Saturday, September 11, 2021

THE EXISTENCE OF BABYLON

 

DIARY OF A PURSE FUCKER (2020, Theerapat Wongpaisarnkit, 11min, A+30)

 

1.แนวคิดของหนังมัน weird มาก ที่สร้างตัวละครชายหนุ่มแปลกประหลาดแบบนี้ขึ้นมา แล้วให้ตัวละครตัวนี้ไปอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมือง

 

2.รู้สึกว่าหนังของธีรภาสมีจุดเด่นที่ความ weird แบบนี้นี่แหละ และดูเป็นตัวของตัวเองดีด้วย ดูไม่ค่อยซ้ำแบบใครในวงการหนังไทย 5555 ทั้ง HUU (2015), JUNK FOOD FABLE (2020, 63min) และหนังเรื่องนี้ต่างก็มีความแปลกประหลาดในแบบที่น่าสนใจมาก ๆ

 

3.ถ้าไม่นับเรื่องสไตล์ของหนัง และประเด็นของหนัง แล้วแยกเอาเฉพาะตัวละครพระเอกโรคจิตออกมา เราว่าตัวละครตัวนี้ต้องปะทะกับตัวละคร “คนที่สำเร็จความใคร่ด้วยการดูคลิปธรรมะ” ใน INSURGENCY BY A TAPIR (2016, Ratchapoom Boonbunchachoke, Wachara Kanha, Chulayarnnon Siriphol, Chaloemkiat Saeyong) 55555

 

4.แต่ถ้าพูดถึงสถานการณ์ในหนัง หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึง CLOSELY WATCHED TRAINS (1966, Jirí Menzel, Czechoslovakia) โดยบังเอิญนะ เพราะ CLOSELY WATCHED TRAINS พูดถึงชายหนุ่มชาวเช็คที่มีปัญหาในการมีเซ็กส์ในช่วงที่เช็คถูกยึดครองโดยเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เหมือนสมรรถภาพทางเพศของเขาย่อหย่อนลงเมื่อเช็คถูกยึดครองโดยนาซีน่ะ เพราะฉะนั้น “สมรรถภาพทางเพศ” กับ “ความเป็นอิสระทางการเมือง” จึงถูกเชื่อมโยงกันในหนังเรื่องนี้ และมันก็เลยทำให้เรานึกถึง DIARY OF A PURSE FUCKER ด้วย

 

5.และหนังอีกเรื่องที่ทำให้เรานึกถึงโดยบังเอิญขณะที่ดู DIARY OF A PURSE FUCKER ก็คือ A RIPE VOLCANO (2011, Taiki Sakpisit) 55555 เพราะว่า A RIPE VOLCANO ก็ดูเหมือนจะสะท้อนสถานการณ์ทางการเมืองในไทยที่คุกรุ่น อัดอั้นไปด้วยความไม่พอใจของผู้คนเหมือนกัน และพอ A RIPE VOLCANO นำความอัดอั้นทางการเมืองของผู้คนไปเปรียบเข้ากับ “ภูเขาไฟ” เราก็จินตนาการภาพในหัวขึ้นมาเองว่า การทะลักของลาวาจากปากปล่องภูเขาไฟ มันก็คล้าย ๆ กับการหลั่งน้ำกามของผู้ชายเหมือน ๆ กัน 5555  คือเหมือนสถานการณ์ทางการเมืองในหนังสองเรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกันในแง่นึงน่ะ และสถานการณ์ดังกล่าวก็ถูกนำไปเชื่อมโยงกับบางสิ่งที่คล้าย ๆ กันด้วย นั่นก็คือการทะลักทะลายของลาวาจากปากปล่องภูเขาไฟ และการหลั่งน้ำกามของชายหนุ่ม 55555

 

24 (2021, Weerapat Sakolvaree, 8min, A+25)

 

เป็นหนังที่ตั้งตัวไม่ทันจริง ๆ 55555 ตอนแรกนึกว่าหนังยังไม่ได้เริ่มเล่า conflict อะไร ปรากฏว่าหนังจบไปแล้ว เป็นหนังที่เหมาะกับการดูมากกว่า 1 รอบมาก ๆ

 

THE WHITE CHAIR CINEMA (2020, Nottapon Boonprakob, documentary, A+20)

 

เดาว่าในอนาคตถ้าหากมีการรวบรวมคลิปเหตุการณ์ย่อย ๆ เหล่านี้ที่ถ่ายโดย Nottapon มารวมเป็น compilation ในหนังเรื่องเดียวกัน เราอาจจะได้หนังที่ทรงพลังมาก ๆ เรื่องนึง และเหมาะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้เด็ก ๆ รุ่นหลังได้เรียนรู้ความเป็นอยู่ของคนไทยในยุคนี้มาก ๆ คือถ้า Harun Farocki ทำหนังเรื่อง HOW TO LIVE IN THE GERMAN FEDERAL REPUBLIC (1990) ด้วยการรวบรวมคลิปเหตุการณ์ย่อย ๆ มารวมกันเข้าเป็นหนังเพื่อเสียดสีนิสัยของคนเยอรมัน และ Huang Weikai รวบรวมคลิปเหตุการณ์เหี้ย ๆ เพื่อสะท้อนความบ้าบอคอแตกของประเทศจีนใน DISORDER (2009) เราว่าคลิปเหตุการณ์ย่อย  ๆ ในหนังหลาย ๆ เรื่องของ Nottapon ก็น่าจะรวมกันได้เป็นหนังเรื่อง HOW TO SURVIVE IN THAILAND, THE LAND OF VERTICAL SMILE ได้เช่นกัน

 

FACES OF THE FLOWERS (2020, Nottapon Boonprakob, documentary, A+30)

 

ดูแล้วแอบนึกถึง SAWANKHALAI (2017, Abhichon Rattanabhayon) ในแง่การถ่าย subjects ด้วยสายตาที่เป็นกลาง ไม่ต้องชี้นำอะไร และปล่อยให้คนดูคิดเอง รู้สึกเอง ซึ่งในกรณีของหนังทั้งสองเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ

 

THE EXISTENCE OF BABYLON (2021, Jaruphon Charoenpichet, 20min, A+30)

ขตฺติยนคร

 

1.นึกว่าต้องปะทะกับ Jonas Mekas 55555 ในแง่ของการนำ home video/home movies มาใช้อย่างหนักมือมาก, ไม่แคร์ลำดับเวลา และไม่รู้ว่าต้องการสื่ออะไร (สำหรับคนดูอย่างเรา) 

 

2.เอาจริง ๆ แล้วเราก็แทบไม่มีอารมณ์ร่วมกับหนังเรื่องนี้นะ เพราะพอดูหนังเรื่องนี้แล้วเราก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราแทบไม่เคยมี moments แบบนี้กับครอบครัวตัวเองน่ะ เหมือนเราไม่คุยกับใครในครอบครัวโดยไม่จำเป็นตั้งแต่เด็ก ๆ เราคุยแต่กับตุ๊กตาเป็นส่วนใหญ่ เวลาอยู่บ้าน 55555

 

แต่เราก็ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุด ๆ นะ เพราะมันตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของเราว่า ครอบครัวคนอื่น ๆ เขาเป็นยังไงกัน

 

และจริงๆ แล้วเราว่า ผู้สร้างหนังก็อาจจะไม่ได้ต้องการให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมก็ได้มั้ง เหมือนหนังต้องการให้เราได้ดูเศษเสี้ยวชีวิตของคนคนนึง โดยมีระยะห่างมากพอสมควร และไม่พยายามบอกให้เรารู้สึกอะไรกับสิ่งที่เห็น ซึ่งก็ถือเป็นสิ่งที่ดีในแง่นึง

 

3.พอดูหนังทั้งโปรแกรมแล้ว ก็ชอบโปรแกรมนี้มาก ๆ เพราะตอนแรกพอบอกว่า เป็นหนัง “การเมือง” เราก็จะนึกว่า มันต้องเป็นหนังด่าเผด็จการอย่างตรงไปตรงมาน่ะ (ซึ่งเราก็ชอบหนังกลุ่มนี้อย่างสุด ๆ เช่นกัน) แต่ปรากฏว่าทั้งหนังเรื่องนี้, 24 และ DIARY OF A PURSE FUCKER มันแสดงให้เห็นว่า เราสามารถเอาสถานการณ์ทางการเมืองมาใช้ในแบบอื่น ๆ ได้ด้วย

No comments: