Monday, August 01, 2022

INNER LINES

 

ผลตรวจประจำวันจันทร์ที่ 1 ส.ค. 2022

 

รู้สึกดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกัน คือดีใจมาก ๆ ที่ตัวเองยังไม่ได้ติดโควิด-19 และดีใจที่ตอนนี้อาการป่วยของตัวเองดีขึ้นมากแล้ว เพราะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาเรามีอาการมึนหัว เราก็เลยหยุดอยู่บ้าน นอนกอดลูกหมีไปเรื่อย ๆ แต่พอเราตื่นนอนมาตอนตี 4 ของเช้าวันนี้ เราก็รู้สึกเหมือนสร่างไข้น่ะ อาการมึนหัวหายไปมากแล้ว และอาการที่เหมือน “เปลือกตาร้อนผะผ่าว” หรือมีอะไรหนัก ๆ ที่เปลือกตาก็หายไปด้วย สรุปว่าอาการวันนี้ดีขึ้นมาก เหมือนใกล้จะเป็นปกติ

 

แต่แอบเศร้าใจที่อาการเพิ่งมาดีขึ้นวันนี้ เพราะดิฉันได้ซื้อตั๋วหนังเทศกาล Signes de Nuit ไปแล้ว 8 ใบ 8 รอบ สำหรับช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ออกไปดูหนังเลยค่ะ 55555 สรุปว่าเราพลาดดูหนังหาดูยากไปแล้ว 8 รอบ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือดิฉันอดได้ไปเมาท์มอยแดกข้าวกับเพื่อน ๆ ด้วย

 

แต่ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ยังดีกว่าติดโควิด เดี๋ยวพอเราแข็งแรงดีจะได้ออกไปทำตัวกะหรี่ กะหรี่อย่างเต็มที่อีกครั้ง

 

THE BLACK SHEEP (2021, Vincent Zheng, China, 34min, A+30)

 

1.หนังเกี่ยวกับชีวิตเด็กหนุ่มชาวทิเบต ดูแล้วนึกถึง WOLF TOTEM (2015, Jean-Jacques Annaud) ในแง่ที่หนังพูดถึงกฎหมายของจีนที่โหดร้ายกับสัตว์ เพราะในหนังเรื่องนี้นั้น จีนมีกฎหมายที่ให้กำจัดแกะดำหรืออะไรทำนองนี้ ส่วนใน WOLF TOTEM นั้น ถ้าจำไม่ผิด จีนมีกฎหมายที่บังคับให้ชาวบ้านต้องฆ่าลูกสุนัขป่าจำนวนมาก

 

2.หนังนำเสนอชีวิตคนทิเบตได้น่าสนใจดี และแสดงให้เห็นถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ชาวทิเบตมีต่อประเทศจีน ทั้งคนจีนจากส่วนกลางที่คิดว่าคนทิเบตหลอกง่ายและเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ใช้อำนาจกับชาวบ้าน ดูแล้วนึกถึงหนังของ Pema Tseden (THE SEARCH, OLD DOG, BALLOON)

 

3.หนังนำเสนอประเพณีที่น่ากังขาของชาวทิเบตด้วย ซึ่งก็คือการที่พ่อของพระเอกจะให้พระเอกแต่งงานตั้งแต่อายุ 14 ปี และหนังก็ไม่บอกว่าพระเอกคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ หนังบอกแต่ว่าพระเอกมีปัญหากับกฎหมายของจีนที่พยายามจะพรากพระเอกจากแกะดำที่พระเอกผูกพัน

 

ถ้าจำไม่ผิด หนังเรื่อง BALLOON (2019, Pema Tseden) กับ THE HORSE THIEF (1986, Tian Zhuangzhuang, Pan Peicheng) ก็เหมือนนำเสนอว่าวัฒนธรรมความเชื่อบางอย่างของชาวทิเบตก็มีสิ่งที่น่ากังขาเหมือนกัน คือไม่ได้นำเสนอชาวทิเบตว่าเป็น “เหยื่อ” ของทางการจีนเพียงมิติเดียว หรือไม่ได้นำเสนอว่าวัฒนธรรมของชาวทิเบตเป็นสิ่งที่ดีงามไปซะทั้งหมด

 

INNER LINES (2022, Pierre-Yves Vandeweerd, France/Belgium, documentary, 87min, A+30)

 

1.เป็นหนังเรื่องที่ 4 ของ Vandeweerd ที่เราได้ดู ต่อจาก LOST LAND (2010), FOR THE LOST (2014) และ THE ETERNALS (2017) เราว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาแน่นที่สุดของเขาแล้วมั้ง

 

2.หนังมีทั้งส่วนที่เป็นกวีและพูดถึงตำนานโบราณเรื่องนกจากเรือ Noah และมีทั้งส่วนที่เป็นสารคดี โดยหนังนำเสนอเรื่องราวสงครามหลัก ๆ 3 อัน โดยอันแรกคือเรื่องของชาว Yezidis ใน Iraq ที่ถูกพวก ISIS (หรือ Daesh) ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสโหดร้ายทารุณมาก ๆ โดยพวก ISIS บุกไปที่หมู่บ้านของชาว Yezidis และฆ่าผู้ชายทั้งหมด, ข่มขืนผู้หญิง และจับผู้หญิงไปขายเป็นทาส ชาว Yezidis ที่อยู่ในหมู่บ้านอื่น ๆ และได้ยินข่าวนี้ก็เลยรีบอพยพหนีตาย โดยบางส่วนลี้ภัยมาอยู่ที่ตุรกีในปัจจุบัน คำให้การของชาว Yezidis แต่ละคนในหนังเรื่องนี้มันหนักหนาสาหัสจริง ๆ

 

อันนี้เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Yezidis หรือ Yazidis จาก Wikipedia

https://en.wikipedia.org/wiki/Yazidis#By_the_Islamic_State

 


Captured women are treated as sex slaves or spoils of war, some are driven to suicide. Women and girls who convert to Islam are sold as brides, those who refuse to convert are tortured, raped and eventually murdered. Babies born in the prison where the women are held are taken from their mothers to an unknown fate.[207][208] Nadia Murad, a Yazidi human rights activist and 2018 Nobel Peace Prize winner, was kidnapped and used as a sex slave by the ISIL in 2014.[209] In October 2014, the United Nations reported that more than 5,000 Yazidis had been murdered and 5,000 to 7,000 (mostly women and children) had been abducted by ISIL

 

3.เรื่องสงครามอันที่สองคือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนียโดยจักรวรรดิออตโตมานเมื่อราว 100 ปีก่อน ซึ่งหนังไม่ได้ให้น้ำหนักกับส่วนนี้มากเท่ากับอีกสองสงครามในหนัง ซึ่งอาจจะเป็นเพราะปัจจุบันนี้ไม่มีผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวเหลืออยู่แล้ว (แต่หนังมีการนำเสนอเสียงสัมภาษณ์นะ แต่เราเดาว่าน่าจะเป็นเสียงสัมภาษณ์ที่มาจาก archive อะไรแบบนี้) และอีกสาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่า เรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอาร์เมเนียนั้นเคยได้รับการนำเสนอในหนังอย่าง ARARAT (2002, Atom Egoyan, Canada) ไปแล้ว

 

4.สงครามอันที่สามคือสงครามล่าสุดระหว่างดินแดน Nagorno-Karabakh ของชาว Armenia กับประเทศ Azerbaijan ในปี 2020 เพราะฉะนั้นเนื้อหาในส่วนนี้ของหนังก็เลยเหมือนเป็นภาคต่อของหนังเรื่อง SHOULD THE WIND DROP (2020, Nora Martirosyan, France/Armenia) กับหนังเรื่อง I AM NOT ALONE (2019, Garin Hovanisian, Armenia, documentary)

 

5.หนังนำเสนอสงครามนี้ได้อย่างเศร้ามาก ๆ โดยเนื้อหาสำคัญในส่วนนี้คือการถ่ายทอดความรู้สึกของแม่และเมียของทหารหนุ่ม ๆ ที่เสียชีวิตในสงคราม

 

6.ถึงแม้เนื้อหาของหนังเรื่องนี้จะโหดร้ายทารุณและเศร้าสุดแสน แต่สิ่งที่เราต้องขอบันทึกไว้ก็คือว่า ทหารอาร์เมเนียหล่อมาก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่ะ 555 เนื้อหาของหนังส่วนหนึ่งเป็นการถ่ายภาพเหล่าทหารหนุ่มวัยฉกรรจ์ของอาร์เมเนียที่ไปรบในสงคราม และเรานึกว่าช่วงนี้ตัดมาจากหนังเรื่อง BEAU TRAVAIL (1999, Claire Denis) เพราะทหารหลายคนหล่อมาก ๆ คือหน้าตาแบบ Gregoire Colin พระเอก BEAU TRAVAIL เลย เหมือนหนุ่ม ๆ อาร์เมเนียเหล่านี้ผสมความหล่อระหว่างหนุ่มอิหร่านกับหนุ่มตุรกีเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว จบ

 

STORIES FROM THE NORTH (2006, Uruphong Raksasad, documentary, A+30)

 

1.ในที่สุดก็ได้ดูหนังเรื่องนี้เสียที เพราะก่อนหน้านี้เราเคยดูหนังสั้นของ Uruphong มาแล้วหลายเรื่อง เราก็เลยไม่แน่ใจว่าเราควรดูหนังเรื่องนี้ดีมั้ย เพราะเนื้อหามันน่าจะซ้ำ ๆ กัน แต่พอดีหนังเรื่องนี้มาฉายที่ DOC CLUB & PUB ในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะกับจังหวะชีวิตของเราพอดี เราก็เลยได้ดู

 

พอดูแล้วก็พบว่า มีอยู่ 3 ส่วนของหนังที่เราไม่เคยดูมาก่อนนะ ซึ่งก็คือช่วง “เก็บเกี่ยว”, “ควาย” กับ “กลับบ้าน” ที่เป็นคลิปสั้น  ๆ ในตอนท้าย นอกจากนั้นเป็นส่วนที่เราเคยดูมาแล้ว ซึ่งก็คือส่วนของ กาล, กลางวันกับกลางคืน, นักดนตรี, วันที่ยาวนาน, ทางเดิน, จักรยานลานนา

 

พอดูจบก็เลยงงว่าทำไมไม่มีหนังสั้นเรื่อง “ก่อน” (MARCH OF TIME 2) (2000, Uruphong Raksasad, 21min) รวมเข้าไปใน STORIES FROM THE NORTH ด้วย แต่ถ้าหากเราจำไม่ผิด ฟุตเตจบางส่วนใน “ควาย” ปรากฏอยู่ในหนังสั้นเรื่อง “ก่อน” ด้วยเหมือนกัน แต่เราก็ไม่แน่ใจนะ เพราะเราดูหนังเรื่อง “ก่อน” เมื่อ 22 ปีมาแล้ว 55555 อาจจะจำผิดก็ได้

 

3.เนื้อหาส่วนที่เป็น “ควาย” มันเศร้ามาก ๆ ชอบที่หนังมันนำเสนออาชญากรรมแบบนี้ในชนบทด้วย คือหนังไม่ได้พยายามวาดภาพชนบทให้ดีเกินจริง แต่เป็นชนบทที่เราสัมผัสได้ทั้งความงดงาม, ความทุกข์ยาก และปัญหาของมัน

 

4.สิ่งที่ประหลาดใจมาก ๆ เมื่อได้มาดู STORIES FROM THE NORTH ในปี 2022 คือเราพบว่าหนังมัน “เร็วมาก” คือ “เร็วกว่าที่เราจำไว้ในความทรงจำของเรามาก ๆ” 55555555

 

คือเราได้ดูหนังของคุณ Uruphong ครั้งแรกก็คือเรื่อง “กาล” กับ “ก่อน” ในปี 2000 น่ะ และเราจำได้ว่าหนังมันงดงามสุด ๆ แต่หนังมันช้ามาก ๆ คือช้ากว่าหนังสั้นไทยส่วนใหญ่ในยุคนั้น (แต่แน่นอนว่าเร็วกว่า WINDOWS ของ Apichatpong Weerasethakul)  เราก็เลยฝังใจมาโดยตลอดว่า “กาล” กับ “ก่อน” เป็นหนังที่ช้ามาก ๆ

 

แต่พอมาได้ดู “กาล” อีกครั้งในปี 2022 เราก็พบว่าหนังมันตัดภาพเร็วมาก ๆ คือเหมือนหนังไม่ได้แช่กล้องนานเป็นนาที ๆ อะไรแบบนั้น เพียงแต่หนังมันไม่ได้เล่าเรื่องผ่านทางบทสนทนาหรือแอคชั่นที่หวือหวา และเป็นหนังที่เน้นถ่ายทอดบรรยากาศมากหน่อยเท่านั้นเอง

 

ก็เลยตลกดีที่พบว่า “กาล” ซึ่งเป็นหนังที่เราเคยมองว่าช้ามาก ๆ เมื่อ 22 ปีก่อน กลายเป็นหนังที่ “ตัดภาพเร็ว” ไปแล้วในยุคปัจจุบัน 555555

 

มันแสดงให้เห็นว่า ช่วง 22 ปีที่ผ่านมาเราได้เสพหนังช้า ๆ เพิ่มขึ้นมาก ๆ ด้วยแหละ จนทำให้จังหวะเวลาในความรู้สึกของเรามันเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง คือเอาแค่ในส่วนของหนังไทยนั้น ทั้งหนังของ Apichatpong, “หนังบรรยากาศ” ของไทยที่ผลิตกันออกมามากในช่วงกลางทศวรรษ 2000, หนังของ Teeranit Siangsanoh, Wachara Kanha  เรื่อยมาจนถึงงานวิดีโอชุด A PERFECT PLACE ที่สุดยอดมาก ๆ ของคุณ Nipan Oranniwesna ในปีนี้ คือพอเทียบกันแล้ว หนังเรื่อง “กาล” ของคุณ Uruphong ก็เลยกลายเป็นหนังเร็วไปเลยในยุคปัจจุบัน แล้วการที่เราได้ดูหนังของ Lav Diaz, James Benning, etc. อะไรพวกนี้ด้วย ก็น่าจะมีส่วนทำให้จังหวะความเร็วในความรู้สึกของเราเปลี่ยนแปลงไปด้วยเหมือนกัน

 

หรือแม้แต่ส่วน”เก็บเกี่ยว” ใน STORIES FROM THE NORTH ก็เป็นอะไรที่เร็วมาก ๆ ถ้าหากเทียบกับหนังสารคดีของไทยในยุคต่อ ๆ มา อย่างเช่น HARVEST SEASON (2009, Pisut Srimork, 20min)

 

ก็เลยตลกดีที่เรามักจะได้ยินว่า เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันทำให้คนสมาธิสั้นลง แต่สำหรับเรากลับพบว่า สมาธิของเราเหมือนจะยาวขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อ 22 ปีก่อน และพบว่า STORIES FROM THE NORTH กลายเป็นหนังเร็วไปแล้ว5555555

No comments: