Tuesday, August 02, 2022

WORSHIP (2022, Uruphong Raksasad, documentary, A+30)

 

WORSHIP (2022, Uruphong Raksasad, documentary, A+30)

บูชา

 

1.เป็นหนังที่เราประทับใจ cinematography มากกว่าเนื้อหา 555555 คือรู้สึกว่าการถ่ายภาพในหนังเรื่องนี้มันทรงพลัง cinematic ตะลึงลานมาก ๆ เหมือนถ้าหากมีใครจะให้ยกตัวอย่างหนังไทยที่เรารู้สึกว่าถ่ายภาพสวยและทรงพลัง เราก็อาจจะยกตัวอย่างหนังเรื่องนี้

 

2.สาเหตุที่เรารู้สึกแบบนี้เป็นเพราะว่า เนื้อหาของ WORSHIP มีทั้งส่วนที่เราสนใจมาก, ส่วนที่เราสนใจปานกลาง และส่วนที่เรารู้ ๆ มาบ้างแล้วน่ะ ซึ่งส่วนที่เรารู้ ๆ มาบ้างแล้วก็คือพวกฉากเทศกาลกินเจ หรือการออกฤทธิ์ออกเดชตอนสวดภาณยักษ์ อะไรทำนองนี้ เพราะเรื่องราวในส่วนนั้นเป็นส่วนที่เราเคยเห็นจากหนังไทยเรื่องอื่น ๆ มาบ้างแล้ว อย่างเช่นจากภาพยนตร์เรื่อง “ม้าทรง” (2016, Abhichon Rattanabhayon, Watcharee Rattanakree, documentary, 22min) และ TELECHANTE (1992, Kasemson Brahmasuha, Chavalit Sattamsakul, Yonghong Sae-Tiew, Phaisit Phanphruksachat, 10min)

 

แต่ถึงแม้หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ให้ “ข้อมูลใหม่” แก่เราในเนื้อหาส่วนนี้ เพราะเรารู้อยู่บ้างแล้วว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นในงานพิธีเหล่านี้ หนังเรื่องนี้ก็ทำให้เราว้าวไปกับงานด้านภาพได้ในส่วนนี้น่ะ โดยเฉพาะในส่วนของเทศกาลกินเจที่ถ่ายภาพออกมาได้ทรงพลังสุดตีนมาก ๆ และยิ่งมานึกว่าเนื้อหาส่วนนี้เป็นสารคดี ไม่ได้จัดฉากจัดแสงจัดจังหวะอะไรมาก่อนล่วงหน้า เราก็ยิ่งรู้สึกว้าวมากยิ่งขึ้น

 

3.คือตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ เราจะนึกถึงหนังอีกเรื่องควบคู่กันไปตลอดเวลาน่ะ ซึ่งก็คือภาพยนตร์เรื่อง “ทวาทศมาส” (2013, Punlop Horharin, documentary, 222min) ที่เป็นการสำรวจพิธีกรรมความเชื่อของกลุ่มคนต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย

 

แล้วพอนึกเปรียบเทียบกันแล้ว เราก็จะรู้สึกได้เลยว่า จุดเด่นของ “ทวาทศมาส” คือ “เนื้อหา” น่ะ เพราะมันอัดแน่นไปด้วยข้อมูลที่น่าสนใจมากมายเกี่ยวกับพิธีกรรมต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ในขณะที่ “บูชา” นั้น น่าจะแพ้ “ทวาทศมาส” ในด้าน “ข้อมูล” หรือ “เนื้อหา” แต่จุดเด่นของบูชาที่เห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับทวาทศมาส ก็คือพลังความ cinematic พลังการถ่ายภาพนี่แหละ เราก็เลยบอกได้ง่าย ๆ เลยว่า เรากรี๊ดกับการถ่ายภาพในบูชามาก ๆ แต่เราสนใจเนื้อหาในหนังอย่าง “ทวาทศมาส” มากกว่า

 

4.แต่บูชาก็มีเนื้อหาในส่วนที่เราสนใจมาก ๆ เช่นกันนะ นั่นก็คือเรื่อง “นาคโหด” ที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วหนังก็ไม่บอกด้วยนะว่าถ่ายที่จังหวัดอะไร ไม่บอกด้วยว่ามันเรียกว่า “นาคโหด” 555555 คือเราเพิ่งรู้ว่ามันเรียกว่านาคโหดก็เมื่อเพื่อนเราเขียนถึงหนังเรื่องนี้นี่แหละ

 

5.ส่วนเนื้อหาของหนังเรื่องนี้ที่เราสนใจปานกลาง ก็คือการเก็บฟุตเตจของ “พุทธพาณิชย์” ในรูปแบบต่าง ๆ คือเหมือนเราไม่คิดจะข้องเกี่ยวกับอะไรพวกนี้ในชีวิตจริงอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมีคนไปเก็บฟุตเตจพระ, ญาติโยม ที่สัมพันธ์กันด้วยเงินและความอยากร่ำรวยเหล่านี้มาให้เราดูแบบในหนังเรื่องนี้ เราก็ดูได้ด้วยความรู้สึกขำขัน, ทึ่ง และมองว่ามันก็น่าสนใจดีเหมือนกัน

 

6.ส่วนเนื้อหาส่วนอื่น ๆ เราก็ดูได้อย่างเพลิดเพลิน ทั้งเรื่องของเขาคิชฌกูฏ และการถ่ายคนที่เต้นรำรื่นเริงกันในขบวนแห่นาค คือพอหนังมันถ่ายสวยมาก ๆ เราก็ดูได้อย่างเพลิดเพลินน่ะ

 

7.ดูแล้วนึกถึงหนังสารคดีอย่าง OUR DAILY BREAD (2005, Nikolaus Geyrhalter, Germany/Austria) และ IN COMPARISON (2009, Harun Farocki) ด้วยนะ เพราะหนังสารคดีสองเรื่องนี้ก็เป็นการเรียงร้อยซีนต่าง ๆ จากหลาย ๆ แหล่ง หลาย ๆ สถานที่ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นของหนังเข้ามาไว้ด้วยกัน โดยแทบไม่มีการสัมภาษณ์ subjects อะไรใด ๆ เลย แต่หนังก็ทำออกมาได้อย่างทรงพลังสุดขีดทั้งสองเรื่อง เหมือนหนังเหล่านี้มันต้องอาศัยการ research ข้อมูลที่ดีมาก ๆ จากหลาย ๆ สถานที่, สายตาที่เฉียบคมมาก ๆ ในการถ่ายภาพออกมาให้ได้อย่างทรงพลัง และการเรียงร้อยตัดต่อซีนเข้าด้วยกันให้หนังออกมาดูลื่นไหล กราบหนังทั้งสามเรื่องนี้มาก ๆ

 

8.ในส่วนของพุทธพาณิชย์ในหนังเรื่องนี้นั้น ดูแล้วเราก็นึกถึงประเด็นส่วนตัวบางอย่างที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับหนังโดยตรงนะ แต่เราขอจดบันทึกความทรงจำของเราไว้ด้วยแล้วกัน

 

8.1 คือเราเป็นคนเชื่อเรื่องไสยาศาสตร์ เชื่อเรื่องแม่มด ผีสาง และเป็นคนที่ซื้อล็อตเตอรี่เป็นครั้งคราว แต่ทำไมเราไม่อินกับพุทธพาณิชย์แบบในหนังเรื่องนี้ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่พอดูหนังเรื่องนี้เราก็เลยสงสัยว่า หรือที่กูจนอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพราะเราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้นะ ถ้าหากเราหันไปเชื่อเรื่องพวกนี้แบบชาวบ้านคนอื่น ๆ บ้าง บางทีเราอาจจะถูกหวยกับเขาไปบ้างแล้วก็ได้ 55555

 

8.2 หรือบางทีเส้นทางที่จะทำให้คนในประเทศนี้ร่ำรวยขึ้นมาได้ อาจจะไม่ใช่การหันไปเชื่ออะไรพวกนี้ แต่อาจจะเป็นการตั้งตัวเป็นผู้วิเศษเสียเอง 555555

 

คือพอดูคนจำนวนมากมาบูชานับถืออะไรต่าง ๆ แบบในหนังเรื่องนี้ เราก็เลยนึกถึงประสบการณ์ตอนที่เราแต่งเรื่องแต่งราวขึ้นมาสด ๆ ฮา ๆ เรื่อง “ความศักดิ์สิทธิ์ของรูปปั้นคุณหญิงกีรติ” น่ะ คือตอนนั้นเราคิดเองเออเองว่าทุกคนที่อ่านสิ่งที่เราเขียนน่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันเป็นเรื่องตลก ฮา ๆ ไม่ใช่เรื่องจริง แต่พอเราโพสไป ปรากฏว่ามีคนมากดไลค์กดแชร์จำนวนมาก ราวกับว่ามีบางคนเชื่อหรืออยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เราเขียนไปเป็นเรื่องจริง

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10215333181266135&set=a.10206445257193588

 

ประสบการณ์ในครั้งนั้นก็เลยสอนเราว่า บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปก็ได้นะ ในการแต่งตำนานอะไรบางอย่างขึ้นมาสด ๆ ในการไปกำหนดให้ “วัตถุ” บางอย่างกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์เร้นลับพิสูจน์ไม่ได้อะไรขึ้นมา แล้วพอเราแต่งตำนาน แต่งเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมาแล้ว เราก็แพร่มันออกไป แต่งข่าวลือฮือฮาอะไรต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วบางทีคนจำนวนมากอาจจะเชื่อมันก็ได้ แล้วก็หันมาบูชากราบไหว้วัตถุนั้นว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กราบไหว้บุคคลนั้นว่าเป็น “ผู้วิเศษ”  ดูอย่างตำนานเทพเจ้าตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกสิ บางทีตำนานเทพเจ้าบางอัน อาจจะมีที่มาจากคนบางคนที่ทำแบบเรา แต่งเรื่องขึ้นมาสด ๆ เรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วคนก็เอาไปลือกัน ไปเชื่อกัน กำหนดว่าเทพเจ้าองค์นี้มีประวัติความเป็นมาแบบนี้ มีรูปกายแบบนี้ ต้องบูชาในเพลานี้ ต้องบูชาด้วยสิ่งเหล่านี้ แล้วเทพเจ้าองค์นี้จะให้คุณแบบนี้ คือเราเชื่อว่าเทพเจ้าบางองค์ก็อาจจะมีจริง, บางองค์ก็อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เคยมาเยือนโลกในอดีต และบางองค์ก็อาจจะเกิดจากการที่ใครสักคนแต่งเรื่องขึ้นมาสด ๆ แบบเรานี่แหละ

 

คือพอดูหนังเรื่อง “บูชา” เราก็เลยคิดขึ้นมาฮา ๆ ว่า บางทีในประเทศที่ไม่มีสวัสดิการสังคมและไม่มีโครงสร้างทางสังคมที่จะคอยช่วยเหลือคนจนแบบนี้ หนทางที่จะช่วยให้เราถีบตัวเองออกจากความยากจนได้ อาจจะไม่ใช่การหันไปนับถือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ที่คนเขาลือกันว่าใบ้หวยได้เก่ง แต่เป็นการตั้งตนขึ้นมาเป็นผู้วิเศษเสียเอง หรืออุปโลกน์วัตถุอะไรสักอย่างให้กลายเป็นของวิเศษขึ้นมาเอง แล้วแต่งเรื่องแต่งราวให้เนียน ๆ เพื่อให้คนมานับถือบูชาแล้วเอาเงินมาประเคนให้เรา  5555

 

ยกตัวอย่างเช่น วันนึงเราอาจจะเอาวัตถุอะไรสักอย่างมาโชว์ สมมุติว่าเป็น “คันทวย” เก่า ๆ แล้วเราก็เล่าเรื่องว่า เนี่ย มีคนมาเข้าฝัน บอกให้ไปขุดตรงนู้นตรงนี้ ขุดแล้วก็เจอคันทวยโบราณนี้ฝังดินอยู่ คันทวยนี้มีเจ้าแม่จากสมัยทวาราวดีหรือยุคก่อนหน้านั้นสิงสู่อยู่ด้วยนะ แล้วเราก็แต่งเรื่องแต่งราวแต่งประวัติเจ้าแม่ไปเรื่อย ๆ แต่งเรื่องว่าเจ้าแม่คันทวยนี้มีศัตรูคนสำคัญคือเจ้าแม่ลมหวน แล้วก็เล่าอภินิหารอะไรไปเรื่อย ๆ กำหนดกฎเกณฑ์ในการบูชาวัตถุนี้ แล้วก็เปิดให้คนมากราบไหว้บูชาวัตถุนี้ พร้อมกับตั้งสำนัก “เจ้าแม่คันทวย กระบวยตักเหียก” อะไรทำนองนี้ขึ้นมา 55555 คืออันนี้คิดขึ้นมาเล่น ๆ ฮา ๆ นะ คือเราคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอันก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ นั่นแหละ และเราจะไม่กล้าไปลบหลู่สิ่งนั้นเป็นอันขาด แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์บางอันอาจจะมีต้นกำเนิดขึ้นมาจากการแต่งเรื่องอะไรแบบนี้ก็ได้

No comments: