Tuesday, August 11, 2020

TOKYO STORY

 TOKYO STORY (1953, Yasujiro Ozu, Japan, A+30)


1.เสียดายที่เรายังไม่เคยดู MAKE WAY FOR TOMORROW (1937, Leo McCarey) ที่เราเคยได้ยินว่าเป็นต้นแบบของ TOKYO STORY เราก็เลยบอกไม่ได้ว่า หนังสองเวอร์ชั่นนี้แตกต่างกันอย่างไร แต่เราเดาว่าน่าจะยอดเยี่ยมพอๆกัน

อยากดู TOKYO-GA (1985, Wim Wenders,documentary) ด้วย เพราะเข้าใจว่า   TOKYO-GA น่าจะได้รับแรงบันดาลใจมาจาก TOKYO STORY มากพอสมควร

2.ร้องห่มร้องไห้สะเทือนใจอย่างรุนแรงในฉากที่ย่าอยู่กับหลานชาย แล้วถามหลานชายว่า หนูโตขึ้นแล้วอยากเป็นหมอเหมือนพ่อไหมจ๊ะ แล้วย่าก็พูดในทำนองที่ว่า "กว่าหนูจะโตจนเลือกอาชีพเองได้ ตอนนั้นย่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้"

นึกถึงฉากนี้ทีไรก็อยากร้องไห้ เหมือนมันเป็นสัจธรรมของชีวิตที่ไม่มีใครหนีพ้น การมองดูเด็กเล็กๆ แล้วตระหนักดีว่ายังไงตัวเองก็คงต้องตายก่อนเด็กคนนั้นจะโต มันเป็นอะไรที่เศร้ามากๆ แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาโลกที่ต้องทำใจยอมรับ

ดูแล้วก็นึกถึงยายของเราเอง ซึ่งเสียชีวิตไปตอนที่เราอายุราว 18 ปี ตอนที่ยายของเราเห็นเราตอนเด็กๆ ยายจะคิดอย่างนี้อยู่ในใจหรือเปล่านะ

ส่วนเราทำใจมานานแล้วว่า ยังไงเราก็คงตายก่อนที่จะได้เห็นลูกหมีของเราโตแน่ๆ เพราะเราเลี้ยงลูกหมีมานานหลายปีแล้ว ตัวมันยังเท่าเดิมอยู่เลย 55555

3.ดูหนังจบ แล้วอยากเข้านอน แล้วตายไปเลย จะได้ไม่ต้อง "แก่" มากไปกว่านี้อีก ไม่รู้ทำไมดูหนังเรื่องนี้แล้วทำให้เรารู้สึกหวาดกลัวความแก่ชรามากๆ  อยากให้วัฏจักรชีวิตของเราไม่ใช่ "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" แต่เป็น "เกิด สวย มีผัว ตาย" อะไรแบบนี้แทนจะได้ไหม

4.ไม่รู้เราประสาทแดกไปเอง หรือเป็นเพราะฝีมือของ Ozu คือเรารู้สึกราวกับว่า ผิวหนังหรือสภาพร่างกายของตัวละครในหนังเรื่องนี้มันบอบบางกว่าของตัวละครในหนังทั่วๆไปน่ะ คือเรารู้สึกราวกับว่า เรา  sensitive กับสิ่งต่างๆที่มากระทบตัวละครในหนังเรื่องนี้มากกว่าในหนังปกติ อย่างเช่นในฉากที่ผัวเมียวัยชราไปเที่ยวน้ำพุร้อนหรืออะไรทำนองนี้ แล้วเจอกลุ่มหนุ่มสาวเสียงดัง เราก็รู้สึกเป็นห่วงเป็นใยตัวละครอย่างรุนแรงมาก และเราจะรู้สึกเหมือนเป็นห่วงเป็นใยตัวละครในหนังเรื่องนี้มากกว่าในหนังทั่วไป คือถ้าเปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนกับว่า ถ้าหากตัวละครในหนังเรื่องนี้ถูกยุงกัด เราก็จะรู้สึกเป็นทุกข์อย่างรุนแรง ราวกับว่าผิวหนังของพวกเขามันบอบบางกว่าปกติ ซึ่งมันจะแตกต่างจาก

4.1 หนังตลก ซึ่งเป็นหนังแนวที่เรารู้สึกว่าตัวละครคงกระพันที่สุด ผิวหนังหนาที่สุด อย่างเช่น ถ้าหากตัวละครในหนังตลกโดนระเบิด เขาก็อาจจะไม่ตาย อาจจะแค่ตัวเป็นสีดำชั่วครู่เท่านั้น

4.2 ตัวละครในหนัง action ซึ่งถ้าหากโดนระเบิด ก็มักจะตาย แต่ตัวละครในหนัง action คงไม่รู้สึกอะไรกับการโดนตบ โดนยุงกัด

4.3 ตัวละครในหนังดราม่า ซึ่งคงจะคันถ้าหากโดนยุงกัด แต่เราจะไม่รู้สึกเป็นห่วงพวกเขามากนัก

แต่กับตัวละครใน TOKYO STORY ไม่รู้ทำไมเราถึงรู้สึกเป็นห่วงพวกเขามากเป็นพิเศษ ไม่อยากให้พวกเขารู้สึกร้อน หรือเป็นทุกข์อะไรใดๆ บางทีเราอาจจะประสาทแดกไปเอง หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะหนังของ Ozu มันมีความละเอียดอ่อนมากๆ จนทำให้เรารู้สึกแบบนี้

No comments: