Thursday, November 12, 2015

THE LITTLE PRINCE (2015, Mark Osborne, animation, A+20)

THE LITTLE PRINCE (2015, Mark Osborne, animation, A+20)

SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.เราหลับไปช่วงนึงตอนดู ตอนแรกก็นึกว่าคงเป็นเพราะร่างกายเราไม่พร้อมเอง เพราะเราดูในวันธรรมดาหลังเลิกงาน ตอนประมาณบ่าย 4 โมง ซึ่งเป็นช่วงที่เรามักจะง่วง แต่ปรากฏว่าเพื่อนๆ cinephiles หลายคนก็หลับตอนดูหนังเรื่องนี้เหมือนกัน ก็เลยไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะร่างกายเราไม่พร้อมเอง หรือหนังมันชวนง่วงจริงๆ

ก่อนหน้านี้เราเคยดูหนังเรื่อง SAINT-EX (1996, Anand Tucker) ที่สร้างจากชีวประวัติของ Antoine de Saint-Exupéry ผู้ประพันธ์เจ้าชายน้อย จำได้ว่าหนังก็ดีประมาณนึง แต่เราก็หลับตอนดู SAINT-EX เหมือนกัน

2.เราเคยอ่านหนังสือ เจ้าชายน้อยตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราก็เลยอ่านไม่รู้เรื่องเล555 และไม่ได้กลับมาอ่านอีกตอนโต เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ได้เป็นแฟนของหนังสือเล่มนี้ และก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมันเลยด้วย เราจำได้แต่ว่าตอนเป็นเด็กเราอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง

3.สิ่งที่ชอบมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงเป็นงานด้านภาพในส่วนที่เล่าเรื่องเจ้าชายน้อย เราว่างานด้านภาพในส่วนนั้นงดงามมากๆ

4.เรื่องราวของแม่กับลูกสาวในยุคปัจจุบันก็เป็นส่วนที่เราชอบประมาณนึงนะ เราชอบมากๆตั้งแต่ตอนที่ลูกสาวตอบคำถามตอนสอบสัมภาษณ์ไม่ได้ เพราะเตรียมคำตอบมาไม่ตรงกับคำถามน่ะ เพราะเรารู้สึกว่าเราก็มีปัญหาคล้ายๆกับแม่+ลูกสาวในหนังเรื่องนี้เหมือนกัน นั่นก็คือบางทีเรามักจะหมกมุ่นกับการวางแผนชีวิตล่วงหน้า ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เราชอบจัด ตารางชีวิตฮิสทีเรียของตัวเองเวลาเทศกาลหนังต่างๆจัดงานฉายชนกัน แต่ทุกครั้งมันจะต้องเกิดเหตุชิบหายๆอะไรขึ้นมาในแต่ละวัน ที่ทำให้ตารางชีวิตที่วางแผนไว้รวนไปหมด แล้วเราก็จะรู้สึก เครียดมากกับการต้องรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าที่คาดเดาไม่ได้ และกับการแก้ตารางชีวิตใหม่ในแต่ละวันตามปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น

ซึ่งจริงๆแล้วประเด็นนี้อาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญของ THE LITTLE PRINCE เวอร์ชั่นนี้ก็ได้นะ แต่เป็นประเด็นที่เราเอามาโยงกับชีวิตตัวเองได้ง่ายที่สุดเวลาดูหนังเรื่องนี้น่ะ นั่นก็คือประเด็นเรื่อง ความพยายามจะควบคุมชีวิต, ความพยายามจะจัดชีวิตให้ลงตัว เป๊ะ เป๊ะ ควบคุมทุกอย่างให้เป็นระเบียบ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้จริงหรอก เพราะชีวิตเรามักจะต้องรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าที่คาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ

5.ชอบความเห็นของคนดูคนนึงมากๆที่เขามองว่า หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นการเสียดสีนิสัยของคนเยอรมันโดยมองจากสายตาของคนฝรั่งเศส เพราะเราว่ามันก็อาจจะเป็นจริงอย่างนั้น เพราะนิสัยการทำอะไรทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบแบบแผนของตัวละครแม่ในหนังเรื่องนี้ ในแง่นึงมันก็ทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง HOW TO LIVE IN THE GERMAN FEDERAL REPUBLIC (1990, Harun Farocki, A+30) ที่เพิ่งฉายที่รีดดิ้งรูมไปในปี 2014 ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตคนเยอรมันที่อยู่ภายใต้ระเบียบแบบแผนเป๊ะ เป๊ะไปเกือบทุกอย่าง ในขณะที่ตัวละครชายชราข้างบ้านในหนังเรื่องนี้ เหมือนเป็นตัวแทนของคนฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความรักในการใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี 

โดยส่วนตัวแล้วเรามองว่าคนเราคงต้องมีทั้งสองส่วนในตัวเองนะ คงต้องรักษาสมดุลระหว่างทั้งสองส่วนในตัวเองไว้ให้ดี ทั้งจินตนาการเสรีและความเป็นระเบียบ เพราะถ้าทำตัวเสรีเกินไป มันก็อาจจะเป็นอย่างตอนที่ชายชราในเรื่องขับรถออกมาจากบ้านแล้วไปไม่ถึงจุดหมาย เพราะการทำตัวแบบนั้นมันอยู่ไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ถ้าทำตัวเคร่งครัดและสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆที่ไม่จำเป็นให้กับชีวิตตัวเองมากเกินไป เราก็อาจจะไม่มีความสุขในชีวิต เหมือนอย่างแม่+ลูกสาวในเรื่องนี้ และเหมือนอย่างตัวละครเจ้าชายน้อยตอนโต และเราอาจจะรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันในชีวิตไม่ได้ดีด้วย

6.ในส่วนที่เป็นเรื่องราวของเจ้าชายน้อยนั้น เราชอบช่วงต้นที่นักบินวาดรูปแกะแบบต่างๆแล้วเจ้าชายน้อยไม่พอใจ แต่พอนักบินวาดกล่องแล้วบอกว่ามีแกะอยู่ในนั้น เจ้าชายน้อยก็พอใจกับแกะที่มองไม่เห็นในกล่องนั้นมากๆ เราไม่แน่ใจว่าเนื้อหาตรงส่วนนี้หมายถึงอะไร แต่มันทำให้เรานึกถึงความยิ่งใหญ่ของพลังทางจินตนาการน่ะ 

7.เนื้อหาตรงช่วงท้ายของหนังก็น่าสนใจมากๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าชายน้อยโตมาแล้วกลายเป็น loser ที่น่าเศร้าคนนึง อันนี้มันทำให้เรานึกถึงตัวเราเองมากๆ เพราะตอนเด็กๆเราก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกจินตนาการหนักมาก เราเคยชอบอ่านนิยายมากๆ และก็ชอบจินตนาการถึงนิยายต่างๆในหัวของเรา แต่พอเราโตขึ้น จินตนาการของเราก็ค่อยๆมอดดับลงเรื่อยๆ และเราต้องหมกมุ่นกับการหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง คือแค่การหาเงินมาเพื่อให้เพียงพอต่อปัจจัย 4 นี่มันก็ทำให้เราหมดเวลาไปเกือบทั้งวันแล้ว เพราะฉะนั้นพอเราได้เห็นเจ้าชายน้อยตอนโตในหนังเรื่องนี้ มันก็เลยทำให้นึกถึงตัวเองในแง่นึง

8.แต่พอดูถึงตอนจบแล้ว เราก็ไม่ได้ชอบหนังในระดับสุดๆถึงขั้น A+30 นะ ซึ่งสาเหตุสำคัญคงเป็นเพราะเราเองก็ยังไม่ได้เข้าใจตัวบทประพันธ์ดั้งเดิมด้วยแหละ แต่ก็ชอบหนังเรื่องนี้มากๆในแง่ที่มันไม่ได้เอาบทประพันธ์ดั้งเดิมมาเล่าแบบทื่อๆตรงๆ แต่เอามาดัดแปลงให้กลายเป็นเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงกับโลกยุคปัจจุบัน และมีการเอาตัวละครในบทประพันธ์ดั้งเดิมมาจินตนาการต่อยอดด้วย

No comments: