TWO DAYS, ONE NIGHT (2014, Jean-Pierre Dardenne + Luc Dardenne,
A+30)
(รูปประกอบมาจาก TWO DAYS ONE NIGHT, MAPS TO THE STARS กับ MOMMY)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
--ชอบการนำเสนอตัวประกอบแต่ละตัวมากๆ
เราว่าเขาคิดซีนเก่งมาก คือตัวประกอบบางตัวโผล่มาแค่ไม่กี่นาที
แต่ผู้กำกับ/คนเขียนบทสามารถทำให้เราเข้าใจได้คร่าวๆเลยว่า
อีนี่ตัดสินใจอย่างนี้เพราะอะไร อีนี่น่าเห็นใจ หรืออีนี่ควรโดนตบด้วยตีน
--ชอบความลังเลใจ กลับไปกลับมาของนางเอกมากๆ
--ชอบความพยายามจะฆ่าตัวตายของนางเอกมากๆ
คือเราเข้าใจเลยว่าทำไมนางเอกถึงทำอย่างนั้น
เพราะขนาดเราเจออะไรที่หนักไม่เท่านางเอก เราก็ยังรู้สึกเลยว่า “ทำไมการมีชีวิตอยู่มันถึงเหนื่อยอย่างนี้วะ
สู้ตายไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวยังจะดีซะกว่า”
--ชอบการวัดใจตัวละครในตอนท้ายมากๆ มันทำให้นึกถึงตอนจบของ THE PROMISE (1996, Jean-Pierre
Dardenne + Luc Dardenne, A+30) ที่ตัวละครเจอสถานการณ์วัดใจในตอนจบเหมือนกัน
และพอตัวละครตัดสินใจได้แล้ว หนังก็จบด้วยฉากตัวละครเดินจากไปในแบบที่คล้ายๆกัน
--สรุปว่าชอบ “ความเป็นมนุษย์” ในหนังของสองพี่น้องดาร์เดนน์มากๆ
--เราว่าสาเหตุนึงที่เราชอบหนังเรื่องนี้มากๆ
เพราะเราก็ทำงานบริษัทเอกชนเหมือนกัน และรู้ว่าตัวเองสามารถถูกไล่ออกได้ทุกเมื่อ
และทุกวัน เพียงเพราะเหตุผลทางการเงินของบริษัท ไม่ว่าเราจะทำงานดีแค่ไหนก็ตาม
การมีชีวิตอยู่แบบนี้มันเครียดมาก และมัน insecure มากๆ เพราะฉะนั้นพอเราได้ดูหนังที่
deal กับประเด็นอย่างนี้ อย่าง TWO DAYS, ONE NIGHT และ WORK HARD, PLAY HARD (2003, Jean-Marc Moutout) มันเหมือนความเครียดที่สั่งสมอยู่ในใจเรามันได้รับการระบายออกไปในทางนึง
ซึ่งหนัง feel good ประเภทที่พระเอกนางเอกฐานะดีไม่สามารถช่วยระบายความเครียดให้เราในแบบนี้ได้
แต่ไม่ใช่ว่าหนัง feel good ไม่ดีนะ
คือหนังแต่ละประเภทมันดีกับจิตใจเราในคนละแบบน่ะ
หนังพาฝันมันก็ทำให้เรามีความสุขด้วยการพาฝัน
หลบหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย แต่หนังพาฝันมันมีเยอะมาก
เพราะฉะนั้นหนังที่เราต้องการในหลายๆครั้ง จึงเป็นหนังชีวิตบัดซบประเภทที่ตัวละคร “เจ็บปวด”
หรือ “ประสบปัญหา” ในแบบที่คล้ายคลึงกับชีวิตเราจริงๆ เพราะพอเราได้ดูหนังแบบนั้น
มันเหมือนกับว่า “ความเครียด”, “ความเจ็บปวด” หรือ “บาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในใจเรา”
มันได้รับการระบายออกไป หรือได้รับการเยียวยา และหนังประเภทนี้เราไม่ค่อยเจอบ่อยเท่าไหร่
--ชอบปฏิสัมพันธ์ของคนในที่ทำงานเดียวกันในหนังเรื่องนี้น่ะ
ถ้าหากจะต้องฉายหนังเรื่องนี้ควบกับหนังอีกสองเรื่อง เราก็คงเลือกเรื่อง THE
INVITATION (1973, Claude Goretta) กับ NOTHING PERSONAL
(2009, Mathias Gokalp) เพราะหนังสองเรื่องนี้ก็นำเสนอปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงานได้อย่างดีมากๆเหมือนกัน
--ดีใจมากๆที่ได้เห็น Fabrizio Rongione ใน TWO
DAYS, ONE NIGHT เพราะเราชอบเขามากๆในละครทีวีชุด UN VILLAGE
FRANÇAIS (2009-2013) ที่เขารับบทเป็นคอมมิวนิสต์หนุ่มที่ต้องต่อสู้กับนาซีในฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
No comments:
Post a Comment