ตอนนี้นึกถึงละครโทรทัศน์ที่ฝังใจเราในวัยเด็กเรื่องนี้มาก
ๆ CONDOMINIUM (1984, Supan Buranapim) ที่เคยออกอากาศทางช่อง
7 ละครโทรทัศน์เรื่องนี้นำแสดงโดยกาญจนา จินดาวัฒน์, ฉัตรชัย เปล่งพานิช, มารศรี
อิศรางกูร ณ อยุธยา, สมภพ เบญจาธิกุล, อภิชาติ หาลำเจียก, เปียทิพย์ คุ้มวงศ์, สุชาดา
อีแอม, วรารัตน์ เทพโสธร
ละครเรื่องนี้สร้างจากนิยายของ “สีฟ้า”
ที่เคยลงเป็นตอน ๆ ในนิตยสาร “สตรีสาร” เนื้อเรื่องก็เกี่ยวกับตัวละครมากมายในคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในยุคที่เพิ่งเริ่มมีการสร้างคอนโดมิเนียมในไทย
(ต้นทศวรรษ 1980) และต่อมาคอนโดมิเนียมแห่งนี้ก็ถล่มลงมา (เราจำไม่ได้ว่าเพราะอะไร
น่าจะเพราะมันก่อสร้างมาไม่ดี) ซึ่งส่งผลให้ตัวละครบางตัวเสียชีวิต
ซึ่งละครโทรทัศน์เรื่องนี้ก็ใส่เรื่องการถล่มของคอนโดมิเนียมมาไว้ในไตเติลฉากเปิดละครเลย
โดยผู้สร้างละครโทรทัศน์แบบหลายตอนจบเรื่องนี้ไม่ได้มองว่ามันเป็นการ spoil
เนื้อเรื่องแต่อย่างใด แต่มองว่ามันเป็นจุดขายของละครเรื่องนี้ ผู้ชมรู้ได้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลยว่า
ในตอนท้าย ๆ ของละครเรื่องนี้ คอนโดมิเนียมแห่งนี้จะต้องถล่มลงมาอย่างแน่นอน
ซึ่งการที่เราได้ดูละครทีวีเรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก
(ตอนนั้นเรามีอายุราว 10—11 ขวบ) มันก็เลยเหมือนสร้างความหวาดกลัว “ตึกถล่ม” ให้กับเราตั้งแต่เด็ก
ๆ เราก็เลยเหมือนพอเห็นรอยร้าวอะไรตามตึกต่าง ๆ เราก็จะเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาในทันที
เราแอบเดาว่า นิยายและละครทีวีเรื่องนี้
อาจจะได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนมาจาก THE TOWERING INFERNO (1974, John
Guillermin, 165min) ด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=kr5i1OeFUhs&t=195s
บันทึกความทรงจำสำหรับวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. 2025
วันนี้ตอนแรกกะว่าจะออกไปดูหนัง 4 เรื่อง
ซึ่งได้แก่ A WORKING MAN ที่พารากอน รอบ 11.30 น. แล้วหลังจากนั้นเราก็กะว่าจะไปดูหนัง
2 เรื่องที่เอสเอฟ บิ๊กซี บางพลี ซึ่งได้แก่ “ตำนานหน้ากากผีตาโขน” (รอบ 16.00 น.)
กับ THE HAUNTED APARTMENT ผีนรก 610 แล้วก็อาจจะปิดวันด้วย DORAEMON:
NOBITA’S DIARY ON THE CREATION OF THE WORLD ที่เมเจอร์ เอกมัย
เราก็เลยออกไปดู A WORKING MAN (2025,
David Ayer, UK/USA, 116min) รอบ 11.30 น. แต่กว่าหนังจะฉายก็ราว ๆ
เที่ยงตรง พอเราดูไปได้ครึ่งค่อนเรื่อง ราวบ่ายโมงกว่า ๆ เราก็รู้สึกว่าที่นั่งมันสั่นไหว
เราก็นึกว่ามีคนถีบเบาะ หรือไม่เราก็มีอาการบ้านหมุน เราก็เลยยังไม่คิดอะไร
แต่ต่อมาที่นั่งมันก็สั่นไหวแรงมาก ๆ เหมือนเรากำลังนั่งอยู่บนเกลียวคลื่น เราก็ไม่แน่ใจว่าเรารู้สึกคนเดียวหรือเปล่า
เราก็เลยหันไปดูผู้ชมที่นั่งแถวหลัง ๆ เห็นมีบางคนเริ่มลุกขึ้นยืน
เราก็เลยรู้ทันทีว่า เราไม่ได้รู้สึกอยู่คนเดียว มันสั่นไหวอย่างรุนแรงจริง ๆ
แต่ตอนนั้นเราไม่นึกว่ามันเป็นแผ่นดินไหวนะ
เพราะเราไม่เคยเจอแผ่นดินไหวแรง ๆ แบบนี้มาก่อนตลอดอายุ 52 ปีของเรา เราก็เลยนึกว่ามีคนวางระเบิดพารากอน
เรานึกว่าอาจจะมีคนวางระเบิดชั้นล่าง ๆ แล้วมันสั่นสะเทือนขึ้นมาถึงชั้นบนหรือเปล่า
แล้วเราก็สงสัยว่าตึกมันจะถล่มลงมาหรือเปล่า แล้วเราก็กลัวด้วยว่า มันอาจจะมีผู้ก่อการร้ายมากราดยิงคนตามชั้นต่าง
ๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นกูเผ่นก่อนล่ะ กูไม่รอให้มีใครมากราดยิงกูหรอกนะ I
won’t die without a fight
เราก็เลยรีบเผ่นออกจากโรงหนังในทันที แล้วก็เห็นมีบางคนเดินออกจากโรงหนังเช่นกันด้วยอาการงุนงง
เราเดินออกไปตรงจุดสำหรับฉีกตั๋วหนัง แล้วก็เห็นโคมไฟ chandelier ตรงหน้าโรงหนังสยามภาวลัยสั่นไหวอย่างรุนแรงสุดขีดมาก ๆ เราก็เลยงง ๆ ว่า ฉันควรหลบตรงไหนดี สรุปมันคือแผ่นดินไหวหรือมันคือวางระเบิดก่อการร้ายกันแน่เนี่ย
แล้วก็มีพนักงานโรงหนังสยามพารากอนคนนึง
รีบเดินมาบอกผู้ชมที่ยืนออ ๆ ดู chandelier สั่นไหวอย่างรุนแรงสุดขีดตรงนั้น
ให้รีบลงทางหนีไฟ แล้วเธอก็ชี้ทางให้พวกเราไปยังทางหนีไฟในโรงหนัง ซึ่งเราไม่เคยสังเกตมาก่อนว่ามันอยู่ตรงจุดนี้ของโรงหนัง
เราก็เลยรู้สึกขอบคุณพนักงานโรงหนังสยามพารากอนมาก
ๆ ที่ควบคุมสติได้ดีมาก และคำนึงถึงชีวิตของผู้ชมมาก ๆ คือแทนที่เธอจะเผ่นก่อนเพื่อรักษาชีวิตของตนเองเป็นลำดับแรก
ในเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดแบบนี้ เธอกลับรีบมาชี้ทางให้ผู้ชมจำนวนมากไปยังทางหนีไฟได้อย่างถูกต้อง
คือถ้าหากเธอไม่มาชี้ทางให้ เราก็ไม่รู้หรอกว่า ทางหนีไฟมันอยู่ตรงจุดนี้ของโรงหนัง
เหมือนเธอเห็นชีวิตของลูกค้าสำคัญกว่าชีวิตของตนเอง เราก็เลยรู้สึกขอบคุณพนักงานคนนี้มาก
ๆ ค่ะ
พอเราลงทางหนีไฟมาเรื่อย ๆ จนถึงชั้นล่างสุด
และออกมาอยู่นอกตัวอาคารแล้ว เราก็เดินตามคลื่นมหาชนจำนวนมากไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่า
พวกเขาจะเดินไปไหนกันแน่ ตอนนั้นเราก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีนะว่า
มันเกิดแผ่นดินไหวหรือก่อการร้ายกันแน่ เราเดินงง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนเจอเพื่อน cinephile
คนนึงโดยบังเอิญ เขามาดูหนังเรื่อง PRESENCE (2024, Steven
Soderbergh, 84min) ที่พารากอน ซึ่งเขาก็ดูไม่จบเช่นกัน
เรากับเพื่อน cinephile ก็เลยหาที่ยืนบริเวณแถวใกล้
ๆ โรงเรียนวัดปทุมวนาราม เพื่อดูลาดเลาว่าพวกเราควรทำอะไรต่อดี พอเราเห็นคนจำนวนมากออกมาจากหลายอาคารในเวลาเดียวกัน
เราถึงค่อยแน่ใจว่ามันเกิดแผ่นดินไหว ไม่ใช่การวางระเบิด
เราก็พยายามเช็คข่าวแผ่นดินไหว
แต่ปรากฏว่าตอนนั้นโทรศัพท์ใช้การไม่ได้เลย เพื่อนเราโทรหาใครก็ไม่ได้เลย เราเข้า google
ก็ไม่ได้ line ก็เหมือนส่งข้อความไม่ไป ส่วน facebook
ก็ขึ้นฟีดแต่สิ่งที่คนอื่น ๆ โพสท์ในช่วงก่อนเที่ยงวัน พอเราลอง search
คำว่า แผ่นดินไหวใน facebook มันก็ขึ้นแต่ข่าวแผ่นดินไหวเมื่อ
2-3 วันก่อน
เราก็เลยเดาว่า ตอนนั้นระบบการสื่อสารคงล่ม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริเวณนั้นมีผู้คนหลายพันหลายหมื่นคนจากหลายอาคารมายืนออ
ๆ อยู่ในจุดเดียวกันและพยายามใช้โทรศัพท์พร้อมกันหรือเปล่า
เราพยายามโพสท์วิดีโอที่เราถ่ายไว้ตอนช่วง
13.30-13.34 น. แต่กว่าระบบสื่อสารจะใช้ได้ จน facebook สามารถลงวิดีโอของเรา
ก็เป็นเวลา 14.17 น.แล้ว
เพื่อน cinephile ของเรากลับบ้านไม่ได้
เพราะบ้านของเขาอยู่แถวบางนา แล้วรถไฟฟ้ามันใช้ไม่ได้ เราก็เลยพาเพื่อนของเรา
เดินจากพารากอนมาออกถนนใหญ่ตรงหน้า central world แล้วก็พาเดินไปตามถนนเพชรบุรีเรื่อย
ๆ แล้วก็มากินข้าวแถวอพาร์ทเมนท์ของเราแถวราชเทวี แล้วเราก็พาเพื่อนมานั่งพักที่อพาร์ทเมนท์
รอเวลาไปเรื่อย ๆ เผื่อรถไฟฟ้าจะใช้งานได้ โชคดีที่ตึกอพาร์ทเมนท์ของเราซึ่งมี 6
ชั้น ดูเหมือนไม่ได้รับความเสียหายอะไรเลยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนี้
ช่วงบ่ายช่วงเย็นช่วงค่ำวันนี้
เราก็เลยอยู่กับเพื่อนคนนี้ เราพาเขาออกไปหาอาหารกินมื้อเย็น แล้วก็กลับมาดูหนังกันต่อที่ห้อง
โดยวันนี้เราดูวิดีโอเทปลิขสิทธิ์ของ CVD เรื่อง SILKWOOD
(1983, Mike Nichols, A+30) ซึ่งเป็นวิดีโอเทปที่น่าจะมีอายุนานกว่า
30 ปีแล้ว แต่ปรากฏว่า วิดีโอเทปม้วนนี้มันยังดูได้อยู่
พอดู SILKWOOD เสร็จ
มันก็เป็นเวลาราว 5 ทุ่ม รถเลิกติดแล้ว เราก็เลยส่งเพื่อนเราขึ้นรถเมล์กลับบ้านไป
ตอนนี้เราก็หวังว่า เราจะไม่มีอาการ vertiginous
syndrome อีกครั้งนะ คือเราเคยมีอาการนี้เมื่อราว 20 ปีก่อนน่ะ
ตอนนั้นเราทำงานอยู่ชั้น 35 แล้วมันมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่มากที่จีนหรืออินโดนีเซียนี่แหละ
ซี่งมันส่งแรงสั่นสะเทือนมาถึงกรุงเทพ แล้วเรานั่งทำงานอยู่ชั้น 35 ในตอนนั้น
มันก็เลยรู้สึกได้ชัด (แต่ความรุนแรงในตอนนั้นก็น้อยกว่าครั้งนี้มาก ๆ นะ เหมือนครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งนั้นราว
10-20 เท่า) ตอนนั้นเราจำได้ว่า แม่บ้านที่ทำงานชั้น 35 หกล้มลงไปเลย
แล้วพอเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้นผ่านไป
(เราจำปีแน่นอนไม่ได้ น่าจะเป็นราวปี 2005-2007) เราก็มีอาการเวียนหัวคล้ายบ้านหมุนเป็นครั้งคราว
ราวสัปดาห์ละครั้ง คือบางครั้งเวลาเรานั่งอยู่เฉย ๆ เราก็จะรู้สึกเหมือนเรากำลังนั่งอยู่บนเรือที่โคลงเคลงไปมา
เราจะรู้สึกแบบนี้อยุ่ราว ๆ 5-30 นาที ก่อนที่จะกลับเป็นปกติ
เราก็เลยไปหาหมอ หมอก็ตรวจแล้วบอกว่า เราเป็น vertiginous
syndrome หมอบอกว่า ตอนที่มันเกิดแผ่นดินไหว ประสาทหูของเรา (พวกน้ำในหูของเรา)
มันปรับตัวให้เข้ากับแผ่นดินไหวโดยอัตโนมัติ แล้วประสาทหูของเรามันไม่ปรับเข้าสู่โหมดปกติในเวลาต่อมา
หมอบอกว่า อาการของเราก็จะคล้าย ๆ กับกลาสีเรือ
ที่ประสาทหูของพวกเขาจะปรับให้เข้ากับเรือที่โคลงเคลงโดยอัตโนมัติ
แต่พอพวกเขาขึ้นบก ประสาทหูของพวกเขาอาจจะยังไม่ปรับเข้าสู่โหมดปกติในทันที
(ถ้าหากเราจำที่หมอพูดไม่ผิดนะ)
หมอบอกว่า อาการของเราจะหายไปเอง
ซึ่งมันก็เป็นตามที่หมอบอกจริง ๆ แต่มันต้องใช้เวลานานถึง 1 ปีแน่ะสำหรับเรา
ก่อนที่อาการ vertiginous syndrome ของเราจะหายไป
เราก็เลยหวังว่า อาการที่เราเคยเป็นเมื่อ 20
ปีก่อนจะไม่กลับมาอีก
No comments:
Post a Comment