ALTERMAJIBE 2538 อัลเทอร์มาจีบ (2015, Yanyong
Kuruangura, A+25)
--แคสต์นักแสดงชายได้ดีมาก จบ 555
--ดิฉันไม่ใช่นักวิจารณ์
เพราะฉะนั้นดิฉันจะไม่วิจารณ์หนังเรื่องนี้นะคะ
ดิฉันแค่จะจดบันทึกว่าหนังเรื่องไหนทำให้นึกถึงชีวิตตัวเองยังไงบ้าง 555
--เหมือนหนังเรื่องนี้กับ “แฟนฉัน”
มันพาเราย้อนอดีตแบบเฉียดไปเฉียดมากับ “ยุคสมัยที่ฝังใจเราเป็นการส่วนตัว” น่ะ
คือแฟนฉันมันย้อนไปต้นยุค 1980 มีรายการโลกดนตรี มีวงสาวสาวสาว
ส่วนหนังเรื่องนี้กับ CONCRETE CLOUDS มันพาเราย้อนไปกลาง-ปลายทศวรรษ 1990 ซึ่งมันเป็นช่วงที่เราเริ่มทำงานแล้ว
ช่วงนั้นเราเริ่มไม่ได้พบปะกับเพื่อนๆเป็นประจำแล้ว เพราะเราจบมหาลัยปี 1994
หลังจากนั้นเพื่อนๆมหาลัยกับเพื่อนๆมัธยมที่อายุเท่าๆกับเรา
ก็เริ่มไปเรียนต่อเมืองนอกกัน หรือไม่ก็เริ่มทำงาน
เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกว่า แฟนฉัน, CONCRETE CLOUDS, ALTERMAJIBE มันตอบสนองความถวิลหาอดีตของเราได้มากในระดับนึง แต่ไม่ได้มากสุดๆ
เพราะช่วงที่เราผูกพันกับเพื่อนๆ ฟังเพลงกับเพื่อนๆบ่อยๆ คือช่วงปี 1988-1994
และส่วนใหญ่เราก็ฟังแต่เพลงฝรั่งกับเพลงญี่ปุ่นในช่วงนั้น
เพราะฉะนั้นพอเวลาดูหนังพวกนี้ เราก็เลยจะมีความสุขกับมันมากในระดับนึง
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็จะกระตุ้นให้เราจินตนาการว่า มันคงจะดีมากๆเลย
ถ้าหากมีใครสร้างหนังที่พาเราย้อนกลับไปยังอดีตยุคที่ฝังใจเราจริงๆ และตัวละครฟังเพลงแนวเดียวกับเราจริงๆ
(แต่หนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดของการสร้างหนังแนวนี้ก็คือ
ค่าลิขสิทธิ์เพลงมันแพงมาก)
--เพราะฉะนั้นจุดที่ตอบสนองความถวิลหาอดีตของเราได้มากที่สุดในหนังเรื่องนี้
จึงไม่ใช่เพลง เพราะเราไม่ได้ฟังเพลงแบบในหนังเรื่องนี้
แต่เป็นเรื่องของตู้โทรศัพท์สาธารณะ เพราะตอนเด็กๆเราใช้มันบ่อยมากน่ะ ตอนเด็กๆบ้านเราไม่มีโทรศัพท์
บ้านเราเพิ่งมีโทรศัพท์ใช้ตอนเราขึ้นม.4 (ประมาณปี 1988)
เพราะฉะนั้นตอนมัธยมต้นเราก็เลยใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะบ่อยมาก การที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะถูกใช้ในแง่
“หมุดหมายของอดีตกาล” ในหนังเรื่องนี้ จึงตอบโจทย์ของเรามากๆ
และมันทำให้เราหวนนึกถึงอดีตตลอดเวลาว่า เราเคยใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะโทรหาใครอะไรยังไงบ้างในวัยเด็ก
--ไปๆมาๆแล้ว หนังที่ตอบสนองความถวิลหาอดีตของเราได้ดีที่สุดเรื่องนึง
คงจะเป็น THE ROMANTIC (2013, Tani Thitiprawat + Teeranit Siangsanoh) แต่นั่นเป็นเพราะว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นการเอาฟุตเตจหนังเก่า+คลิปจิปาถะในทศวรรษ
1980 มาตัดรวมกัน มันก็เลยทำหน้าที่ตอบสนองความ nostalgia ได้อย่างตรงเป้า
โดยไม่ต้องรับมือกับ “การเล่าเรื่อง” ไปด้วย ในขณะที่หนังอย่าง ALTERMAJIBE
นั้น การที่มันพยายามทำทั้งตอบสนองความ nostalgia และ “พยายามจะเล่าเรื่องให้น่าประทับใจ” ไปด้วยในขณะเดียวกัน มันก็เลยอาจจะทำหน้าที่ทั้งสองอย่างได้อย่างไม่เต็มที่เท่าใดนัก
--สรุปว่าชอบความ nostalgia ของหนัง,
ชอบเสน่ห์ของนักแสดงชาย แต่เราว่าบทมันดูเหมือนมีอะไรไม่เข้าที่ยังไงไม่รู้
โดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่อง
--หวังว่าจะมีการสร้างหนังแนว nostalgia อีก
โดยใช้เพลงนี้เป็นเพลงสำคัญค่ะ
No comments:
Post a Comment