื่องนี้กับบั้งไฟสไลเดอร์ด้วยแหละมั้ง ที่ถึงแม้มันจะอาจจะไม่ค่อยตลกสำหรับผู้ชมคนอื่น
ๆ หนังสองเรื่องนี้มันก็มีจุดอื่น ๆ ที่เราชอบมากเป็นการส่วนตัวอยู่ดี
แต่ก็ยอมรับว่า “ความตั้งใจทำหนังออกมาเป็น comedy” ของหนังเรื่องนี้
มันก็มีข้อดีที่สำคัญมากในแง่นึงด้วยแหละ เพราะพอมันเป็น comedy มันก็เลยไม่ต้อง “สมจริง” โดยเฉพาะในแง่ประวัติศาสตร์ หนังก็เลยทำอะไรต่าง
ๆ ที่เล่นกับการผิดยุคผิดสมัยได้อย่างเต็มที่ และไม่ต้องถูกใครมาคอยจับผิดว่ามันขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ตรงไหนบ้าง
2.คือจริง ๆ แล้วอยากให้ทำออกมาเป็นหนังแนว Dan Brown ไปเลยนะ
เพราะโครงเรื่องมันเอื้อให้เป็นแบบนั้นได้เลย โดยเป็นหนังไขปริศนาลับคำสาป,
ขุมทรัพย์, อาถรรพณ์อะไรต่าง ๆ โดยอิงกับผ้าพื้นเมืองของท้องถิ่นต่าง ๆ,
โบราณสถานต่าง ๆ และตำนานต่าง ๆ ในภาคเหนือและภาคอีสานของไทย
เพราะโครงเรื่องมันดัดแปลงไปในทาง Dan Brown ได้สบายมาก แต่ถ้าจะทำแบบที่เราต้องการ
มันก็ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องหนังอาจจะขายไม่ออก ผู้ชมคนไทยในวงกว้างไม่สนใจ
และอาจจะถูกจ้องจับผิดเรื่องความสมจริงทางประวัติศาสตร์ได้ เราก็เลยเข้าใจแหละว่า
หนังแบบที่เราต้องการ มันคงไม่ใช่หนังที่สร้างได้ง่าย ๆ ในไทย
เราก็เลยเหมือนไม่ติดใจอะไรมากตรงจุดนี้ และก็พอใจในระดับนึงที่หนังมันออกมาเป็นแบบนี้แล้วล่ะ
ถึงแม้ “ผ้าผีบอก” มันจะไม่ใช่หนังที่เข้าทางเราจริง ๆ ก็ตาม
3.อย่างที่เพื่อนบางคนเขียนไว้ว่า หนังมีความเป็น “กะเทย” สูงมาก
ซึ่งเราก็เห็นด้วยอย่างสุด ๆ
และเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ
หนังมีนักแสดงหนุ่มหล่อ 3 คน ส่วนสาว ๆ ในหนังก็ไม่ใช่สาวเรียบร้อย แต่เป็นสาวแรง
ๆ ทุกตัวที่เน้นการตบกันแหลก ดูแล้วนึกถึง “เพลิงพระนาง” มาก ๆ
แต่ถึงแม้ “ความเป็นกะเทย” ของหนัง จะทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ “ความเป็นกะเทย”
ของหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้น้อยกว่า “บั้งไฟสไลเดอร์” อยู่ดี
เพราะอันนั้น “กะเทย” หนักกว่า 55555 เราก็เลย “อิน” หรือ identify ตัวเองกับกลุ่มตัวละครเอกใน
“บั้งไฟสไลเดอร์” ได้อย่างเต็มที่ ส่วน “ผ้าผีบอก”
นั้นเอาจริงแล้วเราก็ไม่ได้อินกับตัวละครตัวใด แต่ก็รู้สึกว่าดาราหนุ่ม 3
คนในเรื่อง desirable มาก ๆ
ส่วนตัวละครหญิงก็ไม่มีใครที่น่าหมั่นไส้
4.รู้สึกว่าหนังมีการตั้งอกตั้งใจเขียนบทมากพอสมควรด้วยแหละ
โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหนังตลกเรื่องอื่นๆ
ของไทยที่เหมือนปล่อยไหลฟรีไปเรื่อย ๆ มากกว่านี้ 55555 คือเหมือนหนังเรื่องนี้มีการตั้งอกตั้งใจวางปม
วางพล็อต วางบทสรุปการคลี่คลายให้ลงตัวในระดับนึงน่ะ
ที่สรุปว่าตัวละครทุกคนในอดีตต่างก็มีส่วนผิดในแง่ใดแง่นึงอะไรทำนองนี้ แต่ฉากจบของหนังที่เป็นการต่อรองกันเรื่องเงินค่าจ้างนี่เราว่ามันไม่ลงตัวนะ
งงว่าทำไมมันต้องไปจบแบบนั้น 55555
5.เห็นด้วยกับเพื่อนมาก ๆ ที่บอกว่าจุดอ่อนอย่างนึงของหนังเรื่องนี้
คือเราไม่ค่อยรู้สึก sympathize กับตัวละครตัวใดเลย
คือหนังมีพล็อตเรื่องที่น่าสนใจจริง แต่หนังเหมือนไม่เปิดเวลาให้เราได้เข้าไปรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร
เราได้ดูตัวละครเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ และเดินหน้าคลี่คลายปริศนาไปเรื่อย ๆ
โดยที่เราเหมือนดูอยู่ห่าง ๆ
6.รู้สึกว่าน่าสนใจมาก ๆ ด้วยแหละ ที่ช่วงนี้มีหนังขายวัฒนธรรมท้องถิ่นออกมาฉายติดๆ
กัน 3 เรื่อง ซึ่งได้แก่บั้งไฟสไลเดอร์ที่พูดถึงบุญบั้งไฟในอีสาน,
ผ้าผีบอกที่พูดถึงการทอผ้าและผีโพงในภาคเหนือ
และมนต์รักวัวชนที่พูดถึงประเพณีการแข่งวัวชนในภาคใต้ ซึ่งถ้าหากเทียบกันแล้วก็บอกได้ว่า
เราชอบบั้งไฟสไลเดอร์มากสุด เพราะเราอินกับตัวละครในหนังมากที่สุด
และเราชอบมนต์รักวัวชนน้อยสุด ซึ่งสาเหตุนึงเป็นเพราะหนังมันดู macho มากที่สุดใน 3
เรื่องนี้ 55555 และเอาเข้าจริงแล้วเราก็ไม่ได้ชอบความเป็นหนังตลกของทั้ง
3 เรื่องนี้
No comments:
Post a Comment