Thursday, February 13, 2020

FROM MIYAMOTO TO YOU

FROM MIYAMOTO TO YOU (2019, Tetsuya Mariko, Japan, A+15)

1.Sosuke Ikematsu น่ารักสุดๆ แต่เสียดายที่เราไม่ชอบตัวละครที่เขาแสดง คือเราไม่ชอบผู้ชายแบบนี้น่ะ คือถ้าหากเขาคิดจะแก้แค้น เขาก็ควรจะตั้งสติ และใช้ปัญญาในการวางแผนการแก้แค้นอย่างแยบยล ไม่ใช่ทำอะไรแบบในหนังเรื่องนี้

2.แต่จริงๆหนังก็ไม่ได้เลวร้ายนะ แต่เราแค่ไม่ชอบตัวละครพระเอกน่ะ ก็เลยรู้สึกว่าการดูหนังเรื่องนี้เหมือนเป็นการสำรวจดู “ชีวิต อารมณ์ ความรู้สึกของ คนอื่น” ไปเรื่อยๆ

3. ตอนดูหนังเรื่องนี้จะนึกถึง HIMIZU (2011, Sion Sono) ด้วย เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้เหมือนจะนำเสนอคู่รักที่มีอาการฮิสทีเรีย โหวกเหวกโวยวาย อารมณ์พลุ่งพล่านตลอดเวลาเหมือนๆกัน แต่เราชอบ HIMIZU มากกว่าหนังเรื่องนี้ประมาณ 100 เท่า เพราะเรารู้สึกว่า HIMIZU “เข้าใจจิตใจเรา” อย่างแท้จริงน่ะ ในขณะที่ FROM MIYAMOTO TO YOU เป็นเหมือนการดูชีวิตคนอื่นๆ

 ANGEL SIGN (2019, A+)

--Prologue/Epilogue (Tsukasa Hojo, Japan, A+10)
--BEGINNING AND FAREWELL (Ken Ochiai, Japan, A+20)
--SKY SKY (Nonzee Nimibutr, Thailand, หลับ)
--30 MINUTES 30 SECONDS ( Ham Tran, Vietnam, A+20)
--A FATHER'S GIFT (Masatsugu Asahi, Japan, A+)
--BACK HOME (Kamila Andini, Indonesia, A+30)

1.เสียดายที่หลับๆตื่นๆตอนดูส่วนของไทย

2.รู้สึกว่าหนังฟูมฟายมากๆ และโดยรวมๆแล้วไม่ใช่หนังที่เข้าทางเรา แต่ชอบไอเดียตรงส่วน epilogue มากๆที่เอาตัวละครจากทุกตอนมาอยู่รวมกัน เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า คนเกือบทุกคนบนโลกนี้ต่างก็เคย “พลัดพรากจากคนที่ตัวเองรัก” มาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากจากสามี, ภรรยา, พ่อ, แม่ จากสาเหตุต่างๆ ทั้งโรคร้ายที่มาแบบฉับพลัน หรือแบบที่กินเวลาระยะหนึ่ง หรือจาก “ความอยุติธรรมในสังคม” แบบในตอนของอินโดนีเซีย

เราก็เลยชอบไอเดียของฉากจบ เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่า ความทุกข์ความโศกเศร้าของตัวละครแต่ละตัว จริงๆแล้วมันหนักหนาสาหัสมากๆ แต่มันไม่ได้ทำให้ตัวละครแต่ละตัวกลายเป็น “คนที่พิเศษกว่าคนอื่นๆในโลก” แต่มันทำให้ตัวละครแต่ละตัว “เป็นเพียงคนธรรมดาเหมือนคนอื่นๆในโลก”

มันเหมือนกับว่า ฉากจบของหนังเรื่องนี้ ทำให้เรามองใบหน้าของผู้คนแต่ละคนบนท้องถนน แล้วก็ตระหนักว่า คนเกือบทุกคน ต่างก็เคยสูญเสียคนที่ตัวเองรักสุดๆมาแล้วทั้งนั้น ชีวิตของคนธรรมดาแต่ละคน ต่างก็ล้วนต้องเคยประสบพบเจอกับความทุกข์ปิ้มว่าจะขาดใจแบบนี้มาแล้วทั้งนั้น

ตอนจบของหนังเรื่องนี้ ก็เลยทำให้นึกถึงตำนานธรรมะ เรื่องของนางกีสาโคตมี กับนางปฏาจารา ด้วย

No comments: