Sunday, March 22, 2015

BENJAKHAPRADIJHA

BENJAKHAPRADIJHA เบญจางคประดิษฐ์ (2013, Pittawat Apinyanont, A+20)

ดูหนังเรื่องนี้ได้ที่


ความรู้สึกที่มีต่อหนังเรื่องนี้

1.ชอบมากๆในระดับนึง ความชอบของเราที่มีต่อหนังเรื่องนี้จะคล้ายๆกับความชอบของเราที่มีต่อหนังประเภท BARAKA (1992, Ron Fricke), NAQOYQATSI (2002, Godfrey Reggio) และหนังหลายๆเรื่องของนักศึกษา KMUTT (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) น่ะ คือเราว่าหนังกลุ่มนี้มันมีลักษณะดังต่อไปนี้

1.1 เป็น visual montage นำฉากที่ถ่ายทำอย่างสวยงามในประเด็นเดียวกันมาร้อยเรียงเข้าด้วยกันในเชิงกวี และส่วนใหญ่แล้วหนังกลุ่มนี้จะตัดต่อเข้ากับจังหวะเพลงอย่างมากๆ

1.2 เราว่าหนังกลุ่มนี้ทำยากมากๆในระดับนึง เพราะคนทำต้องมี sense ที่ดีมากทั้งในด้านการถ่ายภาพ, การเลือกเพลง, การตัดต่อให้เข้ากับจังหวะเพลง,การตัดต่อให้ได้อารมณ์ในเชิงกวี, การตัดต่อให้สื่อประเด็นได้อย่างราบรื่น

1.3 เราว่าหนังเรื่องนี้ทำสำเร็จตามคุณลักษณะข้างต้นนะ เพราะหนังเรื่องนี้ถ่ายภาพได้ทั้งสวยงามและสื่อประเด็น, รู้จักสังเกตสิ่งต่างๆที่เข้ากับประเด็นแล้วเลือกถ่ายออกมาได้ดี, เลือกเพลงได้ดี, ตัดต่อได้เข้ากับจังหวะเพลงมาก, ตัดต่อให้ได้อารมณ์สอดคล้องกันดี และตัดต่อในแบบที่สื่อประเด็นได้ดีหรือกระตุ้นความคิดผู้ชมได้ดีด้วย อย่างเช่นการตัดต่อฉากรำแก้บนกับฉากเต้นระบำเปลือย

2.เราว่าภายในเวลาเพียงแค่ 3 นาที หนังเรื่องนี้สามารถสะท้อนอะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับศาสนาพุทธในไทยได้ดีมาก โดยที่หนังไม่ต้องใช้เสียงบรรยายอะไรเลย เราได้เห็นการกราบไหว้บูชาทั้งในแบบที่เป็นการกราบพระและกราบภูติผีเทวดา, ได้เห็นพุทธพาณิชย์, ได้เห็นความประพฤติที่อาจจะไม่เหมาะสมของพระ, ได้เห็นอภิสิทธิ์ของพระในสังคมไทย, ได้เห็นทั้งความงดงามและความน่าเกรงขามกึ่งหลอนๆของพระพุทธรูป สรุปว่ามันเป็น 3 นาทีที่แน่นมากทั้งในด้านประเด็นและความงดงามทางภาพและเสียง

3.แต่ถ้าหากถามว่าทำไมเราถึงไม่ชอบหนังเรื่องนี้ถึงขั้น A+30 อันนี้มันก็เป็นรสนิยมส่วนตัวของเรานะ เพราะจริงๆแล้วหนังกลุ่มนี้หลายๆเรื่องเราก็ไม่ได้ชอบถึงขั้น A+30 เราจะชอบประมาณ A+15 น่ะ คือเราชอบหนังกลุ่มนี้ในแง่ที่ว่ามันเป็นหนังไม่เล่าเรื่อง และเป็นหนังที่ให้อารมณ์เชิงกวีหรือคล้ายๆหนังทดลองน่ะ แต่โดยส่วนตัวแล้ว เราจะชอบหนังที่เป็นหนังทดลองแบบ 100% เต็มหรือหนังเชิงกวีที่เน้นบรรยากาศหรืออารมณ์ความรู้สึกไปเลย โดยไม่ต้องสื่อประเด็นใดๆทางสังคมมากกว่าน่ะ อย่างเช่นพวกหนังของ Teeranit Siangsanoh ที่จะเป็นการนำภาพจิปาถะของสิ่งต่างๆมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน แล้วไม่ต้องสื่อประเด็นใดๆ แต่พอเราดูแล้วเรากลับรู้สึกมีความสุขกับมันมากๆ อะไรทำนองนี้

เพราะฉะนั้นการที่เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ถึงขั้น A+30 จึงไม่ใช่ความผิดของหนังแต่อย่างใด และเราก็เข้าใจดีว่านักศึกษาหลายๆมหาลัยมักจะทำหนังทำนองนี้ออกมา คือเป็นหนังที่ “สื่อประเด็นชัดเจน” เพื่อส่งอาจารย์น่ะ และพอเราเจอหนังประเภทนี้ในเทศกาลภาพยนตร์มาราธอน เราก็มักจะชอบประมาณ A+15 น่ะแหละ 555


4.ชอบฉากเปิดมากเลยนะ มันทำให้เราสงสัยขึ้นมาเลยว่า ตุ๊กตาแมคโดนัลด์ของประเทศอื่นๆมันทำท่าไหว้แบบนี้หรือเปล่า หรือว่าเราจะเห็นตุ๊กตาแบบนี้แค่ในไทยเท่านั้น แต่ช่วงท้ายของหนังที่เป็นเมตตา, กรุณา, มุทิตา, อุเบกขา เราจะรู้สึกเฉยๆ และไม่แน่ใจว่าหนังมันเลือกใช้ภาพได้เข้ากับพรหมวิหาร 4 จริงๆหรือเปล่า 555

No comments: