WHITE BUILDING (2021, Kavich Neang, Cambodia, A+30)
อันนี้ก็เน้นพูดถึงชีวิตของตัวดิฉันเอง
มากกว่าพูดถึงหนังนะคะ 55555
Spoilers alert
--
--
--
--
--
1.รู้สึกจูนติดกับหนังอย่างรุนแรง
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม ซึ่งแตกต่างจากตอนที่ดู DIAMOND ISLAND (2016,
Davy Chou, A+30) ที่เหมือนเป็นหนังที่เรา "ชื่นชม"
แต่ไม่ได้อินเป็นการส่วนตัว
2.สาเหตุสำคัญที่อินกับหนังเรื่องนี้
อาจจะเป็นเพราะมันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองมั้ง
อย่างแรกเลยก็คือการที่หนังเหมือนแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรกคือ
"ช่วงเวลาก่อนพลัดพรากจากเพื่อนสนิท" ช่วงที่สองคือ
"ช่วงเวลาก่อนพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่" และช่วงที่สามคือ
"ช่วงเวลาก่อนพลัดพรากจากพ่อแม่" (เพราะหลังจากนั้นพระเอกก็คงย้ายไปอยู่ในเมือง
แล้วทิ้งพ่อแม่ไว้ที่ชนบทมั้ง ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด)
ชอบที่หนังมันนำเสนอทั้งสามอย่างน่ะ
ไม่ได้แค่อย่างใดอย่างนึง มันเหมือนชีวิตมนุษย์อย่างดิฉันที่ยิ่งโตขึ้นมากเท่าไหร่
ก็ยิ่งสูญเสียสิ่งที่รักมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่ทำใจยอมรับ
การพลัดพรากจากสิ่งที่รักไปทีละอย่าง ๆ และพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งวัน
การพลัดพรากจากเพื่อนที่รัก
เพราะเขาเดินทางไปต่างประเทศนี่เป็นอะไรที่เราอินมาก ๆ เลยนะ
เพราะช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเราก็คือการได้ใช้เวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทตอนยังเป็นวัยรุ่นนี่แหละ
ก่อนที่เพื่อน ๆ บางคนจะเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เราไม่ได้ไป
ส่วนการย้ายออกจากถิ่นที่อยู่เดิมและการย้ายออกมาอยู่ตามลำพังนี่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเหมือนกัน
แต่ในกรณีของเรานั้นมันเป็นสิ่งที่เรา “เลือกเอง” ไม่ได้เป็นสิ่งที่ “โชคชะตาบีบบังคับ”
แบบที่ Samnang ต้องเผชิญแบบในหนังเรื่องนี้
3.ช่วงที่สองของหนังที่เป็นช่วงที่ focus ไปยังปัญหาเรื่องอาคารที่พักอาศัยเราก็ชอบมาก
ๆ เพราะถึงแม้เราไม่ได้มีประสบการณ์ร่วมกับเรื่องแบบนี้
แต่เรารู้สึกว่าหนังมันถ่ายอาคารได้อย่าง “มีชีวิต” มาก ๆ
เหมือนอาคารเป็นตัวละครหลักสำคัญอีกตัวนึงเลย นึกว่าต้องปะทะกับหนังเรื่อง HOME
– บ้าน (2020, Poom Thosamosorn) ที่ถ่ายอาคารที่พักเก่าได้อย่างมีจิตวิญญาณมาก
ๆ เหมือนกัน หรือปะทะกับหนังเรื่อง IT WAS HOTEL CAMBRIDGE (2016, Eliane
Caffe, Brazil) ที่พูดถึงปัญหาเรื่องอาคารเก่าและผู้เช่าพักที่ไม่อยากย้ายออกเหมือนกัน
4.ถึงแม้พระเอกจะเผชิญกับการพลัดพรากอะไรต่าง ๆ แบบที่เราเขียนไป
แต่เราชอบสุด ๆ ที่หนังมันเหมือนนำเสนอกิจวัตรประจำวันของตัวละครไปเรื่อย ๆ
ด้วยในเวลาเดียวกันน่ะ ทั้งกิจวัตรการซ้อมเต้นรำ, ความพยายามหาเงินจากการเต้นรำ, การขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อย
ๆ, รถมอเตอร์ไซค์เสีย, การตากปลาบนดาดฟ้า (ไม่แน่ใจว่ามันคือปลาสลิดหรือเปล่า) ,
การทำงานในตลาด, ปัญหาน้ำประปา, ปัญหาเรื่องค่ารักษาพยาบาล, การดูหนุ่ม ๆ เล่นกีฬา
(เราว่ามันน่าสนใจดีที่พระเอกไม่ได้ลงไปเล่นกีฬาด้วย แต่แค่ดูหนุ่ม ๆ คนอื่น ๆ
เล่นกัน อาจจะเป็นเพราะเขายังปรับตัวเข้ากับคนท้องถิ่นนั้นไม่ได้ หรือเพราะอะไร
เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน)
เหมือนเราจะชอบหนังที่สอดแทรกชีวิตประจำวันแบบนี้เข้ามาน่ะ
มากกว่าหนังที่เน้นพูดแต่ conflict หลักในชีวิตตัวละครเพียงอย่างเดียว
แล้วละเลยแง่มุมอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันของตัวละครไปจนหมด
5.เรื่องโรคเบาหวานเท้าเน่าของพ่อพระเอกนี่น่ากลัวมาก ๆ มันสะท้อนการแก้ปัญหาชีวิตแบบผิดวิธีได้อย่างน่าคิดมาก ๆ ด้วย
6.ตอนแรกไม่นึกว่าเราจะอินกับหนังที่เป็นชีวิต “ผู้ชาย” แบบนี้
แต่เหมือนพระเอกของหนังเรื่องนี้แทบไม่มีเรื่อง romantic เข้ามาในชีวิตด้วยแหละ
และเหมือนเขาไม่ใช่ชายหนุ่ม macho ทำตัวเป็นฮีโร่อะไรแบบนั้น
แต่เป็นแค่เป็นคนธรรมดาที่พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป เราก็เลยอินมาก ๆ
โดยไม่ได้คาดคิด
7.แน่นอนว่าดูแล้วนึกถึงพวกพระเอกในหนังของ Wichanon Somumjarn ที่เป็นเรื่องของผู้ชายธรรมดาที่พยายามดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อไป
8.Samnang ทำให้เราคิดถึงตัวเองในสองจุดหลัก ๆ ด้วยแหละ
8.1 จุดแรกก็คือ การที่เขาจินตนาการเห็นภาพของเขากับเพื่อน ๆ
เต้นรำในงานประกวด
8.2
จุดที่สองก็คือช่วงที่ Samnang
ย้ายไปอยู่ในชนบทแล้ว แต่เหมือนเขายังคงดูคลิปวิดีโอเก่าที่บันทึกภาพอาคารไว้ก่อนถูกทุบทิ้งน่ะ
เหมือนใจเขายังคงผูกพันกับ “อาคารที่หายไปแล้ว” อยู่
คือดูแล้วแอบนึกถึงตัวเราเอง
เพราะจนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังคงเปิดดูวิดีโอเทปที่บันทึกภาพ “เรากับเพื่อน ๆ
เต้นรำกันที่บ้านเพื่อนในช่วงต้นทศวรรษ 1990” อยู่เลย 55555 แต่บ้านเพื่อนหลังนั้นโดนทุบทิ้งไปนานราว
20 กว่าปีแล้ว คือเหมือนใจเราก็ยังคงผูกพันกับช่วงเวลาที่ได้เต้นรำกับเพื่อน ๆ เมื่อ
30 ปีก่อน และผูกพันกับบ้านของเพื่อนที่โดนทุบทิ้งไปแล้ว แต่พวกเราเคยถ่ายวิดีโอเก็บความทรงจำอันงดงามที่บ้านหลังนั้นไว้
ก่อนที่บ้านหลังนั้นจะโดนทุบทิ้ง
“ช่วงเวลาที่ได้เคยมีความสุขแบบนั้นกับเพื่อน
ๆ” มันเป็นอดีตไปแล้ว มันไม่มีทางหวนกลับมาอีก
เราทำได้เพียงแค่จินตนาการถึงมันหรือคิดถึงมันเท่านั้น อาคารบางอาคารที่เคยเป็นสถานที่แห่งความสุขของเรา
มันก็ถูกทุบทิ้งไปแล้ว มันไม่ได้ดำรงอยู่อีก เราทำได้ก็เพียงแค่คิดถึงมัน
หรือดูคลิปวิดีโอที่เคยบันทึกภาพมันไว้เท่านั้น
มันเหมือน Samnang
มีปมในใจบางอย่างกับ “ความสุขในอดีต” ที่ไม่มีวันหวนคืนมาได้น่ะ
เราก็เลยเหมือนอินกับจุดนี้อย่างรุนแรง
9.สรุปว่าชอบหนังอย่างสุด ๆ ในแบบที่อินเป็นการส่วนตัว
ดูแล้วนึกถึงชีวิตตัวเอง ที่เหมือนเคยมีความสุขที่สุดในชีวิตตอนได้อยู่กับเพื่อน ๆ
ได้เต้นรำที่บ้านเพื่อนหรือที่ Rome Club ก่อนที่เพื่อน ๆ
บางคนจะย้ายไปเรียนต่อเมืองนอก หรือแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง ส่วนเราก็ใช้ชีวิตอยู่ในไทยต่อไป
เผชิญกับมรสุมชีวิตต่าง ๆ ที่พัดพาเข้ามาในชีวิตของเราเอง เพียงแต่มรสุมชีวิตที่เราเผชิญอาจจะแตกต่างจากมรสุมชีวิตของพระเอกในส่วนที่
2 กับ 3 ของหนัง เพราะมรสุมชีวิตของเราจะเป็นเรื่องของปัญหาสุขภาพ,
การทะเลาะกับเพื่อน, การเงิน และเคราะห์กรรมอะไรต่าง ๆ อย่างไรก็ดี มันเหมือนหนังเรื่องนี้มันมีมุมมองบางอย่างต่อ
“ชีวิตมนุษย์” ในแบบที่บาดลึกเข้าไปในใจเรามากอย่างบอกไม่ถูกน่ะ
ก็เลยทำให้ซึ้งกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ
No comments:
Post a Comment