Wednesday, June 24, 2020

CATARACT


ขอจดบันทึกไดอารี่ไว้ว่า วันอังคารที่ 23 มิ.ย.ถือเป็นหนึ่งในวันที่หนักที่สุดสำหรับเราในปีนี้

ตอนแรกเรากะว่าวันนี้เราจะไปดู THE SOUVENIR (2019, Joanna Hogg) ที่ Bangkok Screening Room แต่ก็ไม่ได้ไปดู เพราะช่วงเที่ยงๆบ่ายๆ เรารู้สึกว่าตาขวาเรามันมัวๆ เหมือนเห็นตัวอักษรมันซ้อนๆกัน เราก็เลยลองหยีตาข้างซ้าย เปิดตาข้างขวาข้างเดียว แล้วลองกลอกตาไปมา แล้วเราก็ตกใจมาก เพราะเราพบว่ามันเหมือนมีริ้วดำๆหลายอันมาบดบังการมองเห็นในตาขวาของเรา เหมือนรูปด้านล่างที่เราวาดไว้ คือถ้าเรามองตาขวาข้างเดียวตรงๆ เราจะไม่เห็นริ้วๆพวกนี้ แต่ถ้าหากเราหยีตาซ้าย แล้วกลอกตาขวาไปมา เราจะเห็นริ้วๆเหล่านี้มาบดบังการมองเห็นในตาขวา

เราลอง “เอามือปิดตาข้างซ้าย” แทนการหยีตาซ้าย แล้วลองทำแบบเดิม เราก็ไม่เห็นริ้วๆนี้ แต่เราหยีตาขวาไม่ได้ เราเลยลองเอามือปิดตาขวา แล้วกลอกตาข้างซ้ายไปมา เราก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติในดวงตาข้างซ้าย

เราพบว่า ไอ้ริ้วๆที่เราเห็นในดวงตาข้างขวานี้ มันคล้ายกับอาการของคนที่เป็น “จอประสาทตาหลุดลอก” ตามภาพด้านบน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราหวาดกลัวที่สุดในชีวิต เพราะมันเป็นสิ่งที่รักษายากมากๆ

เราก็เลยตัดสินใจไม่ไปดู THE SOUVENIR แล้ว และก็ตัดสินใจรีบไปหาหมอแทน เพื่อตรวจดูว่าดวงตาข้างขวาของเรามันเป็นอะไรกันแน่ แต่หมอมาตอน 5 โมงเย็น เราก็เลยใช้เวลาช่วงราว 1300-1700  น.อยู่กับความทุกข์ทรมานใจ นึกถึงนางเอก CLÉO FROM 5 TO 7 (1962, Agnès Varda) ที่ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในการรอลุ้นว่าตัวเองจะเป็นมะเร็งหรือไม่

โชคยังดีที่หมอตรวจแล้วพบว่าจอประสาทตาเรายังดีอยู่ ยังไม่ฉีกขาดหรือหลุดลอก ส่วนอาการริ้วๆที่เราเห็นนั้น อาจจะเกิดจาก “ฟิล์มน้ำตาไม่เรียบ” ซึ่งถ้าหากเรามองแบบเฉียงๆ เราอาจจะเห็นริ้วๆอะไรแบบนี้ได้

แต่หมอก็พบว่าเราเป็นต้อกระจกในทั้งตาซ้ายและตาขวานะ โดยต้อกระจกในตาขวาจะใหญ่กว่าตาซ้าย หมอก็บอกว่า ถ้าหากมันรบกวนชีวิตประจำวันของเรา ก็ให้มาผ่าตัดต้อกระจกซะ แต่หลังจากผ่าตัดแล้ว ตาข้างนั้นก็ห้ามโดนน้ำนาน 1 เดือน และห้ามยกของหนักกับห้ามขยี้ตานาน 1 เดือนด้วย

เราก็เลยโล่งใจในระดับนึง เพราะสิ่งที่เราหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ซึ่งก็คือ “จอประสาทตาหลุดลอก” ยังไม่เกิดขึ้น แต่เราก็กังวลใจกับต้อกระจกเหมือนกัน เราคงรอดูอาการไปเรื่อยๆก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่ามันควรจะผ่าตัดได้แล้วยัง เพราะการ “ห้ามดวงตาโดนน้ำนาน 1 เดือน” นี่ ก็เป็นอะไรที่น่าจะลำบากมากๆเหมือนกัน เราคงต้องหยุดงานให้นานที่สุดในช่วงนั้น และคงพยายามอยู่แต่ในห้องให้มากที่สุด เพราะแค่การเดินไป 7-eleven มันก็เสี่ยงกับการที่เหงื่อจะออกและไหลเข้าลูกตาได้แล้ว

พอเสร็จจากการหาหมอ เราก็เลยไปถามร้านตัดผมในซอยว่า ถ้าหากเรามาสระผมที่ร้าน เขาคิดครั้งละเท่าไหร่ เขาก็บอกว่าคิดครั้งละ 80 บาท ส่วนสาเหตุที่เราไปถาม เพราะเรากะว่า ถ้าหากเราผ่าตัดต้อกระจกจริงๆ เราคงสระผมเองไม่ได้น่ะ น้ำคงจะไหลเข้าตาแน่ๆ ช่วง 1 เดือนนั้นเราคงต้องใช้วิธีมาสระผมที่ร้านแทน

ถ้าหากใครมีประสบการณ์เคยผ่าตัดต้อกระจก ก็มาเล่าให้เราฟังได้นะ อยากรู้เหมือนกันว่าหลังผ่าตัดแล้ว ต้องใช้ชีวิตยังไงเพื่อไม่ให้น้ำเข้าลูกตานาน 1 เดือน

No comments: