พออ่านข่าวอะไรทำนองนี้แล้วก็จะยิ่งนึกถึงหนังเรื่อง
FROM THE END OF THE WORLD (2023, Kazuaki Kiriya, Japan, A+30) เพราะตัวละครนางเอกในหนังเรื่องนี้ตั้งคำถามสำคัญว่า “IS THE WORLD
WORTH SAVING?” เพราะในเมื่อมนุษย์ในโลกมันชั่วร้ายมากนัก
แล้วเราจะกอบกู้โลกไปทำไม
ปล่อยให้โลกมันล่มสลายไปพร้อมกับมนุษยชาติที่ชั่วร้ายดีไหม
+++++
A PLATE OF SARDINES (1997, Omar Amiralay, France, about
Syria, documentary, 17min, A+30)
หนังงดงามมาก ๆ และเศร้ามาก ๆ
เนื้อหาของหนังเกี่ยวกับการที่อิสราเอลทำลายเมือง Quneitra ของ
Syria ในช่วงปลายทศวรรษ 1960
และส่งผลให้เมืองที่งดงามแห่งนี้พังพินาศย่อยยับด้วยน้ำมือของอิสราเอล
และหนังก็พูดถึงผลกระทบอื่น ๆ ที่เกิดจากสงครามระหว่างอิสราเอลกับซีเรียด้วย
หนังไม่ได้เล่าเรื่องนี้โดยตรง แต่เล่าผ่านทาง
fragments ต่าง ๆ อย่างเช่น การพูดถึงซากโรงภาพยนตร์ในเมืองนี้,
การพูดคุยกับ Mohamed Malas ปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ของ Syria
ที่เคยทำหนังเกี่ยวกับเมือง Quneitra, การพูดถึงความทรงจำในวัยเด็กของตัวผู้กำกับเกี่ยวกับปลาซาร์ดีน
และการนำเสนอครอบครัวที่ต้องพลัดพรากกันเพราะเส้นพรมแดนระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย
ในแง่หนึ่ง หนังเรื่องนี้เหมือนเป็น
sequel ของหนังเรื่อง QUNEITRA 74 (1974, Mohamed Malas,
Syria) และเหมือนเป็น prequel ของหนังเรื่อง THE
SYRIAN BRIDE (2004, Eran Riklis, France/Germany/Israel, A+30)
เราดูหนังเรื่องนี้ที่
https://www.palestinefilminstitute.org/en/pfp
+++
DOUBLE BILL FILM WISH LIST: THE BRUTALIST (2024, Brady
Corbet, A+30) + AURORA BOREALIS: NORTHERN LIGHT (2017,
Márta Mészáros, Hungary, A+30)
1.หนังอีกเรื่องที่เราว่าเหมาะฉายควบกับ THE
BRUTALIST (2024, Brady Corbet, A+30) ก็คือ AURORA
BOREALIS: NORTHERN LIGHT (2017, Márta Mészáros, Hungary, A+30) ที่เพิ่งมาฉายที่โรงหนัง
HOUSE SAMYAN ในเทศกาลภาพยนตร์ยุโรปในปีที่แล้ว
เพราะเราว่าหนังฮังการีเรื่องนี้เหมือนช่วยสะท้อนในทางอ้อมว่า
เกิดอะไรขึ้นบ้างกับชีวิตของ Zsófia ก่อนที่เธอจะได้อพยพมาอยู่อเมริกา
คือหนึ่งในสิ่งที่เราชอบสุดขีดใน THE
BRUTALIST ก็คือตัวละคร Zsófia นี่แหละ
เหมือนหนังเรื่องนี้นำเสนอพัฒนาการของเธอจาก “คนที่พูดไม่ได้” ในฉากเปิดของเรื่อง
มาเป็น “คนที่พูดเป็นต่อยหอย พูดเป็นฉาก ๆ แทนคนอื่น
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน
ไม่รู้ว่าเธอตอแหลมากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ว่าเธอคิดเอง เออเองมากน้อยแค่ไหน”
ในฉากจบของเรื่อง
และอีกสิ่งที่เราชอบสุดขีดใน THE
BRUTALIST ก็คือการที่หนังเรื่องนี้เว้นช่องว่างทางจินตนาการไว้ให้ผู้ชมเยอะมาก
(พอมารู้ทีหลังว่า Brady Corbet ชื่นชอบ Robert
Bresson มาก ๆ เราก็เลยไม่แปลกใจตรงจุดนี้)
ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่กระตุ้นจินตนาการของเรามาก ๆ ในหนังเรื่องนี้ ก็คือว่า ชีวิตของ
Zsófia เป็นอย่างไร ก่อนที่เธอจะได้อพยพมาอยู่อเมริกา อะไรที่สร้าง trauma
ให้เธอจนทำให้เธอพูดไม่ได้
หนังเรื่องนี้ไมได้บอกโดยตรงว่า
เธอเจออะไรมาบ้าง เหมือน trauma ที่ทำให้เธอพูดไม่ได้
น่าจะเป็นความทุกข์ทรมานต่าง ๆ ที่เธอเคยเจอในค่ายกักกัน (ไม่แน่ใจว่าที่ Dachau
หรือ Buchenwald ใครจำได้บ้าง)
แต่ถึงแม้สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดแล้ว เธอก็ยังคงพูดไม่ได้ต่อไปอีกนานหลายปี
THE BRUTALIST ไม่ได้บอกโดยตรงว่า
เกิดอะไรขึ้นบ้างกับ Zsófia ในช่วงตั้งแต่ปี 1945
จนกระทั่งเธอได้อพยพมาอยู่อเมริกาด้วยเส้นสายของพระเอก โดยตามความเข้าใจของเรานั้น
Zsófia เป็นสาวยิวในฮังการี, เธอถูกส่งเข้าค่ายกักกัน
แต่พอสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เธอก็ติดอยู่ที่กรุงเวียนนา ของออสเตรีย
มีทหารหนุ่ม ๆ ของโซเวียตรัสเซียแสดงความสนใจมากมายในตัวเธอ
และน้าสะใภ้ของเธอต้องคอยปกป้องเธอจากหนุ่ม ๆ ที่มาจีบเธอ
ซึ่งตามความเข้าใจของเรานั้น ชีวิตของ Zsófia
ขณะที่ติดอยู่ที่กรุงเวียนนา ก็คงจะไม่มีความสุขมากนัก
เพราะอาการใบ้แดกของเธอก็ไม่ดีขึ้น
เพราะฉะนั้นเราก็เลยคิดว่า หนังฮังการีเรื่อง AURORA
BOREALIS: NORTHERN LIGHT นี่ เหมือนมาช่วยเติมเต็มส่วนที่หายไปใน THE
BRUTALIST ในทางอ้อม
เพราะหนังฮังการีเรื่องนี้เล่าถึงชีวิตสาวฮังการีที่ถูกทหารโซเวียตมากมายรุมข่มขืนจนตั้งครรภ์ในช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สอง
และสาวฮังการีคนนั้นก็หนีมาใช้ชีวิตอย่างตกระกำลำบากในออสเตรีย และเผชิญกับความเหี้ยห่าและความทุกข์ระทมมากมายในออสเตรียในช่วงที่โซเวียตยึดครองออสเตรียหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
เพราะฉะนั้นพอเราดู THE BRUTALIST เราก็เลยคิดว่า “ชีวิตวัยเด็ก” ของ Zsófia นี่เราสามารถดูได้ในทางอ้อมจากหนังเรื่อง
MY MOTHER’S COURAGE (1995, Michael Verhoeven, Germany) เพราะหนังเรื่องนี้พูดถึงการจับชาวยิวจำนวนมากในฮังการีไปเข้าค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ส่วน “ชีวิตวัยสาว” ของ Zsófia นี่ เราก็สามารถดูได้ในทางอ้อมจากหนังเรื่อง AURORA BOREALIS:
NORTHERN LIGHT นี่แหละ
เพราะหนังเรื่องนี้พูดถึงชีวิตอันทุกข์ระทมของสาวฮังการีที่ต้องระเหเร่ร่อนมาตกระกำลำบากอยู่ที่ออสเตรียในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองเหมือนกันเลย
เพราะฉะนั้น THE BRUTALIST ก็เลยเหมือนเป็น “ภาคสาม” ต่อจาก MY MOTHER’S COURAGE และ AURORA BOREALIS: NORTHERN LIGHT ในส่วนชีวิตของ
Zsófia
ส่วนลิสท์หนังเรื่องอื่น ๆ ที่เราอยากฉายควบกับ THE
BRUTALIST สามารถดูได้ที่
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10236999248584277&set=a.10201990635270824
2. พอพูดถึง Zsófia แล้ว
เราก็เลยขอเสริมอีกหน่อยแล้วกัน คือนอกจากตัวละครตัวนี้จะน่าสนใจมาก ๆ ในแง่ของ
“ชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง” แล้ว เราว่าตัวละครตัวนี้ในหนังเรื่องนี้
ยังถูกนำไปผูกโยงกับ “การก่อตั้งประเทศอิสราเอล” ด้วย
เหมือนชีวิตตัวละครตัวนี้เชื่อมโยงกับประเทศอิสราเอลมาก ๆ
3. และนอกจาก Zsófia จะเป็นทั้ง
“มนุษย์” และเป็นเหมือนสัญลักษณ์บางอย่างของอิสราเอลแล้ว
ตัวละครตัวนี้ยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์แทน “ผู้ชมภาพยนตร์” ในฉากจบของเรื่องด้วย
555555 ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผู้กำกับตั้งใจแบบนั้นหรือเปล่านะ
คือเรารู้สึกว่า ในแง่หนึ่ง หนังเรื่อง THE
BRUTALIST ทำให้เรานึกถึงการสร้างภาพยนตร์น่ะ
โดยเฉพาะเรื่องการงัดข้อกันระหว่างผู้กำกับภาพยนตร์กับนายทุน คล้าย ๆ LE
MEPRIS (1963, Jean-Luc Godard) ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า Brady
Corbet ตั้งใจตรงจุดนี้หรือเปล่านะ
และถ้าหาก THE BRUTALIST เท่ากับ
“การสร้างภาพยนตร์” แล้ว สิ่งที่ตัวละคร Zsófia ทำในช่วงท้ายเรื่อง
ก็ทำให้เรานึกถึงสิ่งที่ “ผู้ชมภาพยนตร์” แต่ละคนทำหลังจากหนังจบลง
นั่นก็คือการตีความชิ้นงานของศิลปิน/สถาปนิก/ผู้กำกับภาพยนตร์ ในแบบของตัวเอง
ซึ่งอาจจะตรงบางส่วน และไม่ตรงบางส่วน กับสิ่งที่ผู้กำกับภาพยนตร์ตั้งใจจริง ๆ
โดยสิ่งที่ Zsófia ทำ
ก็คล้าย ๆ กับสิ่งที่ cinephiles และ critics ชอบทำด้วย นั่นก็คือการตีความภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ โดยอิงกับ
“ประวัติชีวิตส่วนตัว” ของผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ
บอกว่าจุดนั้นจุดนี้ของหนังเรื่องนั้น ๆ
ได้รับแรงบันดาลใจมาจากจุดนั้นจุดนี้ในชีวิตของผู้กำกับ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผู้กำกับแต่ละคนตั้งใจแบบนั้นจริง
ๆ หรือเปล่า เพราะว่าผู้กำกับ “พูดไม่ได้” ไปแล้ว the meaning of a text is
not determined by the author's intention, but rather by the reader's
interpretation ตามทฤษฎี THE DEATH OF THE AUTHOR
เราก็เลยประทับใจตัวละคร Zsófia มาก ๆ ทั้งในสามแง่ ทั้งในแง่ที่เธอเป็น
“มนุษย์ผู้หญิงที่เผชิญความยากลำบากของชีวิต”,
ในแง่ที่เธอเหมือนเป็นสัญลักษณ์บางอย่างของอิสราเอล (แต่เราเกลียดประเทศนี้นะ)
และในแง่ที่เธอเหมือนเป็น “ผู้ชมภาพยนตร์ที่ตีความภาพยนตร์ในแบบของตัวเอง”
++++
STARR FARM (2016, Carson Lund, USA, documentary, 26min,
A+25)
หนังที่ผู้กำกับถ่าย “การไปเที่ยวพักร้อน”
ของครอบครัวตัวเองที่ริมทะเลสาบในรัฐ Vermont
เห็นบรรยากาศของหนังแล้วนึกถึง ALICE,
DARLING (2022, Mary Nighy, A+30) มาก ๆ มันเหมือนเป็น ALICE,
DARLING ที่ตัดเอาตัวละครออกไปจนหมด
จนเหลือแต่บรรยากาศของบ้านพักตากอากาศ
ชอบที่ผู้กำกับเน้นถ่ายบรรยากาศเป็นหลัก
โดยเฉพาะแสงอาทิตย์ที่สวยพอ ๆ กับในหนังญี่ปุ่น
ฉากที่ชอบที่สุดคือฉากที่ผู้กำกับเน้นถ่าย
“สนิมที่เกาะตามโลหะ” ในจุดต่าง ๆ ของบ้านไปเรื่อย ๆ
เราดูหนังเรื่องนี้ที่
https://www.lecinemaclub.com/now-showing/starr-farm/
+++++++++
วันนี้เราได้กระทำการบ้าผู้ชาย
ด้วยการเข้าไปดูหนังเรื่อง HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan, 113min, A+30)
ในฐานะ “สาววายสมองไหล” เป็นรอบที่สอง โดยการดูรอบแรกเกิดขึ้นในวันที่
8 ก.พ. รอบ 16.15 น. ส่วนการดูรอบสองเกิดขึ้นในวันที่ 11 มี.ค. รอบ 18.35 น.
เพื่อเฉลิมฉลองการที่ Yukito Hidaka ได้ครองตำแหน่งหนึ่งในสามีของเราประจำปีนี้
ตอนนี้ HAPPYEND ก็เลยเป็นหนังยาวเรื่องที่
6 ที่เราได้ดูสองรอบในปีนี้ ต่อจาก SMALL HOURS OF THE NIGHT (2024, Daniel
Hui, Singapore, 103min) , THE MOURNING FOREST (2007, Naomi Kawase, Japan,
97min), THE BOY ON THE LIGHTHOUSE เด็กชายบนประภาคาร (2025,
Pichet Wongjoi, 90min, A+30), THE BRUTALIST (2024, Brady Corbet, 214min, A+30) และ MAGIC MIRROR (2013, Sarah Pucill, UK, A+30) โดย
MAGIC MIRROR เป็นการดูใน laptop ทั้งสองรอบ
ส่วนหนังยาวอีก 5 เรื่องเราดูในโรงภาพยนตร์ทั้งสองรอบ
เราจดบันทึกการดูหนังซ้ำในปีนี้ไว้ที่นี่
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10236918715250994&set=a.10236654765052404
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10236982245079200&set=a.10236654765052404
ตอนนี้ HAPPYEND ก็ยังคงครองอันดับหนึ่งของเราประจำปีนี้นะ
แต่การดูรอบสองไม่ได้ทำให้เราชอบหนังเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 55555
อาจจะเป็นเพราะว่าตอนดูรอบแรกเราชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ ไปแล้ว
และอาจจะเป็นเพราะว่า เราชอบ “เนื้อเรื่อง” ของหนังเรื่องนี้ ซึ่งเราเก็บ “เนื้อเรื่อง”
ได้หมดไปแล้วในการดูรอบแรก เพราะฉะนั้นการดูรอบสองก็เลยเหมือนไม่ได้ให้อะไรเรามากกว่าเดิมเท่าไหร่
ซึ่งอาจจะแตกต่างจาก THE BRUTALIST ที่เราเหมือนจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้อะไรกับ “เนื้อเรื่อง” ของมันมากนัก
แต่เรารู้สึกว่า choice ทางภาพ, ทางดนตรีประกอบ,
ทางการตัดต่อ และทางการแสดงของหนังมันเข้าทางเราอย่างสุดขีด
เราก็เลยรู้สึกอิ่มเอมมาก ๆ กับการดู THE BRUTALIST ทั้งสองรอบ
เพราะเราอิ่มเอมกับการดู “ภาพและเสียง” ของมัน เรารู้สึกอิ่มเอมสุดขีดกับการดู “ใบหน้าของ
Adrien Brody” ในหนังเรื่องนี้ เพราะเรารู้สึกว่าใบหน้าของเขามันตรงกับสภาพจิตของเราเกือบตลอดทั้งเรื่อง
เราก็เลยรู้สึกว่าแค่ได้ดูใบหน้าของ Adrien Brody ในหนังเรื่องนี้ไปเรื่อย
ๆ มันก็ฟินสุดขีดสำหรับเราแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่า THE BRUTALIST เป็นหนังที่เราดูซ้ำแล้วทรงพลังทั้งสองรอบ แต่ HAPPYEND เป็นหนังที่เราดูซ้ำในรอบที่สองแล้วเหมือนไม่ได้ให้ความสุขสุดขีดแก่เรามากเท่ากับการดูรอบแรก
แต่โดยรวมแล้วเราก็ยังชอบ HAPPYEND มากกว่า THE BRUTALIST
นะ
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
--
--
--
--
--
เนื่องจากเราดู HAPPYEND ในฐานะ
“สาววายสมองไหล” การดูรอบสองก็เลยทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงในสองฉาก
1. ฉากแรกคือฉากที่ยูตะ (Hayato
Kurihara) ขึ้นไปสารภาพผิดบนเวที คือก่อนที่เขาจะสารภาพผิด เขามองหน้า
Kou (Yukito Hidaka) โดยไม่พูดอะไรชั่วครู่หนึ่ง แล้ว Kou
ก็มองตอบเขา กล้องตัดสลับภาพยูตะกับ Kou มองหน้ากัน
ส่งสายตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ยูตะจะสารภาพผิดบนเวที
คือเราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรงให้กับฉากนี้
เพราะเรารู้สึกว่า จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ยูตะกำลังพูดออกมาบนเวที คือประโยคที่ว่า “เพื่อน
กูรักมึงว่ะ” น่ะ แต่เขาไม่ได้พูดประโยคนี้ออกมาตรง ๆ
เขาแสดงความรักที่มีต่อเพื่อนชายของเขา ด้วยการสารภาพผิด รับผิดเพียงคนเดียว
เพื่อช่วยเหลือผู้ชายที่เขารัก
เราก็เลยรู้สึกว่าฉากนี้มันหนักสุดขีดสำหรับเรา
ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็เกิดจากจินตนาการของเราเอง คือถ้าหากยูตะพูดออกมาตรง ๆ
บนเวทีว่า “เพื่อน กูรักมึงว่ะ” เราก็คงไม่ร้องไห้แบบนี้ แต่พอเขาไม่พูดประโยคนี้ออกมาตรง
ๆ เขาพูดเรื่องอื่น เขาสารภาพผิดเพียงคนเดียวเพื่อช่วยเหลือผู้ชายที่เขารัก
เราก็เลยรู้สึกว่า เขาได้พูดประโยค “เพื่อน กูรักมึงว่ะ” ออกมาในทางอ้อม
ในแบบที่สะเทือนใจเรามากที่สุด
2. ฉากที่สองที่ทำให้เราร้องห่มร้องไห้อย่างรุนแรง
คือฉากตอนจบ ที่ยูตะกับ Kou พูดคุยกัน
ก่อนจะแยกทางกันไปบนสะพานลอย แล้วดนตรีประกอบก็ดังขึ้นมา แล้วก็กลายเป็นดนตรีแบบโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
ฉากนี้ก็ทำให้เราร้องไห้ในแบบที่คล้ายกับฉากข้างต้น
เพราะมันคือ “ความขัดแย้ง” ระหว่าง “สิ่งที่แสดงออก” กับ “ความรักที่ถะถั่งหลั่งล้นอยู่ในใจ”
(ในจินตนาการของสาววายสมองไหลอย่างดิฉัน)
คือในฉากสารภาพผิดบนเวทีนั้น “สิ่งที่แสดงออก”
คือ “การสารภาพผิดเพื่อช่วยเหลือผู้ชายที่ตนเองรัก” ส่วน “สิ่งที่อยู่ในใจ” คือ “การอยากบอกเพื่อนว่า
เพื่อน กูรักมึงว่ะ”
ส่วนในฉากจบนั้น “สิ่งที่แสดงออก” คือ “การพูดคุยกันในฐานะ
“เพื่อน” พูดคุยกันอย่างดี จากลากันด้วยดีในฐานะเพื่อน”
แต่ “สิ่งที่อยู่ในใจของยูตะ” ในจินตนาการของเราในฉากนั้น
คือ “ความเศร้าสร้อยอย่างรุนแรงสุดขีด ที่เขากับผู้ชายที่เขารัก อาจจะไม่ได้เจอกันอีก”
ในจินตนาการของเรานั้น ยูตะอาจจะรัก Kou ข้างเดียว และเขาก็รู้ว่าสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดในฉากนั้น
ก็คือยอมรับความจริงตามความเป็นจริง อำลา Kou ด้วยดีในฐานะเพื่อน
และจำใจแยกย้ายกันไปตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคน
ถึงแม้เขาจะอำลา Kou ด้วยดี
และเดินแยกทางกันไปตามปกติ แต่ในใจของเขา มันอาจจะเปี่ยมไปด้วยความเศร้าอย่างเหลือแสนก็ได้
ในใจของเขาอาจจะร้องไห้อย่างรุนแรงอยู่ภายในก็ได้ เพราะเขาอาจจะไม่ได้เจอผู้ชายที่เขารักอีก
แต่สิ่งที่เขาแสดงออกในฉากนั้น ก็คือการเดินจากผู้ชายที่เขารักไปด้วยท่าทางปกติ
มันก็เลยเกิด “ความขัดแย้งอย่างรุนแรง” ระหว่าง “สิ่งที่แสดงออกภายนอก”
กับ “สิ่งที่อยู่ภายในใจยูตะ” ในฉากนั้น ในจินตนาการของดิฉัน 5555
และ “สิ่งที่อยู่ภายในใจยูตะ” ในฉากนั้น มันก็ได้รับการระบายออกในทางอ้อม
ผ่านทาง “ดนตรีที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง” ในฉากจบนั่นเอง
Moment นั้น มันอาจจะดูเป็น moment ปกติ เพื่อนผู้ชายสองคนเรียนจบมัธยม พูดคุยกัน แล้วก็เดินแยกกันไปคนละทาง
ภายนอกมันดูปกติ แต่ภายในใจมันอาจจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าอย่างเหลือแสน
อกจะแตกตายอยู่ภายในก็ได้ เสียงดนตรีที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงในฉากจบ ก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า
มันราวกับจะสะท้อนสิ่งที่ยูตะรู้สึกอยู่ภายในใจในตอนนั้น
และเสียงดนตรีนั้นมันก็อาจจะสะท้อนความรู้สึกรุนแรงที่ยูตะรู้สึกทุกครั้งเมื่อเขาหวนนึกถึง
moment นั้นในอีกหลาย ๆ ปีต่อมาด้วยก็ได้ moment ที่เขาได้เจอกับผู้ชายที่เขารักเป็นครั้งสุดท้าย
เราเคยเขียนถึง HAPPYEND ไว้ที่นี่นะ
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10236701641224279&set=a.10236654765052404
No comments:
Post a Comment