LOST LAND (2010, Pierre-Yves Vandeweerd, documentary, A+30)
ดูหนังเรื่องนี้ได้ทางเว็บไซต์ของ DOC ALLIANCE นะจ๊ะ
แต่ต้อง register กับทางเว็บไซต์ แล้วจ่ายเงิน 3 ยูโร (114
บาท) แล้วก็จะเลือกดูหนังได้ 10 เรื่องภายในเวลา 2 เดือนจ้ะ
เราไม่เคยได้ยินชื่อของ Pierre-Yves Vandeweerd มาก่อนเลยในชีวิตนี้
จนกระทั่งได้ดูหนังสารคดีเรื่อง FOR THE LOST (2014, A+30) ของเขาในเทศาล
SIGNES DE NUIT FILM FESTIVAL ที่รีดดิ้งรูม
แล้วเราก็ตกตะลึงพรึงเพริดไปเลย เพราะมันเป็นหนังที่แปลกประหลาดมากสำหรับเรา
มันจัด genre ไม่ได้ มันเหนือคำบรรยายสำหรับเรามากๆ
ส่วน LOST LAND นี้ไม่ได้พิสดารมากเท่ากับ FOR THE
LOST แต่ก็เฮี้ยนมากๆ ตอนที่ดู LOST LAND เราจะนึกถึง
A BRIEF HISTORY OF MEMORY (2010, Chulayarnnon Siriphol, A+30) ในแง่ที่ว่า
1.หนังสองเรื่องนี้มันนำเสนอความทุกข์ระทมของประชาชนที่เกิดจากปัญหาการเมืองเหมือนกัน
แต่แทนที่จะนำเสนอออกมาในแบบของหนังสารคดีธรรมดา หนังสองเรื่องนี้กลับมีลักษณะของหนังทดลองสูงมากๆ
2.ในหนังสองเรื่องนี้
เราจะได้ยินเสียงให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ได้รับความทุกข์ระทมจากปัญหาทางการเมือง
แต่เราจะไม่เห็น “ปากของผู้ให้สัมภาษณ์ขณะให้สัมภาษณ์” คือใน A BRIEF
HISTORY OF MEMORY นั้น
เราจะไม่ได้เห็นแม้แต่หน้าของผู้ให้สัมภาษณ์ด้วยซ้ำ แต่ใน LOST LAND เราอาจจะเห็นหน้าของผู้ให้สัมภาษณ์ แต่เป็นใบหน้าของพวกเขาขณะ “ไม่ขยับปาก”
ถึงแม้เราจะได้ยินเสียงของพวกเขาในเวลาเดียวกัน
กลวิธีนี้ของ LOST LAND ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง
INDIA SONG (Marguerite Duras, A+30) ด้วยนะ เพราะใน
INDIA SONG เราจะได้ยินเสียงพูดของตัวละครหลายตัว และเราก็จะได้เห็นภาพของตัวละครหลายตัว
แต่เราจะไม่เห็นภาพของตัวละครขณะขยับปากพูดเลย
สิ่งที่เราชอบใน LOST LAND รวมถึงเรื่องต่อไปนี้ด้วย
1.เนื้อเรื่องของมันดีมากๆ คือมันเป็นเรื่องสงครามใน Western Sahara ระหว่าง
Morocco กับชนเผ่า Sahrawi ที่ดำเนินมานานหลายสิบปี
ซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมากๆ
มันเหมือนกับว่าสื่อมวลชนทั่วโลกแทบไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย ซึ่งเราเดาว่าอาจจะเป็นเพราะดินแดน
Western Sahara มันไม่มีทรัพยากรธรรมชาติหรือเปล่า
ชาติตะวันตกก็เลยไม่เคยสนใจปัญหาความขัดแย้งและการเข่นฆ่ากันในดินแดนนี้มาก่อน
2.แต่สิ่งที่เราชอบสุดๆคือการเลือกใช้ภาพของมัน
คือเนื้อเรื่องความโหดร้ายของสงครามในดินแดนนี้มันถูกถ่ายทอดด้วยเสียงให้สัมภาษณ์เท่านั้น
แต่แทนที่หนังเรื่องนี้จะนำเสนอ “ภาพ” ที่สอดคล้องกับเสียงโดยตรง
ภาพของหนังเรื่องนี้กลับออกมา poetic มากๆ สำหรับเรา เราจะได้เห็นภาพของคนต่างๆและ
landscape ของพื้นที่ทะเลทรายซาฮาร่าในหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่
ขณะที่เราฟังเสียงให้สัมภาษณ์ไปด้วย
เราว่าผู้กำกับ/ตากล้องหนังเรื่องนี้ ถ่ายภาพออกมาได้ถูกจริตเรามากๆ
มันสวย แต่มันไม่ได้สวยแบบภาพโปสการ์ด เรารู้สึกว่ามันสวยในแบบที่สามารถถ่ายทอดพลังของ
landscape ตรงนั้นได้อย่างเต็มที่น่ะ
ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ Vandeweerd เคยทำสำเร็จมาแล้วใน FOR
THE LOST เช่นกัน ทั้งๆที่ landscape ในหนังสองเรื่องนี้มันตรงข้ามกันในแง่นึง
คือ landscape ใน FOR THE LOST มันเป็นภูเขาหิมะ
ส่วน landscape ใน LOST LAND มันเป็นทะเลทราย
แต่ Vandeweerd ก็สามารถถ่าย landscape ของสองดินแดนนี้ให้ออกมาทรงพลังสุดๆได้ทั้งคู่
No comments:
Post a Comment