Tuesday, November 19, 2019

SWIMMING ON THE HIGHWAY

SWIMMING ON THE HIGHWAY (1998, Wu Yao-tung, Taiwan, documentary, A+30)
+ GOODNIGHT & GOODBYE (2018, Wu Yao-tung, Taiwan, documentary, A+30)

1.จริงๆแล้วหนังในเทศกาล TAIWAN DOC ปีนี้เราชอบสุดๆแทบทุกเรื่องเลย และแต่ละเรื่องมันก็มีข้อดีแตกต่างกันไป แต่ถ้าหากถามว่าชอบเรื่องไหนมากที่สุด มันก็อาจจะเป็นหนังสารคดีสองภาคนี้ โดยเฉพาะภาคแรกที่มันถ่ายทอดมนุษย์ที่น่าสนใจมากๆคนนึงออกมา เขาเป็นเกย์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานทางใจ แต่เขาก็ไม่ทำให้เรารู้สึกอยากเข้าใกล้หรือเป็นเพื่อนกับเขาในชีวิตจริง เพราะนิสัยบางอย่างของเขา คือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า เขาเป็นเหมือน "สัตว์ประหลาดที่บาดเจ็บ และมีพิษ" น่ะ ความประหลาดของเขาทำให้เราอยากศึกษาเขา ความบาดเจ็บของเขาทำให้เราอยากเห็นเขามีความสุข แต่การที่เขา "มีพิษ" ก็ทำให้เราไม่อยากเข้าใกล้เขาโดยตรง หรือสัมผัสเขาด้วยมือของเราเอง และมันก็ต้องอาศัยผู้สร้างหนังสารคดีแบบนี้นี่แหละ ที่ "เสี่ยง" ทำหน้าที่นี้แทนเรา และก็ดูเหมือนผู้สร้างหนังสารคดีเรื่องนี้จะเป็นฝ่ายที่ได้รับพิษแทนเราไป

2.ความทุกข์ทรมานทางใจ และความเจ็บปวดกับชีวิตของ subject ในหนังเรื่องนี้ ทำให้เรานึกถึงชีวิตตัวเองมากๆ แต่นิสัยบางอย่างของเขา ทำให้เรานึกถึงเพื่อนเก่าบางคนมากๆเช่นกัน มันทำให้เรานึกถึงเพื่อนบางคนที่ในช่วงหลายปีแรก เรารู้สึกว่าเขาคือเพื่อนแท้ แต่หลังจากนั้นเราถึงได้เรียนรู้ว่า มนุษย์มัน "ซับซ้อน" มากกว่าที่คิด มันยากแท้หยั่งถึง มันมีหลายด้านในตัวเอง และเมื่อเราค้นพบบางด้านของเพื่อนเรา และพบว่ามันยากที่จะยอมรับได้ เราก็จำเป็นต้องทิ้งเพื่อนคนนั้นไปจากชีวิตเรา

เราว่าความซับซ้อนทางจิต หรือทางนิสัยใจคอของมนุษย์ที่มีทั้งด้านดี, ด้านไม่ดี และด้านที่น่าสงสารมากๆแบบนี้ เป็นเรื่องที่ยากจะถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ได้ แต่หนังเรื่องนี้ก็ทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะในภาคแรก หนังทำให้เรารู้สึกได้ถึงความทุกข์และความเจ็บปวดของ subject มากๆ และหนังก็ทำให้เรารู้สึกทั้งสงสารเขา อยากปลอบประโลมเขา และอยากผลักไสเขาออกห่างในเวลาเดียวกัน

3.เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึก guilty มากๆ เพราะเราว่า "ความทรงพลังอย่างรุนแรง" ของหนังสองภาคนี้ มันมาจาก unhealthy/awkward relationship between the filmmaker and the subject น่ะ คือถ้าหากความสัมพันธ์ระหว่างผู้สร้างหนังกับตัว subject ในหนังมันไหลลื่น ประสานกันสนิทแบบหนังสารคดีทั่วๆไป ที่ผู้สร้างหนังทำเหมือน observe ตัว subject อยู่ห่างๆ หนังเรื่องนี้ก็คงไม่ทรงพลังรุนแรงแบบนี้ แต่ในหนังสองภาคนี้นั้น ตัวผู้สร้างหนังกับตัว subject มีความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงกันมากๆ และมันก็เลยเกิด "พลังงานด้านลบอย่างรุนแรง" ขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันพิเศษมากๆ แต่ความพิเศษนี้มันก็ต้องแลกมาด้วยความทุกข์ทรมานของทั้งตัว subject และตัวผู้สร้างหนัง

เราก็เลยรู้สึก guilty กับหนังเรื่องนี้ เพราะการที่เราชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรงสุดๆ มันต้องแลกมาด้วยความทุกข์ทรมานทางใจและทางอารมณ์ของตัว subject และผู้สร้างหนัง

No comments: