ตอบคุณ OLIVER
--อยากดู BROKEBACK MOUNTAIN มากเหมือนกันค่ะ มีบางคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้แล้วในเทศกาลภาพยนตร์เวนิซแสดงความเห็นในทางบวกอย่างรุนแรงไว้ใน IMDB.COM ด้วย
http://www.imdb.com/title/tt0388795/
http://www.advocate.com/news_detail_ektid20319.asp
เฮธ เลดเจอร์กล่าวว่า BROKEBACK MOUNTAIN เป็นหนังรักที่ “ถูกต้องเหมาะสม” เรื่องแรกที่เขาเคยแสดง และกล่าวว่า “ผมพบว่าไม่มีความลึกลับหลงเหลืออยู่อีกมากนักในเรื่องราวระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง เพราะเรื่องแบบนั้นได้ถูกสร้างเป็นหนังไปหมดแล้วหรือคนได้ชมกันไปหมดแล้ว ผมพบว่าหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของความรักที่สดใหม่ และในความเห็นของผมนั้น ตัวละครของเราก็มีความซับซ้อนด้วย และก่อนหน้าที่ผมจะได้เล่นหนังเรื่องนี้ ผมไม่เคยมีโอกาสเลยที่จะได้สำรวจความเป็นมนุษย์ในรูปแบบนี้และสำรวจการแสดงออกของความรักในรูปแบบนี้อย่างแท้จริง”
BROKEBACK MOUNTAIN สร้างจากเรื่องสั้นของ ANNIE PROULX ซึ่งอั้งลี่ให้ความเห็นว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการไขว่คว้าหาความรักและความสุขโดยต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคขวากหนาม โดยเขากล่าวว่า “เอนนิสกับแจ็คอยู่ในดินแดนคาวบอยฝั่งตะวันตกของอเมริกา ซึ่งเป็นดินแดนที่มีค่านิยมหัวเก่าและเชิดชูการแสดงออกแบบชายชาตรี ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องเก็บงำปิดซ่อนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขารู้สึกไว้เป็นเรื่องส่วนตัว”
อย่างไรก็ดี เจมส์ ชามุส ผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า จุดประสงค์ของหนังเรื่องนี้ไม่ใช่การประกาศจุดยืนทางการเมืองเรื่องการยอมรับเกย์ โดยเขากล่าวว่า “เราใช้กฎเกณฑ์และธรรมเนียมของหนังโรแมนติกแบบที่เคยใช้กับคู่รักชายหญิงมาใช้ในหนังเรื่องนี้โดยไม่รู้สึกว่ามันผิดแต่อย่างใด เราไม่สนเลยว่าใครจะไม่พอใจกับเรื่องนี้หรือไม่เพราะเราไม่ได้ตั้งใจให้หนังเรื่องนี้มีความเป็นการเมืองเลยแม้แต่น้อย”
--จริงๆแล้ว THE CAVE ไม่ใช่หนังดีแต่อย่างใดค่ะ EDDIE CIBRIAN ในหนังก็ไม่ได้ถอดเสื้อถอดผ้าให้ได้ชื่นใจบ้างเล้ย แต่เนื่องจากดิฉันไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่า THE CAVE มันจะมีอะไรดี นอกจากมีหนุ่มหล่อๆอยู่บ้าง กับมีความลุ้นระทึกตามสูตรสำเร็จในแบบของมัน (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดิฉันพอรับได้) ก็เลยไม่ผิดหวังกับหนังเรื่องนี้มากนัก ถึงแม้จะไม่ได้ถูกใจนักก็ตาม ถ้าหากเทียบกับหนังแนวทางใกล้เคียงกัน อย่าง ANACONDAS: THE HUNT FOR THE BLOOD ORCHID (2004, DWIGHT H. LITTLE, A-) แล้ว ดิฉันชอบ ANACONDAS มากกว่าเยอะค่ะ เพราะ ANACONDAS จงใจขายมัดกล้ามและเรือนร่างผู้ชายอย่างเต็มที่ และยังนำเสนอเรื่องราว “การตบตีกันระหว่างคนในที่ทำงานเดียวกัน” ได้อย่างสนุกกว่าด้วย
--MATILDA (1996, DANNY DE VITO, A+++++++++++) เป็นหนึ่งในหนังเด็กที่ชอบที่สุดในชีวิตค่ะ ในความรู้สึกส่วนตัวแล้ว ดิฉันชอบ MATILDA มากกว่า CHARLIE AND THE CHOCOLATE FACTORY หลายร้อยเท่าค่ะ จริงๆแล้ว CHARLIE AND THE CHOCOLATE FACTORY ก็เป็นหนังที่ดีมาก แต่ตอนจบของหนังมันไม่ถูกกับรสนิยมของดิฉันเท่านั้นเอง ฉากใน CHARLIE AND THE CHOCOLATE FACTORY ที่ดิฉันชอบที่สุดก็คือฉาก “ตุ๊กตาเริงระบำ” ตอนเดินเข้าโรงงานค่ะ ฉากนั้นให้ A+++++++++ เลย
ดิฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าความเป็น ROALD DAHL (1916-1990) คืออะไร เพราะเคยอ่านงานเขียนของเขาแค่นิดเดียวเอง ส่วนหนังที่สร้างจากงานของเขาก็เคยดูอีกแค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือ THE WITCHES (1990, NICOLAS ROEG, A) ที่ ANJELICA HUSTON แสดงได้อย่างสุดยอดมาก แต่ตอนจบของหนังอาจจะตรงข้ามกับเวอร์ชันในหนังสือมากไปหน่อย
--ชอบ THE SKELETON KEY (2005, IAIN SOFTLEY, A) มากค่ะ ชอบการแสดงของทุกคนในเรื่องนี้มาก ทั้ง KATE HUDSON, GENA ROWLANDS, JOHN HURT (ซึ่งเคยเล่นหนังเกย์เรื่อง LOVE AND DEATH ON LONG ISLAND ไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆๆๆ) ส่วน PETER SARSGAARD ก็ยังคงน่ารักมากๆ
ดิฉันเคยดูหนังของ IAIN SOFTLEY ผู้กำกับหนังเรื่องนี้อีกแค่เรื่องเดียว ซึ่งก็คือ HACKERS (1995, B/B-) รู้สึกว่าจำอะไรใน HACKERS แทบไม่ได้เลย นอกจากว่า JONNY LEE MILLER น่ารักดี น่าเสียดายที่ตอนนี้รู้สึกว่าหัวเขาเริ่มเถิกๆไปหน่อย
http://i.timeinc.net/ew/dynamic/imgs/030709/165215__06angie_l.jpg
IAIN SOFTLEY
http://www.imdb.com/name/nm0812200/
ปัจจัยที่ทำให้ชอบ THE SKELETON KEYS
1.ดูแล้วนึกถึงนิยายหลายสิบเรื่องของจินตวีร์ วิวัธน์ ที่มีนางเอกไปทำงานในคฤหาสน์โบราณ มันเป็นสูตรสำเร็จมากๆ เข้าทำนอง “ร้อยเรื่อง พล็อตเดียว” แต่ดิฉันชอบพล็อตเดียวนี้แหละค่ะ ดูทีไรก็สนุกและมีอารมณ์ร่วมไปด้วยทุกที
2.ปัจจัยหนึ่งที่อาจจะมีผลในทางอ้อมต่อความรู้สึกขณะดูหนังเรื่องนี้ ก็คือหนังเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องบางส่วนเกี่ยวข้องกับ เมืองนิว ออร์ลีนส์ ภาพของนิว ออร์ลีนส์ในหนัง ซึ่งตรงข้ามกับภาพของนิว ออร์ลีนส์ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียดแทงใจอย่างมาก
(ชอบกระทู้ที่คุณ VALENCE โพสท์ไว้เกี่ยวกับนิวออร์ลีนส์มากค่ะ)
http://xq28.net/s/viewtopic.php?t=8467&sid=29aca2d3590b0fe6e00776b7d7a88ad3
3.รู้สึกว่าตอนจบของหนังเรื่องนี้ดีพอใช้ค่ะ คิดว่าบทภาพยนตร์ของ EHREN KRUGER ทำออกมาใช้ได้พอสมควร
http://www.imdb.com/name/nm0472567/
อย่างไรก็ดี ถ้าหากเทียบกับหนังสยองขวัญในปีนี้อย่าง BOOGEYMAN (2005, STEPHEN T. KAY, A+) และ HOUSE OF WAX (2005, JAUME COLLET-SERRA, A+) แล้ว ดิฉันอาจจะชอบ THE SKELETON KEY รองลงมาหน่อยค่ะ จริงๆดิฉันก็คิดว่า THE SKELETON KEY มันสมบูรณ์แบบเท่าที่เนื้อเรื่องของมันจะอำนวยให้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าขณะที่ดู ดิฉันยังไม่รู้สึก “ถึงจุดสุดยอด” รู้สึกว่าฉากไคลแมกซ์ของ THE SKELETON KEY มันเกือบๆจะทำให้ดิฉันรู้สึก “สุดๆ” แล้ว แต่มันก็แค่เกือบๆเท่านั้น
--รายชื่อคู่แข่งของ BROKEBACK MOUNTAIN ในการชิงรางวัลสิงโตทองคำปีนี้ ไม่รู้ว่าใครเชียร์หนังเรื่องอะไรกันบ้าง ดิฉันเชียร์ PHILIPPE GARREL ค่ะ (เทศกาลเวนิซมีถึงวันที่ 10 ก.ย.)
1."La Seconda Notte di Nozze" (อิตาลี) กำกับโดยปูปี อวาติ และนำแสดงโดยอันโตนิโอ อัลบานีส และเนรี มาร์โคเร
ปูปี อวาติ เพิ่งมีหนังรักโรแมนติกที่ทำให้ดิฉันร้องไห้เรื่อง A Heart Is Elsewhere (A+) เข้ามาฉายเมื่อต้นปีนี้
2."O Fatalista" (โปรตุเกส/ฝรั่งเศส) กำกับโดยเชา โบเตลยู ซึ่งเป็นผู้กำกับชื่อดังมากของโปรตุเกส ยังไม่เคยดูหนังของเขาเลยค่ะ แต่ก็อยากดูมากๆ
http://www.allocine.fr/film/galerie_gen_cfilm=61755&filtre=31006&page=2.html
3."Vers le Sud" (ฝรั่งเศส/แคนาดา) กำกับโดยโลรองท์ กองเตท์ (Time Out, Human Resources, The Sanguinaires) และนำแสดงโดยชาร์ลอทท์ แรมพลิง (Under the Sand), คาเรน ยัง และหลุยส์ ปอร์ตัล
รู้สึกว่าคุณอ้วนจะชอบ LAURENT CANTET มากๆใช่มั้ยคะ ดิฉันเองก็ชอบหนังเรื่อง THE SANGUINAIRES (1998, A+/A) ของเขามากเหมือนกันค่ะ แต่ยังไม่ได้ดูเรื่องอื่นๆของเขาเสียที
http://www.e.bell.ca/filmfest/2005/films_description.asp?id=303
VERS LE SUD มีเนื้อหาเกี่ยวกับหญิงสาวชาวอเมริกาเหนือสามคนที่ไปเที่ยวเซ็กส์ทัวร์ในเกาะไฮติในทศวรรษ 1980 โดยทั้งสามคนนี้ได้แก่เอลเลน (แรมพลิง) ซึ่งมีนิสัยเย่อหยิ่ง เจ้ากี้เจ้าการ และเสแสร้ง, เบรนดา (คาเรน ยัง) ซึ่งเป็นหญิงสาวไร้เดียงสาจากแถบมิดเวสท์ที่มีความเป็นมาโซคิสท์อยู่ในตัว และซู (หลุยส์ พอร์ทัล จาก BARBARIAN INVASIONS) ที่รักสนุก, รักเซ็กส์ และพยายามทำให้ทุกคนอารมณ์ดี นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการแก่งแย่งแข่งขันกันระหว่างหญิงสาวทั้งสามในลักษณะที่ทำให้นึกถึงหนังเมโลดรามาของ DOUGLAS SIRK ด้วย
ส่วน LEGBA (MENOTHY CESAR) ซึ่งเป็นโสเภณีชายที่ให้บริการแก่หญิงสาวทั้งสามคนนี้ คิดว่าเขาเป็นคนที่มีอิสระเสรีที่สามารถทำสิ่งใดก็ได้ที่ตัวเองต้องการ แต่เขากลับเข้าไปพัวพันกับสภาพความเป็นจริงทางการเมืองอันโหดร้ายในไฮติโดยไม่ได้ตั้งใจ
หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องสั้นของ DANY LAFERRIERE
4."Gabrielle" (ฝรั่งเศส/อิตาลี) กำกับโดยปาตริซ เชโร และนำแสดงโดยอิซาเบล อูแปร์ท (Malina), ปาสกาล เกรกกอรี และเธียรี อองซิสส์ หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากงานเขียนเรื่อง THE RETURN ของ JOSEPH CONRAD
ปาตริช เชโรเคยกำกับหนังเกย์เรื่อง HIS BROTHER และ The Wounded Man (A+) รวมทั้งกำกับหนังดีๆอย่าง Those Who Love Me Can Take the Train (A+) และ Queen Margot (A+) แต่เนื่องจากเขาเคยได้รางวัลใหญ่ไปแล้วจาก INTIMACY (2001) ดิฉันก็เลยไม่เชียร์เขาเท่าไหร่ ถึงแม้จะชอบเขามากๆก็ตาม
http://aolsvc.news.aol.com/entertainment/article.adp?id=20050902010509990004&cid=445
GABRIELLE เป็นหนังที่สะท้อนความผูกพันของปาตริซ เชโรที่มีต่อละครเวที เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้ มีเพียงแค่สามีภรรยาพูดคุยกันเพื่อทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ขณะที่ชีวิตสมรสของทั้งคู่กำลังจะสิ้นสลาย ในหนังเรื่องนี้ ปาสกาล เกรกกอรี รับบทเป็นฌอง แอร์วีย์ นักธุรกิจสิ่งพิมพ์ผู้ร่ำรวย เขาใช้ชีวิตอย่างผาสุกอยู่กับเกเบรียลล์ (อูแปร์) ผู้เป็นภรรยาทั้งที่ความรักระหว่างทั้งสองจืดจางไปหมดแล้วหลังจากแต่งงานกันมานาน 10 ปี และในเย็นวันหนึ่งเขาก็พบว่าภรรยาได้ทิ้งเขาไปหาชายชู้แล้ว
อย่างไรก็ดี ในเวลาไม่นาน เขาก็พบว่าภรรยาได้กลับมาหาเขาและบอกว่าเธอตัดสินใจที่จะอยู่กับเขา และทั้งสองก็ได้ใช้เวลา 3 วัน 3 คืนถัดมาในการสำรวจความรู้สึกซึ่งกันและกันและสำรวจเหตุผลที่ทำให้นางเอกตัดสินใจทิ้งเขาไปและกลับมาหาเขาอีกครั้ง
GABRIELLE ใช้ฉากหลังเป็นปี 1912 ซึ่งเป็นยุคทองของกรุงปารีส แต่หนังเรื่องนี้มีโทนที่เคร่งขรึมมาก ซึ่งอาจจะสะท้อนจุดกำเนิดของบทประพันธ์เรื่อง THE RETURN ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1897 โดยตัวละครสำคัญในหนังเรื่องนี้มีเพียงสองคนเท่านั้น แต่ก็มีสาวใช้เข้ามาเสิร์ฟอาหารบ้างเป็นระยะ ซึ่งรวมถึงอีวอนน์ (คลอเดีย โคลี) ที่ทำหน้าที่เป็นสาวใช้คนสนิทของเกเบรียลล์
ถึงแม้ GABRIELLE จะเต็มไปด้วยตัวละครคุยกัน หนังเรื่องนี้ก็มีงานด้านภาพที่งดงามมาก โดยมี ERIC GAUTIER ซึ่งเป็นตากล้องขาประจำของเชโรมาถ่ายภาพให้เขา และเชโรก็สามารถถ่ายทอดความฟุ้งเฟ้อเว่อเกินเหตุของฉากและเครื่องแต่งกายในยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การจัดแสงในหนังเรื่องนี้ก็งดงามมาก โดยเน้นไปที่แสงสีทองและน้ำตาล
อ่านบทวิจารณ์หนังเรื่องนี้แล้วนึกถึง MELO (ALAIN RESNAIS, A) ค่ะ เพราะ MELO ก็เป็นเรื่องของการนอกใจ, เต็มไปด้วยตัวละครพูดคุยกัน และมีการนำเทคนิคของละครเวทียุคโบราณมาใช้ในหนังด้วย
5."Good Night and Good Luck" (สหรัฐ) กำกับโดยจอร์จ คลูนีย์ และนำแสดงโดยคลูนีย์, เดวิด สเตรทแธร์น, เจฟฟ์ แดเนียลส์, โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ และแพทริเซีย คลาร์คสัน (Far From Heaven)
6.THE BEAST IN THE HEART (อิตาลี) กำกับโดยคริสตินา โคเมนซินี และนำแสดงโดยโจวานนา เมซซอกจิออร์โน (Facing Window), ลุยจิ โล คาสซิโอ (The Best of Youth, 100 STEPS), อาเลสซิโอ โบนี, สเตฟาเนีย ร็อกกา และแองเจลา ฟินอกเชียโร (DON’T MOVE)
STEFANIA ROCCA รู้สึกว่าเคยมีหนังหลายเรื่องเข้ามาฉายในไทย อย่างเช่น HOTEL (2001, MIKE FIGGIS, A+), HEAVEN (2002, TOM TYKWER, A), LOVE’S LABOUR’S LOST (2000, KENNETH BRANAGH, B) และ THE TALENTED MR. RIPLEY (1999, ANTHONY MINGHELLA, A+)
http://www.imdb.com/name/nm0733625/
7."I Giorni dell'Abbandono" (อิตาลี) กำกับโดยโรเบร์โต ฟาเอนซา และนำแสดงโดยมาร์เกริตา บุย (Not of This World, His Secret Life, Caterina in the Big City) และโกราน เบรโกวิช
ROBERTO FAENZA เคยกำกับเรื่อง THE SOUL KEEPER (2002, C+) ที่มาฉายในกรุงเทพในปีที่แล้ว
8."Mary" (อิตาลี/สหรัฐ) กำกับโดยอาเบล เฟอร์รารา (The Addiction, Bad Lieutenant (A), China Girl) และนำแสดงโดยจูเลียต บิโนช, แมทธิว โมดีน (Hotel New Hampshire (A)) และฟอเรสท์ วิทเทเกอร์
9."Les Amants Reguliers" (ฝรั่งเศส/อิตาลี) กำกับโดยฟิลิปเป การ์เรล (The Birth of Love (A+), I Don't Hear the Guitar Anymore, Liberte La Nuit) และนำแสดงโดยหลุยส์ การ์เรล (The Dreamers, Ma Mere), คลอติลด์ เอสเม และจูเลียง ลูกัส โดยมีความยาว 178 นาที
http://www.e.bell.ca/filmfest/2005/films_description.asp?id=14
ในหนังเรื่อง THE DREAMERS หลุยส์ การ์เรลรับบทเป็นชายหนุ่มที่ “กำลังจะ” เข้าร่วมในการก่อจลาจลครั้งสำคัญในฝรั่งเศสในปี 1968 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นนั้นและต่อนักสร้างหนังฝรั่งเศสในยุคนั้นเป็นอย่างมาก และในหนังเรื่อง LES AMANTS REGULIERS นี้ ซึ่งกำกับโดยพ่อของหลุยส์ การ์เรลเอง ก็พูดถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกัน แต่คราวนี้หนังพาเราเข้าไปสัมผัสกับเหตุการณ์จลาจลในครั้งนั้นโดยตรงเลย และพาเราเข้าไปสัมผัสกับชีวิตเลือดเนื้อของคนหนุ่มในเวลานั้นอย่างเต็มที่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกแต่อย่างใดที่ PHILIPPE GARREL จะหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูดถึง เพราะเขาเป็นคนที่อยู่ในยุคสมัยนั้นโดยตรง และเคยทำหนังที่พูดถึงคนยุคนั้นมาแล้ว อย่างเช่นเรื่อง THE BIRTH OF LOVE (1993, A++++++++) ที่เขาให้ LOU CASTEL กับ JEAN-PIERRE LEAUD มารับบทเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่เคยผ่านยุค MAY 1968 มาแล้ว ทั้งสองคนเคยเป็นคนหนุ่มที่อัดแน่นด้วยพลังแห่งความเคลื่อนไหวอย่างเต็มที่ในปี 1968 แต่เมื่อเวลาผ่านมานาน 20 กว่าปี ทั้งสองก็กลายเป็นเพียงชายวัยกลางคนที่พบกับความเหงาเปล่าเปลี่ยวในชีวิตรักและชีวิตครอบครัว ความฝันที่ทั้งสองเคยมีในปี 1968 ได้สูญสลายหายไปไหนแล้วหรือ หรือว่ามันเป็นเพียงครรลองของชีวิตที่ยากจะหลุดพ้นได้ สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่ทำใจยอมรับกับมันเท่านั้น
ย้อนกลับมาที่ LES AMANTS REGULIERS การ์เรลถ่ายหนังเรื่องนี้ถ่ายเป็นข่าวดำและนำสไตล์หนังของยุค 1960 มาใช้ในหนังเรื่องนี้ นักวิจารณ์บอกว่าเราสามารถรู้สึกได้เลยว่ามีอิทธิพลของ JEAN-LUC GODARD, ERIC ROHMER และ ROBERT BRESSON ปรากฎอยู่ในหนัง หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกที่สมจริงอย่างมากโดยปราศจากการปรุงแต่งประดิดประดอย และสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของทศวรรษ 1960 ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยหนังสามารถรักษาสมดุลได้ดีในการถ่ายทอดทั้ง “อุดมการณ์” และ “ความต้องการโค่นล้มสิ่งต่างๆ” ของเด็กๆยุคนั้น
การ์เรลไม่เคยสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ฉากไคลแมกซ์” และไม่เคยพยายาม “ให้คำอธิบาย” ใดๆในหนังของเขา หนังของเขาถ่ายทอดช่วงเวลาเล็กๆน้อยๆที่เงียบสงบ โดยมีตัวละครหลักคืออังตวนกับเพื่อนๆ ซึ่งเป็นนักศึกษาในกรุงปารีสที่เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์จลาจลในเดือนพ.ค.ปี 1968 และหลังจากพวกเขาได้เข้าร่วมในเหตุการณ์นั้น พวกเขาก็พยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาพูดคุยกัน และพบกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไป กลุ่มเพื่อนๆเริ่มแตกสลายแยกห่างจากกันไป มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเกิดขึ้น และพวกเขาก็เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัวมากกว่าอุดมการณ์ทางการเมือง อังตวนจ้องมองความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนๆในกลุ่ม และเมื่อเขาตกหลุมรัก เขาก็พบว่าตัวเขาได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
LES AMANTS REGULIERS ไม่มีความเป็นเมโลดรามา และไม่มีความความพยามที่จะทำให้เหตุการณ์ในปี 1968 ดูยิ่งใหญ่เกินความเป็นจริง ผู้ชมจะได้เห็นนักศึกษานั่งเอกเขนกสูบฝิ่นและใช้เวลาของตัวเองไปเรื่อยๆโดยไม่มีอะไรแน่นอน http://www.sensesofcinema.com/contents/01/12/garrel.html
http://www.sensesofcinema.com/contents/00/9/garrel.html
นักวิจารณ์ใน SENSES OF CINEMA เคยให้ความเห็นว่าการ์เรลมักสร้างหนังที่เป็นอัตชีวประวัติของตัวเอง หนังของเขาแสดงให้เห็นถึงการแต่งงานและการหย่าร้าง, การมีลูก และลูกๆก็ถามคำถามที่ทำให้พ่อแม่กระอักกระอ่วนใจ, พ่อแม่พยายามสอนลูกๆ ก่อนที่พ่อแม่จะตายไป และพระเอกในหนังของเขาก็มีอายุย่างเข้าวัยกลางคน โดยที่ยังคงครุ่นคำนึงถึงความรักที่ไม่สมหวังในอดีตและความฝันที่สูญหายไปหลังเหตุจลาจลในปี 1968 ภาพยนตร์ของฟิลิปเป การ์เรลคือภาพยนตร์ที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยละห้อยหา และมีลักษณะของการเปิดเผยชีวิตตัวเองแบบโฮมมูฟวีอยู่ด้วย นอกจากนี้ ภาพยนตร์ของเขายังเต็มไปด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน และให้ความรู้สึกชิดใกล้กับผู้ชมในแบบที่ไม่ปรากฏในหนังของคนอื่นๆ
10."Garpastum" (รัสเซีย) กำกับโดยอเล็กไซ เกอร์แมน จูเนียร์ (The Last Train)
http://www.intercinema.ru/eng/catalog/index.php?id=122
หนังเรื่องนี้ใช้ฉากหลังเป็นปี 1914 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเริ่มต้นด้วยฉากที่อาร์คดยุคเฟอร์ดินานด์ถูกลอบปลงพระชนม์ (ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งนั้น) โดยเนื้อหาหลักของหนังพูดถึงชีวิตของเพื่อนๆ 4 คน โดยสองคนในจำนวนนี้ (อังเดร กับ นิโคไล) เป็นพี่น้องกัน ทั้งสองมีพ่อที่แพ้พนันบอลจนกลายเป็นบ้า ส่วนแม่ของทั้งสองก็ตายไป และส่งผลให้ทั้งสองต้องไปอาศัยอยู่กับลุงซึ่งเป็นหมอ
พี่น้องสองคนนี้บ้าฟุตบอลพอๆกับพ่อ ทั้งสองต้องการจะเป็นนักฟุตบอล แต่ทีมบอลที่ทั้งสองไปสมัครไม่ยอมรับพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจจะตั้งทีมของตัวเองขึ้นมาเอง
หนึ่งในพระเอกของเรื่องนี้รักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอายุแก่กว่าเขามาก ผู้หญิงคนนี้มาจากเซอร์เบีย และเป็นเจ้าของซาลอนที่ทันสมัยแห่งหนึ่งในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยมีคนดังมากมายมาเที่ยวที่ซาลอนของเธอ ทั้งนักดนตรี, นักแสดง และกวี
อย่างไรก็ดี คนในซาลอนแห่งนี้ไม่ได้ตระหนักเลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบนโลกในขณะนั้น และไม่ได้สำเหนียกเลยว่าภัยอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาหาพวกเขา พวกเขาเพียงแค่มีความสุขกับชีวิตให้เต็มที่ แต่ในที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป บางคนถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยม และความฝันของพวกเขาก็สูญสลายตลอดไป
นำแสดงโดย YEVGENY PRONIN, DANILA KOZLOVSKY, CHULPAN KHAMATOVA
11."The Brothers Grimm" (อังกฤษ/สหรัฐ) กำกับโดยเทอร์รี กิลเลียม และนำแสดงโดยแมทท์ เดมอน, เฮธ เลดเจอร์, โจนาธาน ไพรซ์ และโมนิกา เบลลุคชี
12."Changhen ge" (จีน/ฮ่องกง) กำกับโดยสแตนลีย์ กวาน (Lan Yu, Full Moon in New York (A+), Rouge) และนำแสดงโดยเจิ้งซิ่วเหวิน, เหลียงเจียฮุย และจุน ฮู
13."Brokeback Mountain" (แคนาดา) กำกับโดยอั้งลี่ และนำแสดงโดยเจค กิลเลนฮาล, เฮธ เลดเจอร์, มิเชลล์ วิลเลียมส์ และแอนน์ แฮธาเวย์
14."Proof" (อังกฤษ/สหรัฐ) กำกับโดยจอห์น แมดเดน และนำแสดงโดยกวิเน็ธ พัลโทรว์, เจค กิลเลนฮาล และแอนโธนี ฮอปกินส์
15."The Constant Gardener" (อังกฤษ/เคนยา/เยอรมนี) กำกับโดยเฟอร์นานโด เมเรลเลส (City of God) และนำแสดงโดยเรล์ฟ ไฟน์ส, ราเชล ไวส์, ฮูเบิร์ต คุนเด และซิเดเด ออนยูโล
16."Espelho Magico" (โปรตุเกส) กำกับโดย มาโนเอล เดอ โอลิเวรา (A Talking Picture (A+), I'm Going Home (A+), The Uncertainty Principle) ซึ่งมีอายุ 97 ปี โดยดารานำในเรื่องนี้คือมิเชล ปิคโคลี (Belle de Jour), มาริสา ปาเรเดส, ลีโอนอร์ ซิลเวรา และริคาร์โด เตรปา
17."Sympathy of Lady Vengeance" (เกาหลีใต้) กำกับโดยปาร์ค ชาน-วุค (Old Boy) และนำแสดงโดยชอย มิน-ซิค
18."Romance and Cigarettes" (สหรัฐ) กำกับโดยจอห์น เทอร์เทอร์โร และนำแสดงโดยเจมส์ แกนโดลฟินี (The Sopranos), เคท วินสเล็ท (Titanic), ซูซาน ซารันดอน (Dead Man Walking) และคริสโตเฟอร์ วอล์คเคน
19."Persona Non Grata" (โปแลนด์/รัสเซีย/อิตาลี) กำกับโดยคิชตอฟ ซานุสซี ซึ่งเคยมีผลงานภาพยนตร์ 4 เรื่องเข้ามาเปิดฉายในกรุงเทพ ซึ่งได้แก่เรื่อง The Supplement (A), Life As a Fatal Sexually Transmitted Disease (A-), Imperative (1982, A) และ Ways in the Night (1979, A-) ส่วนดารานำของเรื่องนี้คือนิกิตา มิคาลคอฟ และเจอร์ซี สเตอร์ (Three Colors: White)
อ่านบทสัมภาษณ์คิชตอฟ ซานุซซีได้ในหนังสือ "ฟิล์มไวรัส 2"
Sunday, September 04, 2005
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment