Wednesday, August 31, 2022

VOICES OF THE NEW GEN

 

พอดีมีเพื่อนคนนึงถามว่า ช่วงปี 1989 มีละครญี่ปุ่นเข้ามาฉายทางโทรทัศน์ในไทยเยอะหรือเปล่า เราก็เลยตอบไปตามนี้ และก็เลยถือโอกาสเอามาแปะในนี้ด้วยแล้วกัน

 

“น่าจะไม่เยอะนะ 555 เหมือนช่วงปลายทศวรรษ 1980 เราก็จำได้ว่าได้ดูละครญี่ปุ่นหลัก ๆ แค่ 2 เรื่องมั้ง ซึ่งก็คือ “สิงห์สาวนักสืบ” ทั้ง 3 ภาค และละครชีวิตตำรวจสาวที่นำแสดงโดย Maiko Ito ที่ฉายทางช่อง 5 ช่วงบ่าย ๆ วันเสาร์

 

ถ้าจำไม่ผิด ช่วงต้นทศวรรษ 1980 ละครญี่ปุ่นเข้ามาฉายในไทยเยอะกว่านั้นมาก ทั้ง

 

1.ละครแนวกีฬาที่ผลิตในทศวรรษ 1970 แต่เข้ามาฉายในไทยในทศวรรษ 1980 ทั้งยอดหญิงชิงโอลิมปิก, เงือกสาวจ้าวสระ, เกือกแดงแรงฤทธิ์

 

2.ละครดราม่าโรแมนติกที่นำแสดงโดย Momoe Yamaguchi กับ Tomakazu Miura

 

3.ละครเรื่องอื่น ๆ อย่างเช่น “เจ้าสาววัย 16” ที่นางเอกวัย 16 ปีแต่งงานอยู่กินกับครูหนุ่มที่สอนในโรงเรียนของเธอเอง

 

4.ละครดี ๆ ที่มาฉายทางช่อง 5 ตอนกลางคืน ราว ๆ กลางทศวรรษ 1980 ทั้งเรื่องชีวิตแอร์โฮสเตส, WHO WILL WEAR A WEDDING DRESS? ที่เป็นชีวิตดีไซเนอร์, เรื่องของสถานดัดสันดานหญิง, เรื่องของวัยรุ่นที่พยายามจะก่อตั้งวงดนตรีขึ้นมา เสียดายที่เราจำชื่อละครเหล่านี้ไม่ได้แล้ว

 

แล้วพอเข้าช่วงทศวรรษ 1990 ละครญี่ปุ่นก็เข้ามาฉายในไทยเยอะขึ้น ทั้งละครช่อง 3 อย่าง TOKYO LOVE STORY, สวรรค์ลำเอียง, ละครช่อง 5 อย่าง 101 ตื๊อรักนายกระจอก, ละครช่อง 7 ที่นำแสดงโดย Miho Nakayama ที่ฉายช่วงบ่าย ๆ วันธรรมดา และละครช่อง 9 อย่างเช่น บาปกตัญญู

 

แล้วพอเข้าช่วงปลายทศวรรษ 1990 ITV ก็ทำให้ละครญี่ปุ่นบูมอย่างรุนแรง

 

สรุปว่าช่วงปลายทศวรรษ 1980 นี่เหมือนละครญี่ปุ่นที่ฉายในไทยน่าจะน้อยกว่ายุคอื่น ๆ นะ 55555

 

VOICES OF THE NEW GEN

 

1.AFTER A LONG WALK, HE STANDS STILL (2020, กันตาภัทร พุทธสุวรรณ, second viewing, A+30)

 

--ช่วงที่ทหารหนุ่มน้อยผู้น่ารักโดนลงโทษนี่แอบนึกถึง SALO, OR THE 120 DAYS OF SODOM (1975, Pier Paolo Pasolini) คือมันไม่ได้โหดร้ายแบบ SALO หรอกนะ แต่มันสะท้อนความดำมืดของจิตใจมนุษย์บางอย่างที่จะปรากฏออกมาเมื่อบุคคลผู้นั้นเข้ามามีอำนาจภายใต้ระบอบแบบฟาสต์ซิสต์ และสามารถใช้อำนาจนั้นในการลงโทษผู้อื่นตามใจชอบอย่างไม่เป็นธรรมได้ (คล้าย ๆ กับที่ทหารสหรัฐทำกับนักโทษใน Guantanamo แบบในหนังเรื่อง THE MAURITANIAN) คือการปล่อยให้มีระบอบอำนาจแบบนี้เกิดขึ้น มันก็จะเกิดความเลวร้ายแบบนี้ตามมา และระดับความชั่วร้ายรุนแรงที่เกิดขึ้นก็จะขึ้นอยู่กับสถานะของทั้งสองฝ่ายในระบอบนั้น ซึ่งในหนังไทยเรื่องนี้ สถานะของผู้ลงโทษกับผู้ถูกลงโทษไม่ได้ห่างจากกันมากนัก การลงโทษก็เลยอาจจะไม่ได้รุนแรงมากนัก ส่วนใน THE MAURITANIAN นั้น ผู้ถูกลงโทษมีสถานะเป็นนักโทษ การทรมานก็เลยรุนแรงยิ่งขึ้น และถ้าหากเราปล่อยให้ระบอบแบบนี้ดำรงอยู่ต่อไป หรือปล่อยให้ใครมีอำนาจสูงเยี่ยมเทียมฟ้ามากเท่าไหร่ภายในระบอบแบบนี้ มันก็จะนำไปสู่  SALO, OR THE 120 DAYS OF SODOM ในที่สุด

 

--พัฒนาการของตัวละครพระเอกก็ทำให้นึกถึง THE PARTY AND THE GUESTS (1966, Jan Nemec, Czechoslovakia) ด้วย เรื่องของคนที่ค่อย ๆ สมยอม, กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด และกลายเป็นแข้งขาของระบอบเผด็จการไปในที่สุด

 

ก็เลยรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันน่าสนใจดี ตรงที่มันเลือกที่จะเล่าเรื่องผ่านทางตัวละครที่เลือกที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบอบเผด็จการแบบนี้ แทนที่จะเล่าเรื่องผ่านทางตัวละครที่ต่อต้านระบอบ

 

2.THE REPRODUCTION OF A CATASTROPHIC REMINISCENCE (2020, Kulapat Aimmanoj, second viewing, A+30)

 

--พอดูรอบสองก็ชอบมากขึ้น เพราะถึงแม้เวลาจะผ่านมานานหนึ่งปีหลังจากดูรอบแรกแล้ว ประเด็น dilemma ในหนังก็ยังคงไม่ล้าสมัยเลย ดูแล้วแอบนึกถึงการที่ฝ่าย liberal ชอบถกเถียงด่าทอตบตีกันเองอย่างรุนแรงเป็นระยะ ๆ ด้วย 55555 ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วหลาย ๆ คน หลาย ๆ ฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนเองที่น่ารับฟังกันทั้งนั้น

 

เคยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ไว้แล้วที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10227346496551509&set=a.10225784745948720

 

3.FATHERLAND (2020, Panya Zhu, second viewing, A+30)

 

ยังคงสะเทือนใจกับ “น้ำเสียง” ของพระเอกตอนแจกใบปลิวมาก ๆ

 

เคยเขียนถึงหนังไว้แล้วที่นี่
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10225002217986010&set=a.10224961569689828

 

4.BANGKOK TRADITION (2021, ฐามุยา ทัศนานุกูลกิจ, second viewing A+30)

 

เคยเขียนถึง BANGKOK TRADITION ไว้แล้วที่นี่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10226433324962790&set=a.10225784745948720

 

ความเห็นเพิ่มเติมในการดูรอบสอง

 

4.1 ดูแล้วนึกว่าต้องไหว้จอ ทำไมหนังเรื่องนี้ถึงออกแบบตัวละครหญิงได้ตรงใจเราสุดขีดขนาดนี้ คือพอตัวละครหญิงมันตรงใจเราอย่างสุด ๆ แบบนี้ เราก็เลยรู้สึกอยากร้องกรี๊ด ๆ  ๆ ๆ ออกมาเลยน่ะ โดยเฉพาะฉากที่สามสาวออฟฟิศแผนกเอกสารคุยกันช่วงต้นเรื่อง ทำไมดูแล้วรู้สึกว่าการที่ตัวละครคุยกันมันถึง electrifying อย่างรุนแรงสุดขีดขนาดนี้คะ คือดูแล้วรู้สึกราวกับว่า การโต้ตอบกันของสามสาวออฟฟิศในแต่ละประโยคมันทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนช็อตด้วยไฟฟ้า คือมันเปรี้ยงมาก ๆ

 

เราคิดว่าปัจจัยที่ทำให้เราชอบฉากสามสาวออฟฟิศคุยกันอย่างรุนแรงขนาดนี้เป็นเพราะว่า

 

4.1.1 ตัวละครทั้งสามตัว ทั้งดารารัตน์, Sirai และยุ ไม่มีใครยอมใครเลยน่ะ คือทั้งสามกล้าด่าทอปะทะคารมกันอย่างหยาบ ๆ คาย ๆ ไม่มีใครกลัวใคร ไม่มีใครยอมลดราวาศอกให้ใคร

 

4.1.2 ทั้งสามมีความกร้าน ดิบ หยาบอะไรบางอย่างที่เข้าทางเราอย่างรุนแรงที่สุด

 

4.1.3 ตัดสินไม่ได้ว่าใครแรงกว่ากัน เพราะทุกคนต่างก็มีความแรงในแบบของตัวเอง Sirai อาจจะดูพูดจาโผงผาง เสียงดัง แต่ดารารัตน์ก็กล้าถ่มน้ำลายใส่รองเท้าเจ้านาย ส่วนยุนี่อาจจะดูนิ่งกว่าอีกสองคน แต่จริง ๆ แล้วเธออาจจะเป็นคนแบบน้ำนิ่งไหลลึก คือเหมือนยุรู้ว่าจริง ๆ แล้วตัวเองต้องการอะไร และทำอย่างไรถึงจะได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่ต้องหาเหาใส่หัว แกว่งเท้าหาเสี้ยน หรือทำให้ตัวเองลำบากโดยใช่เหตุ 55555

 

4.2 อินสุด ๆ กับ “ความหวั่นไหวทางใจของพนักงานบริษัทเอกชนที่อาจจะโดนปลดออกจากงานได้ทุกเมื่อ”

 

4.3 นอกจากฉากสามสาวออฟฟิศคุยกันแล้ว อีกฉากที่เราขอยกให้เป็น one of my most favorite scenes of all time ก็คือฉากที่ดารารัตน์ถูกเจ้านายสั่งให้ซ่อมพิมพ์ดีดกับขัดรองเท้านี่แหละ

 

ชอบฉากนี้อย่างสุดขีดตรงที่

 

4.3.1 ชอบวิธีการพูดของตัวเจ้านายมาก ๆ ที่ไม่ได้ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงแบบนางอิจฉา แต่เป็นการออกคำสั่งในทางอ้อม ผ่านทางประโยคคำถามในบางครั้ง ดูเหมือน soft แต่จริง ๆ แล้วเหี้ยมาก

 

4.3.2 ชอบน้ำเสียงและการพูดว่า “ไม่” ของนางเอกในฉากนี้มาก ๆ คือเจ้านายถามว่านางเอกซ่อมพิมพ์ดีดเป็นมั้ย นางเอกก็ตอบว่า ไม่เป็นค่ะ ด้วยน้ำเสียงกึ่งแข็งกระด้าง และพอเจ้านายพยายามจะให้นางเอกขัดรองเท้าผ่านทางการถามคำถามบางคำถาม นางเอกก็ตอบว่า “ไม่” เช่นเดียวกัน

 

คือเราว่า “น้ำเสียง” ของการพูดว่า “ไม่” ต่าง ๆ ของนางเอกในฉากนี้นี่มันตรงใจเราอย่างที่สุดของที่สุดเลยน่ะ คือมันไม่ใช่การพูดว่า “ไม่” ที่แข็งเกินไป หรืออ่อนเกินไป เพราะนางเอกจะใช้น้ำเสียงแข็งกระด้างรุนแรงกว่านี้ก็ไม่ได้ เพราะเขาเป็นเจ้านายของเธอ และเธอกลัวตกงาน แต่เธอก็ “ไม่พอใจ” สิ่งที่เจ้านายทำอย่างรุนแรง น้ำเสียงของเธอในฉากนี้เลยมีทั้ง “ความไม่พอใจ”, “ความเกลียดชังเจ้านาย”, “ความรำคาญ” แต่มันถูกสกัดกั้นไว้ด้วยความเจียมตนว่าตนเองเป็นลูกน้องและความกลัวตกงานอยู่ด้วย คือมันไม่ใช่การพูดว่า “ไม่” ด้วยอารมณ์เดียวอย่างโดด ๆ แต่เป็นการตอบคำถามเจ้านายด้วยอารมณ์หลากหลายอย่างผสมผสานกันและขัดแย้งกันในเวลาเดียวกัน คือเกลียดเจ้านายก็เกลียด แต่จะให้ใช้น้ำเสียงแข็งกว่านี้ก็ไม่ได้ เพราะกลัวตกงาน เธอเลยทำได้แค่ตอบว่า  ไม่ อย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่ไม่สามารถใช้น้ำเสียงที่แรงเกินไปกว่านี้ได้ และเธอก็เหมือนรู้ตัวอยู่กลาย ๆ ว่า ต่อให้เธอตอบว่า ไม่ ไม่ ไม่ สักกี่ครั้งก็ตาม เจ้านายก็จะบังคับให้เธอทำในสิ่งที่เธอไม่ต้องการอยู่ดี

 

4.3.3 การที่เธอถ่มน้ำลายใส่รองเท้าเจ้านายก็ทำให้ฉากนี้กลายเป็นหนึ่งในฉากคลาสสิคของหนังไทยสำหรับเราไปเลย

 

4.4 พอมาดูรอบสองถึงเพิ่งสังเกตว่า หนังชอบถ่ายตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เห็นท้องฟ้าเป็น vanilla sky ทั้งฉากที่นางเอกไปสัมภาษณ์อดีตสาวคาเฟ่ที่อพาร์ทเมนท์ เราก็จะเห็นท้องฟ้ายามสายัณห์เป็นฉากหลัง และฉากที่นางเอกร้องห่มร้องไห้หลังจากไปเสนอข่าวแล้วเหมือนไม่ประสบความสำเร็จ เธอเดินออกมาแถวลานจอดรถ ฉากนั้นเราก็เห็นท้องฟ้ายามสนธยาชัดมาก ๆ และสวยมาก ๆ ซึ่งเราว่ามันก็เข้ากับหนังเป็นอย่างมาก เพราะชีวิตของตัวละครในหนังเรื่องนี้หรือชีวิตของพวกเราในดินแดนแห่งนี้ก็เหมือนอยู่ในแดนสนธยา อยู่ในดินแดนแห่งแสงริบหรี่โพล้เพล้นี่แหละ

 

4.5 สรุปว่าพอมาดูรอบสองแล้วก็ขอยกให้ฉากนางเอกปะทะกับเจ้านายตอนซ่อมพิมพ์ดีดนี่ถือเป็น one of my most favorite scenes of all time ไปเลย และขอยกให้สามสาวออฟฟิศในหนังเรื่องนี้นื่ถือเป็นกลุ่มตัวละครที่ชอบที่สุดในภาพยนตร์ไทยไปด้วยเลย

 

คือพอมาดูรอบสองแล้วก็เลยพบว่า ถึงแม้เราจะชอบประเด็นการเมืองและเรื่องการสะท้อนยุคสมัยของความกลัวโรคเอดส์ในหนังมาก ๆ แต่สิ่งที่เราชอบที่สุดในหนังก็คือการออกแบบตัวละครหญิงที่ตรงใจเรามากที่สุด และการสะท้อนชีวิตสาวออฟฟิศนี่แหละ ทั้งความไม่มั่นคงของการทำงานในบริษัทเอกชน, วิธีการใช้อำนาจระหว่างเจ้านายกับลูกน้องในออฟฟิศ และการพูดคุยกันแบบถึงใจของสาวออฟฟิศ คือเหมือนถ้าเป็นฉากที่สามสาวออฟฟิศนี้คุยกันเมื่อไหร่ ระดับความชอบของเราจะพุ่งปรี๊ด รู้สึกเหมือนมีสายฟ้ามาฟาดเปรี้ยง ๆ ที่ตัวเรา แต่พอเป็นฉากคาเฟ่หรืออะไรต่าง ๆ ที่ไม่ใช่สามสาวคุยกัน ระดับความหวีดของเราจะลดลง 55555

 

4.6 สาเหตุที่เรายกให้ BANGKOK TRADITION เป็น ONE OF MY MOST FAVORITE THAI FILMS OF ALL TIME ก็เป็นเพราะตัวละครสามสาวออฟฟิศที่เหมือนหลุดออกมาจากดวงจิตของเรานี่แหละ คือเหมือนถ้าหนังเรื่องไหนออกแบบตัวละครหญิงให้ตรงใจเราแบบนี้ได้ หนังเรื่องนั้นก็จะครองใจเราได้อย่างรุนแรง ซึ่งหนังที่ทำแบบนี้ได้ ก็มีอย่างเช่น

 

4.6.1 “เมืองในหมอก” (1978, เพิ่มพล เชยอรุณ) ที่ถือเป็น ONE OF MY MOST FAVORITE FILMS OF ALL TIME ตัวละครในหนังเรื่องนี้มีทั้งแม่กับลูกสาวที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าคนไปหลายศพ, สามสาวในหมู่บ้านที่ทำพิธีปลุกวิญญาณ และสาวสวิงกิ้ง ฉากที่นางเอกที่เป็นฆาตกรโรคจิตปะทะสาวสวิงกิ้งนี่ถือเป็นหนึ่งในฉากที่ชอบที่สุดในหนังไทยเหมือนกัน

 

4.6.2 “ประสาท” (1975, Piak Poster) การปะทะกันของตัวละครนำหญิงทั้งสามตัวในหนังเรื่องนี้นี่มันสุดตีนจริง ๆ แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ก็เป็น ONE OF MY MOST FAVORITE THAI FILMS OF ALL TIME เช่นเดียวกัน

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10228852135311537&set=a.10227993335122069

 

4.6.3 MAPS TO THE STARS (2014, David Cronenberg) พอเวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ เราก็พบว่าหนังเรื่องนี้นี่แหละที่เป็น MY MOST FAVORITE FILM OF THE DECADE 2010-2019 เพราะเราไม่สามารถสลัดหนังเรื่องนี้ออกไปจากใจเราได้เลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตัวละครหญิงที่แสดงโดย Mia Wasikowska, Julianne Moore และ Olivia Williams ในหนังเรื่องนี้นี่ตรงใจเราอย่างที่สุดของที่สุดจริง ๆ

 

สรุปว่า I WORSHIP YOU –ยุ, Sirai และดารารัตน์ พวกเธอทั้งสามคือหนึ่งในสิ่งที่เรารักที่สุดในภาพยนตร์ไทยจริง ๆ

 

 

 

-

No comments: