RIFT FINFINNEE (2020, Daniel Kötter, Ethiopia, Germany,
documentary, A+30)
1.VISUAL ของหนังมันทรงพลังสุด ๆ เหมือนแต่ละช็อตมันมีความ
cinematic อย่างรุนแรง มีความทรงพลังด้านภาพมาก ๆ กราบมาก ๆ
โดยเฉพาะฉากที่ subject คนนึงเดินไปในตึกที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
2.เนื้อหาของหนังก็น่าสนใจสุด ๆ ด้วย เพราะหนังถ่ายทอดปัญหาสังคมในเอธิโอเปียในยุคปัจจุบัน
ทั้งเรื่อง
2.1 การเวนคืนที่ดิน ชาวบ้านที่เราเข้าใจว่าเป็นเกษตรกรหลายรายถูกรัฐบาลเวนคืนที่ดินไปสร้างอาคารสงเคราะห์
หรืออะไรทำนองนี้ แล้วรัฐบาลไม่ได้ให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมแก่ชาวบ้านที่ถูกเวนคืนที่ดินไป
2.2 การปะทะกันระหว่างเขตเมืองกับเขตชนบท
เพราะเหมือนรัฐบาลสร้างตึกสูง ๆ เอาไว้เป็นแฟลตให้คนมาอยู่กัน
แต่แฟลตเหล่านี้เหมือนถูกคั่นด้วย “ท้องไร่” แทรกอยู่เป็นระยะ ๆ เพราะชาวบ้านบางคนไม่ยอมขายที่ดินให้รัฐบาล
และยังคงทำไร่ต่อไปตามเดิม เราก็เลยได้เห็นภาพ landscape ที่แปลกประหลาด
เหมือนเห็นแฟลตดินแดงกับท้องนาตั้งอยู่เคียงคู่สลับกันไปมา
2.3 ปัญหาเรื่องคนจนคนรวย
2.4 และที่เราสนใจมากที่สุด ก็คือปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า
เราเข้าใจว่าเป็นชนเผ่า Oromo กับ Amhara ซึ่งเราไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
หนักมาก ๆ คือดูหนังเรื่องนี้แล้วเรากลัวมากว่าจะเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันแบบใน
Rwanda ขึ้นในเอธิโอเปีย
3.ดีใจที่เราได้ดูหนังเรื่องนี้ เพราะเราแทบไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับประเทศนี้มาก่อนเลย
แต่เรารู้สึกว่ามันเหมือนประเทศต้องสาปจริง ๆ เพราะตอนเด็ก ๆ
เราจะฝังใจว่าเอธิโอเปียเป็นหนึ่งในประเทศที่ผู้คนอดอยากยากแค้นมากที่สุดในโลก โดยความฝังใจนี้มันมาจากเพลง WE ARE THE WORLD นี่แหละ
แล้วหลังจากนั้น เราก็ได้รู้ว่ามันมีสงครามกลางเมือง แล้วก็เกิดการแยกประเทศ Eritrea
ออกไปจาก Ethiopia แล้วเราก็นึกว่ามันจะสงบแล้ว
นึกว่าพอแยกประเทศกันไป Ethiopia ก็คงกลายเป็นประเทศสงบ ๆ
แล้วมั้ง แล้วเราก็แทบไม่ได้ยินชื่อ Ethiopia ในข่าวใด ๆ อีก
แต่พอมาดูหนังเรื่องนี้ เราถึงเพิ่งรู้ว่ามันหนักมาก
เพราะเราเพิ่งรู้ว่าชาว Oromo กับชาว Amhara ในเอธิโอเปียเกลียดกันอย่างรุนแรงมาก
เราก็เลยรู้สึกว่าประเทศนี้มันต้องสาปจริง ๆ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่นองเลือดกัน
4.ตอนแรกจะงงกับ “ปี” ในหนังมาก ๆ เพราะพอ subject พูดถึงปีอะไรขึ้นมา
อย่างเช่นพูดถึงปี 2000 ตัว subtitle ก็จะขึ้นว่า 2000 (2007)
อะไรทำนองนี้ เราก็เลยงงมาก นึกว่า subject ในหนังจำปีผิด
พูดปีคลาดเคลื่อนตลอดทั้งเรื่อง แต่ตอนหลังเราถึงเพิ่งรู้ว่า ชาวเอธิโอเปียนับปีของตัวเองต่างจากชาวโลกราว
7 ปี
#signesdenuit2021
SILENT VOICE (2020, Reka Valerik, Belgium, documentary, 51min,
A+30)
1.สุดฤทธิ์ หนักมาก ๆ คือมันต้องเอามาสร้างเป็นหนัง fiction
ในอนาคตได้แน่นอน หนังสารคดีเรื่องนี้ตามถ่ายเกย์หนุ่มหุ่นล่ำ
เขาเป็น martial art fighter ที่เก่งมาก ๆ แต่เขาดันไปเกิดใน
Chechnya เขารอดชีวิตจากสงครามกลางเมืองมาได้
แต่การที่เขาเป็นเกย์ทำให้เขาถูกทำร้ายอย่างรุนแรงจากสังคมเชชเนีย
และพี่ชายของเขาก็ประกาศว่าจะฆ่าเขา เขาก็เลยลี้ภัยมาอยู่เบลเยียม
แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาเผชิญอะไรมาบ้าง เพราะกว่าจะมาถึงเบลเยียม
เขาก็เกิดอาการทางจิต ทำให้เขาพูดไม่ได้ แบบตัวละครใน PERSONA ของ Ingmar Bergman คือเส้นเสียงของเขาปกติดี
แต่เขาพูดไม่ได้ไปแล้ว
2.ส่วนนึงของหนังเรื่องนี้นำเสนอ therapist สาวที่พยายามช่วยให้เขาพูดให้ได้
เราเองก็พยายามลุ้นเอาใจช่วยตลอดเวลาให้เขาพูดให้ได้
เพราะการที่เขาพูดไม่ได้มันอาจจะทำให้เขาขอสถานะผู้ลี้ภัยได้ลำบาก
3.สิ่งที่หนักมาก ๆ ในหนังเรื่องนี้ คือการที่แม่ของเขาในเชชเนียยังคงโทรหาเขาบ่อยครั้งมาก
แล้วสิ่งที่แม่พูดแต่ละอย่างก็ทรมานใจ ร้าวรานมาก ๆ
จุดนึงที่หนักมาก ๆ คือแม่ของเขาเล่าว่า พอเขาไม่อยู่
ทางบ้านก็เลยขาดรายได้ พี่ชายของเขาเลยหางานให้แม่ โดยให้แม่ไปทำงานในสวนน้ำหรืออะไรทำนองนี้มั้ง
แม่ของเขาเลยได้ดูปลาโลมาในสวนน้ำเป็นประจำ แล้วแม่ของเขาเล่าว่า เธอรู้สึกว่า
ปลาโลมาในสวนน้ำแห่งนี้ “เสแสร้งทำเป็นว่าตัวเองมีความสุข”
4.เขาต้องอยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในเบลเยียมด้วย
เพราะในเบลเยียมมีชุมชนเชชเนียอยู่ แล้วคนพวกนี้ก็ต้องรู้จักเขาและพี่ชายของเขา
โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในวงการกีฬา และเขาอาจจะถูกฆ่าตายได้ ถ้าหากเขาเปิดเผยตัว
หรือถ้าหากเขาเผลอบอกแม่ไปว่าเขาอยู่ที่ไหน
5.หนังสารคดีเรื่องนี้ไม่ให้เราได้เห็นหน้าของเขาเลย
เราก็เลยรู้สึกว่า มันเหมาะจะนำมาดัดแปลงเป็นหนัง fiction ในอนาคตมาก ๆ
เพราะความเป็นหนังสารคดี มันเลยทำให้หนังเรื่องนี้ไม่สามารถถ่ายทอดอะไรหลาย ๆ
อย่าง แต่ถ้าหากมันเป็นหนัง fiction มันจะถ่ายทอดได้
แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้ทำได้อย่างถูกต้อง ก็คือว่า
พอหนังเรื่องนี้ถ่ายใบหน้าของเขาไม่ได้
หนังเรื่องนี้ก็เลยไปเน้นถ่ายมัดกล้ามหรือเรือนร่างของเขาแทน แล้วการที่เขาเป็น martial art fighter มันก็เลยทำให้จุดนี้ออกมาดูงดงามมาก
ๆ
6.หนุ่มเบลเยียมสองคนในหนังเรื่องนี้ก็น่ารักน่ากินน่าเสยหีใส่อย่างสุด
ๆ คนนึงเหมือนเป็นแฟนของ subject ชอบพา subject ไปท้องฟ้าจำลองด้วยกัน
ส่วนอีกคนเป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ที่คอยช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่เป็นเกย์
7.ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงนึกถึงหนังสารคดีเรื่อง EKLEIPSIS (1998, Tran T. Kim-Trang) ที่เราชอบสุดๆ ด้วย โดยหนังสารคดีเรื่องนี้สำรวจหญิงกัมพูชาจำนวนมากในสหรัฐที่
“ตาบอดเพราะอาการทางจิต” หรือ hysterical blindness เพราะหญิงกัมพูชาเหล่านี้มีดวงตาที่สมบูรณ์ดี
แต่กลับมองไม่เห็นอะไร ซึ่งหมอก็หาคำอธิบายไม่ได้
เหมือนหญิงกลุ่มนี้ตาบอดเพราะอาการทางจิต
ซึ่งหญิงทุกคนในกลุ่มนี้คือผู้ที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์เขมรแดง
ก่อนที่พวกเธอจะอพยพมาอยู่สหรัฐ มันก็เลยเกิดทฤษฎีว่า
หรือว่าผู้หญิงกลุ่มนี้เห็นเหตุการณ์เลวร้ายมามาก
และอาจจะรู้สึกผิดที่ตัวเองรอดชีวิตมาได้หรืออะไรทำนองนี้หรือเปล่า
ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็เลย “ตาบอดเพราะอาการทางจิต” ขึ้นมา
8.หนังเรื่องนี้เปิดฉายฟรีออนไลน์จนถึงเวลาตี 5 ของวันศุกร์ที่ 22 ต.ค.นะ
https://www.festivalscope.com/film/silent-voice/
No comments:
Post a Comment