THE LITTLE PRINCE (2015, Mark
Osborne, animation, A+20)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.เราหลับไปช่วงนึงตอนดู ตอนแรกก็นึกว่าคงเป็นเพราะร่างกายเราไม่พร้อมเอง เพราะเราดูในวันธรรมดาหลังเลิกงาน
ตอนประมาณบ่าย 4 โมง ซึ่งเป็นช่วงที่เรามักจะง่วง
แต่ปรากฏว่าเพื่อนๆ cinephiles หลายคนก็หลับตอนดูหนังเรื่องนี้เหมือนกัน
ก็เลยไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะร่างกายเราไม่พร้อมเอง หรือหนังมันชวนง่วงจริงๆ
ก่อนหน้านี้เราเคยดูหนังเรื่อง SAINT-EX
(1996, Anand Tucker) ที่สร้างจากชีวประวัติของ Antoine de
Saint-Exupéry ผู้ประพันธ์เจ้าชายน้อย จำได้ว่าหนังก็ดีประมาณนึง
แต่เราก็หลับตอนดู SAINT-EX เหมือนกัน
2.เราเคยอ่านหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราก็เลยอ่านไม่รู้เรื่องเลย 555 และไม่ได้กลับมาอ่านอีกตอนโต
เพราะฉะนั้นเราก็เลยไม่ได้เป็นแฟนของหนังสือเล่มนี้ และก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมันเลยด้วย
เราจำได้แต่ว่าตอนเป็นเด็กเราอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง
3.สิ่งที่ชอบมากในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คงเป็นงานด้านภาพในส่วนที่เล่าเรื่องเจ้าชายน้อย
เราว่างานด้านภาพในส่วนนั้นงดงามมากๆ
4.เรื่องราวของแม่กับลูกสาวในยุคปัจจุบันก็เป็นส่วนที่เราชอบประมาณนึงนะ
เราชอบมากๆตั้งแต่ตอนที่ลูกสาวตอบคำถามตอนสอบสัมภาษณ์ไม่ได้
เพราะเตรียมคำตอบมาไม่ตรงกับคำถามน่ะ เพราะเรารู้สึกว่าเราก็มีปัญหาคล้ายๆกับแม่+ลูกสาวในหนังเรื่องนี้เหมือนกัน
นั่นก็คือบางทีเรามักจะหมกมุ่นกับการวางแผนชีวิตล่วงหน้า
ซึ่งจะเห็นได้จากการที่เราชอบจัด “ตารางชีวิตฮิสทีเรีย”
ของตัวเองเวลาเทศกาลหนังต่างๆจัดงานฉายชนกัน
แต่ทุกครั้งมันจะต้องเกิดเหตุชิบหายๆอะไรขึ้นมาในแต่ละวัน
ที่ทำให้ตารางชีวิตที่วางแผนไว้รวนไปหมด แล้วเราก็จะรู้สึก “เครียดมาก” กับการต้องรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าที่คาดเดาไม่ได้
และกับการแก้ตารางชีวิตใหม่ในแต่ละวันตามปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น
ซึ่งจริงๆแล้วประเด็นนี้อาจจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญของ
THE LITTLE PRINCE เวอร์ชั่นนี้ก็ได้นะ
แต่เป็นประเด็นที่เราเอามาโยงกับชีวิตตัวเองได้ง่ายที่สุดเวลาดูหนังเรื่องนี้น่ะ
นั่นก็คือประเด็นเรื่อง ความพยายามจะควบคุมชีวิต , ความพยายามจะจัดชีวิตให้ลงตัว
เป๊ะ เป๊ะ ควบคุมทุกอย่างให้เป็นระเบียบ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้จริงหรอก
เพราะชีวิตเรามักจะต้องรับมือกับปัญหาเฉพาะหน้าที่คาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ
5.ชอบความเห็นของคนดูคนนึงมากๆที่เขามองว่า
หนังเรื่องนี้เหมือนเป็นการเสียดสีนิสัยของคนเยอรมันโดยมองจากสายตาของคนฝรั่งเศส
เพราะเราว่ามันก็อาจจะเป็นจริงอย่างนั้น เพราะนิสัยการทำอะไรทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบแบบแผนของตัวละครแม่ในหนังเรื่องนี้
ในแง่นึงมันก็ทำให้เรานึกถึงหนังอย่าง HOW TO LIVE IN THE GERMAN
FEDERAL REPUBLIC (1990, Harun Farocki, A+30) ที่เพิ่งฉายที่รีดดิ้งรูมไปในปี
2014 ที่แสดงให้เห็นถึงชีวิตคนเยอรมันที่อยู่ภายใต้ระเบียบแบบแผนเป๊ะ
เป๊ะไปเกือบทุกอย่าง ในขณะที่ตัวละครชายชราข้างบ้านในหนังเรื่องนี้
เหมือนเป็นตัวแทนของคนฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยจินตนาการและความรักในการใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี
โดยส่วนตัวแล้วเรามองว่าคนเราคงต้องมีทั้งสองส่วนในตัวเองนะ
คงต้องรักษาสมดุลระหว่างทั้งสองส่วนในตัวเองไว้ให้ดี
ทั้งจินตนาการเสรีและความเป็นระเบียบ เพราะถ้าทำตัวเสรีเกินไป
มันก็อาจจะเป็นอย่างตอนที่ชายชราในเรื่องขับรถออกมาจากบ้านแล้วไปไม่ถึงจุดหมาย
เพราะการทำตัวแบบนั้นมันอยู่ไม่ได้ในโลกแห่งความเป็นจริง
แต่ถ้าทำตัวเคร่งครัดและสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆที่ไม่จำเป็นให้กับชีวิตตัวเองมากเกินไป เราก็อาจจะไม่มีความสุขในชีวิต เหมือนอย่างแม่+ลูกสาวในเรื่องนี้
และเหมือนอย่างตัวละครเจ้าชายน้อยตอนโต และเราอาจจะรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันในชีวิตไม่ได้ดีด้วย
6.ในส่วนที่เป็นเรื่องราวของเจ้าชายน้อยนั้น
เราชอบช่วงต้นที่นักบินวาดรูปแกะแบบต่างๆแล้วเจ้าชายน้อยไม่พอใจ
แต่พอนักบินวาดกล่องแล้วบอกว่ามีแกะอยู่ในนั้น เจ้าชายน้อยก็พอใจกับแกะที่มองไม่เห็นในกล่องนั้นมากๆ
เราไม่แน่ใจว่าเนื้อหาตรงส่วนนี้หมายถึงอะไร แต่มันทำให้เรานึกถึงความยิ่งใหญ่ของพลังทางจินตนาการน่ะ
7.เนื้อหาตรงช่วงท้ายของหนังก็น่าสนใจมากๆ
ที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าชายน้อยโตมาแล้วกลายเป็น loser ที่น่าเศร้าคนนึง
อันนี้มันทำให้เรานึกถึงตัวเราเองมากๆ เพราะตอนเด็กๆเราก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกจินตนาการหนักมาก
เราเคยชอบอ่านนิยายมากๆ และก็ชอบจินตนาการถึงนิยายต่างๆในหัวของเรา
แต่พอเราโตขึ้น จินตนาการของเราก็ค่อยๆมอดดับลงเรื่อยๆ
และเราต้องหมกมุ่นกับการหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง คือแค่การหาเงินมาเพื่อให้เพียงพอต่อปัจจัย
4 นี่มันก็ทำให้เราหมดเวลาไปเกือบทั้งวันแล้ว
เพราะฉะนั้นพอเราได้เห็นเจ้าชายน้อยตอนโตในหนังเรื่องนี้
มันก็เลยทำให้นึกถึงตัวเองในแง่นึง
8.แต่พอดูถึงตอนจบแล้ว เราก็ไม่ได้ชอบหนังในระดับสุดๆถึงขั้น A+30 นะ
ซึ่งสาเหตุสำคัญคงเป็นเพราะเราเองก็ยังไม่ได้เข้าใจตัวบทประพันธ์ดั้งเดิมด้วยแหละ แต่ก็ชอบหนังเรื่องนี้มากๆในแง่ที่มันไม่ได้เอาบทประพันธ์ดั้งเดิมมาเล่าแบบทื่อๆตรงๆ
แต่เอามาดัดแปลงให้กลายเป็นเรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงกับโลกยุคปัจจุบัน
และมีการเอาตัวละครในบทประพันธ์ดั้งเดิมมาจินตนาการต่อยอดด้วย
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1.เราหลับไปช่วงนึงตอนดู ตอนแรกก็นึกว่าคงเป็นเพราะร
ก่อนหน้านี้เราเคยดูหนังเรื
2.เราเคยอ่านหนังสือ “เจ้าชายน้อย” ตอนที่เรายังเป็นเด็ก เราก็เลยอ่านไม่รู้เรื่องเล
3.สิ่งที่ชอบมากในภาพยนตร์เ
4.เรื่องราวของแม่กับลูกสาว
ซึ่งจริงๆแล้วประเด็นนี้อาจ
5.ชอบความเห็นของคนดูคนนึงม
โดยส่วนตัวแล้วเรามองว่าคนเ
6.ในส่วนที่เป็นเรื่องราวขอ
7.เนื้อหาตรงช่วงท้ายของหนั
8.แต่พอดูถึงตอนจบแล้ว เราก็ไม่ได้ชอบหนังในระดับส
No comments:
Post a Comment