BRING CHALEE HOME (2015, Nasrey Labaideeman, stage play, A+15)
ชาลีมีโฮม
1.ดูแล้วไม่เข้าใจหรอกนะ 555 ไม่เข้าใจในที่นี้หมายถึงว่าเราไม่แน่ใจว่าละครเวทีเรื่องนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไร
หรืออะไรคือ theme หลักนะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะเขียนต่อไปนี้ไม่ได้ต้องการจะบอกว่าละครเรื่องนี้สื่อถึงอะไร
หรือต้องการจะบอกอะไรคนดู แต่สิ่งที่เราเขียนคือการจดบันทึกว่า
ละครเรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกอย่างไร หรือทำให้เรานึกถึงอะไรบ้าง โดยที่ตัวผู้สร้างละครอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำให้เรานึกถึงก็ได้
2.ถ้าอ่านจากสูจิบัตร
ดูเหมือนว่าประเด็นนึงในละครเรื่องนี้คือเรื่องการกำหนดว่าใครเป็นเด็ก
และใครเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นประเด็นที่เราอาจจะไม่เคยคิดถึงมาก่อน
หรือไม่เคยสนใจมาก่อน เพราะฉะนั้นตอนที่เราดูละครเรื่องนี้
เราก็เลยไม่ทันนึกถึงประเด็นนี้เลย หรือพอดูจบแล้ว เราก็ยังไม่สามารถเชื่อมโยงมันกับละครได้แบบเป๊ะๆ
หรือในแบบที่ว่า พอเอาประเด็นนี้มาจับปุ๊บ เราจะเข้าใจทุกอย่างในละครได้ในทันที
3.แต่สิ่งที่ชอบมากในละครเรื่องนี้ก็คือการที่ตัวละครมะลิ (ณัฐญา
นาคะเวช) กลายสภาพเป็นคนป้ำๆเป๋อๆ เหมือนเป็นโรคอัลไซเมอร์
แล้วช่วยตัวเองไม่ได้ในช่วงท้ายๆของเรื่อง
แล้วลูกกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องมาคอยดูแล ประคบประหงม
ในสภาพที่สลับกับช่วงต้นเรื่องที่ฝ่ายแม่ต้องคอยประคบประหงมลูกในช่วงนั้น
เราว่าจุดที่ทำให้เรารู้สึกรุนแรงที่สุดในละครเรื่องนี้ก็คือการที่ตัวละครมะลิพูดแต่คำว่า
ชั่วช้า ชั่วช้า ชั่วช้า ซ้ำไปซ้ำมาในช่วงท้ายของเรื่องนั่นแหละ
เราว่าจุดนี้มันกระทบอารมณ์ความรู้สึกเรารุนแรงมากที่สุดในละครเรื่องนี้
4.อีกจุดที่ชอบมากในละครเรื่องนี้คือประโยคคำถามในช่วงกลางเรื่องที่ว่า
“ความเป็นแม่กับความเป็นลูกอะไรเกิดขึ้นก่อนกัน” ซึ่งเป็นคำถามที่ประหลาดมาก ไม่รู้คิดขึ้นมาได้ยังไง
คือพอได้ยินคำถามนี้ปุ๊บ ในใจเราจะตอบไปโดยอัตโนมัติว่า “มันเกิดขึ้นพร้อมกัน”
แต่ตัวละครในเรื่องนี้กลับตอบในสิ่งที่เราคาดไม่ถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าคิดมากๆ
นั่นก็คือตัวละครตอบในทำนองที่ว่า “ความเป็นแม่เกิดขึ้นก่อน” เพราะคนเป็นแม่ “รู้ตัว”
ว่าตัวเองเป็นแม่ก่อน ในขณะที่คนเป็นลูกนั้น พอคลอดออกมาจากท้องแม่แล้ว
มันยังไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองเป็นลูก มันต้องใช้เวลาสักระยะนึง อาจจะซัก 2-3 ปี
กว่ามันจะ “รู้ตัวว่าตัวเองเป็นลูก”
ไม่รู้ว่าประเด็นนี้เป็นประเด็นหลักของเรื่องหรือเปล่า แต่มันเป็นประเด็นที่เราชอบมากๆ
และนำไปคิดต่อยอดถึงเรื่องอื่นๆได้อีกมากมาย
โดยที่ผู้สร้างละครเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจ เพราะการสนทนากันในฉากนี้
ทำให้เราคิดถึงประเด็นที่ชอบมากๆ นั่นก็คือ
ประเด็นเรื่องมายาคติเกี่ยวกับความเป็นพ่อแม่ลูกอะไรทำนองนี้
ซึ่งละครเรื่องนี้มันมีจุดอื่นๆอีกที่ทำให้เราคิดถึงประเด็นนี้นะ
โดยเฉพาะตัวละครมะลิที่เหมือนถูกมายาคติเกี่ยวกับความเป็นแม่เข้าครอบงำ
เธอพยายามช่วยเหลือชาลีราวกับว่าเขาเป็นลูกของเธอ
เธอเหมือนใช้ชาลีเป็นจุดหมายในการทำสิ่งต่างๆในชีวิต
(เธอพยายามเดินทางไปที่นั่นที่นี่ เพื่อทำให้ชาลีมี “บ้าน”)
มันทำให้นึกถึงแม่หลายๆคนที่พยายามทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วอ้างว่าตัวเองทำเพื่อลูก
ราวกับว่าพวกเธอมีชีวิตอยู่เพื่อลูกของตัวเองเท่านั้น แต่ไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเธอเอง
และในหลายๆครั้ง แม่เหล่านี้ก็ทำในสิ่งที่เลวร้าย โดยอ้างว่าทำเพื่อลูก
อย่างเช่นในเรื่องนี้พอชาลีฆ่าคน มะลิก็เข้าข้างชาลี
และความผิดที่แม่หลายคนมักจะทำในความเป็นจริง ก็คือการหวงลูกมากเกินไป
ซึ่งจุดที่ทำให้เรานึกถึงสิ่งนี้ ก็คือฉากที่มะลิฆ่า “คนที่อาจจะเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของชาลี”
ซึ่งมันเป็นอีกจุดที่พีคมากๆในละครเรื่องนี้ และทำให้ละครเรื่องนี้ dark มากๆ และเป็นจุดสำคัญที่ทำให้เราชอบละครเรื่องนี้ถึงขั้น
A+15 เพราะเราว่าจุดนี้มันทำให้เรานึกถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์หลายๆคนน่ะ
โดยเฉพาะแม่ที่อ้างว่าตัวเองรักลูกมาก แต่ไม่ได้นึกถึงความสุขของลูกๆเป็นหลัก
แต่นึกถึงความสุขของตัวเองเป็นหลัก
คือถ้าหากมะลินึกถึงความสุขของชาลีเป็นหลักอย่างแท้จริง
มะลิควรจะปล่อยให้ชาลีไปอยู่กับพ่อแม่ที่แท้จริง และได้อยู่ใน “โฮม”
ที่ชาลีต้องการจะอยู่อย่างแท้จริง แต่เอาเข้าจริงแล้ว
มะลิที่เดินทางร่อนเร่ไปตามที่ต่างๆ โดยอ้างว่าตัวเองทำเพื่อชาลีนั้น
จริงๆแล้วไม่ได้คำนึงถึงความสุขของชาลีเป็นหลักอย่างแท้จริงหรอก เธอคำนึงถึงความสุขของตัวเองเป็นหลักต่างหาก
เธอมีความสุขที่ได้คอยเลี้ยงดูชาลี เพราะฉะนั้นเมื่อชาลีจะเริ่มห่างจากเธอไป
เธอจึงฆ่าคนที่ชาลีจะไปอยู่ด้วย
ถึงแม้คนคนนั้นสามารถให้ความสุขที่แท้จริงกับชาลีได้ก็ตาม
คือจุดนี้ของละครมันทำให้เรานึกถึงพ่อแม่หลายๆคนที่ห้ามลูกทำในสิ่งที่จริงๆแล้วเป็นความสุขของลูกน่ะ
อย่างเช่นลูกอยากจะเรียนภาพยนตร์ พ่อแม่ก็ห้ามเรียนอะไรทำนองนี้ พ่อแม่เหล่านี้บอกกับตัวเองและคนอื่นๆว่าพวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อลูก
ทำสิ่งต่างๆเพื่อลูก แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว
พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการเห็นลูกมีความสุขจริงๆหรอก
พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าความสุขที่แท้จริงของลูกคืออะไร พวกเขาเห็นความสุขของตัวเองสำคัญกว่า
และความสุขของพวกเขาก็คือ “การได้บังคับให้ลูกทำอย่างที่พวกเขาต้องการ”
5.อีกจุดที่ละครเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ตั้งใจสื่อถึง
แต่เป็นสิ่งที่เราชอบมาก นั่นก็คือ “เชือก” คือในช่วงต้นของละครเรื่องนี้
มันทำให้เรานึกถึงการมีลูกน่ะ คือพอเรามีลูก เราก็จะพยายามทำสิ่งต่างๆเพื่อสร้างบ้านที่ดีให้กับเขา
(เหมือนกับ การพาเขาไปหาบ้าน), เราจะอบรมสั่งสอนเขา (บทบาทของ “หนังสือ”
ในละครเรื่องนี้) และเราจะสร้างสายสัมพันธ์กับเขา (เชือก)
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกนั้น มันมีทั้งด้านดีและด้านลบ เหมือนกับเชือกในเรื่องนี้
ที่กลายเป็นอาวุธฆ่าคนได้ในหลายๆครั้ง
6.อีกจุดที่ชอบมากในละครเรื่องนี้ ก็คือเหมือนมันเป็นการผสม “นิทานสำหรับเด็ก”
กับละครเวทีแนวแอบเสิร์ดเข้าด้วยกันน่ะ คือโทนของมันเหมือนนิทานสำหรับเด็กน่ะ ซึ่งนิทานสำหรับเด็กหลายๆเรื่องมันจะมีอะไรดาร์คๆอยู่ด้วย
และถ้าดัดแปลงดีๆมันจะทรงพลังมาก อย่างเช่นหนังเรื่อง THE VISIT (2015, M. Night
Shyamalan, A+30) ที่เหมือนเป็นการดัดแปลงนิทานเรื่อง HANSEL
& GRETEL กับหนูน้อยหมวกแดงมาผสมเข้าด้วยกัน
แต่นิทานสำหรับเด็กมันจะต่างจากละครเวทีแนวแอบเสิร์ดในแง่ที่ว่า
นิทานสำหรับเด็กมันจะเข้าใจง่าย และมันจะไม่กระตุ้นความคิดเหมือนละครแอบเสิร์ด
เพราะฉะนั้นถึงแม้ BRING CHALEE HOME จะมีโทนเหมือนนิทานสำหรับเด็ก
แต่มันดูแล้วตีความยาก และกระตุ้นความคิดมากๆเหมือนละครเวทีแนวแอบเสิร์ด
คือเราว่าการผสมสองอย่างเข้าด้วยกันนี้เป็นสิ่งที่ดีนะ
เพราะมันมีละครเวทีแนวนิทานสำหรับเด็กเยอะแล้ว และก็มีละครเวทีแนวแอบเสิร์ดเยอะแล้ว
แต่ละครเวทีที่ผสมสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน มันอาจจะยังมีไม่เยอะ
7.ดูแล้วนึกถึงหนังเรื่อง NURSE ROOM (2012, Nasrey Labaideeman, A+30) ด้วย เพราะ NURSE ROOM ก็มีความแอบเสิร์ด และตัวละครก็เดินทางไปพบเจอบุคคลต่างๆมากมายเหมือนกัน
แต่เราจะชอบ NURSE ROOM มากกว่า BRING CHALEE HOME เพราะปัจจัยอันนึงก็คือว่า หนังไทยแนวแอบเสิร์ดแบบ NURSE ROOM มันหาดูได้ยาก มันไม่ค่อยมีคนทำกัน แต่ละครเวทีแนวแอบเสิร์ดอย่าง BRING
CHALEE HOME มันอาจจะหาดูได้ง่ายกว่า
8.แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราไม่ได้ชอบ BRING CHALEE HOME ในระดับ
A+30 มันอาจจะเป็นเพราะว่า เราไม่เข้าใจมัน
และเราไม่ได้สนุกไปกับมันแบบสุดๆเหมือนหนังบางเรื่องที่เราสนุกกับมันมากๆได้
โดยที่เราไม่เข้าใจความหมายของมันเลย
คือตอนที่ดู BRING CHALEE HOME เราจะนึกถึงหนัง surreal สองเรื่องที่เป็น road movie ตัวละครเดินทางผจญภัยเฮี้ยนๆเหมือนกัน
แต่หนังสองเรื่องนี้เราจะชอบแบบสุดๆ ซึ่งได้แก่
8.1 THE MILKY WAY (1969, Luis Buñuel, A+30) อันนี้ที่เราชอบมาก
เพราะปัจจัยนึงคือเราเข้าใจมันด้วยแหละว่ามันเสียดสีคนกลุ่มต่างๆในองค์การศาสนา
เพราะฉะนั้นถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์พิศวงพิสดารอะไรขึ้นในเรื่อง
เราก็จะเข้าใจมันในระดับนึงว่าเป้าหมายที่หนังต้องการจะโจมตีคืออะไร
8.2 FANDO AND LIS (1968, Alejandro Jodorowsky, A+30) อันนี้ดูแล้วไม่เข้าใจอะไรเลยว่าหนังต้องการจะสื่อถึงอะไร
แต่ก็ชอบสุดๆ เพราะมันสนุกมาก เฮี้ยนมาก จัญไรมาก (คำชม)
No comments:
Post a Comment