Friday, February 14, 2020

KILL ME, COP

1917 (2019, Sam Mendes, A+30)

1.ยอมรับเลยว่าเก่งสุดๆ กราบมากๆ แต่ถ้าหากเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆที่ชิงออสการ์หนังยอดเยี่ยม เราก็ชอบหนังเรื่องนี้น้อยกว่า PARASITE และ ONCE UPON A TIME…IN HOLLYWOOD นะ แต่อาจจะชอบมากกว่า JOKER, LITTLE WOMEN และ FORD V FERRARI ส่วน JOJO RABBIT, MARRIAGE STORY กับ THE IRISHMAN นั้น เรายังไม่ได้ดู

2.ชอบที่การใช้ลองเทคในหนังเรื่องนี้ ทำให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครเป็นอย่างมากน่ะ เหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในสถานที่และเวลานั้นๆด้วยตัวเอง

3.ช่วงที่เป็นลานกว้างๆนี่นึกถึงหนังของ Miklós Jancsó มากๆ โดยเฉพาะ RED PSALM (1972) กับ ELECTRA, MY LOVE (1974) เพราะ Jancsó ก็ชอบถ่ายลองเทคในลานกว้างๆเหมือนกัน

4.แต่นอกจาก “ความรู้สึกร่วมกับสถานการณ์อย่างรุนแรง” และ “ความตื่นตาตื่นใจในการถ่ายทำหนัง” แล้ว ตัวเนื้อเรื่องในหนังก็อาจจะไม่ได้สะเทือนใจเราอย่างรุนแรงมากเท่ากับหนังบางเรื่องน่ะ คือถ้าหากเทียบกับหนังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เราก็อาจจะอินกับ LIFE AND NOTHING BUT (1989, Bertrand Tavernier) และ A VERY LONG ENGAGEMENT (2004, Jean-Pierre Jeunet) มากกว่า เพราะหนังสองเรื่องนี้เล่าจากมุมมองของ “เมียที่ตามหาผัวที่สูญหายไปในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง” เราก็เลยอินกับหนังสองเรื่องนี้มากกว่า

หรือถ้าหากเทียบกับหนังสงครามด้วยกัน เราก็อาจจะอินกับ THE THIN RED LINE (1998, Terrence Malick) มากกว่า แต่เราอาจจะชอบ 1917 มากกว่า DUNKIRK (2017, Christopher Nolan) และ SAVING PRIVATE RYAN

ในแง่นึง เราชอบ 1917 มากพอๆกับ LA FRANCE (2007, Serge Bozon) น่ะ เพราะเราชอบหนังสงครามทั้งสองเรื่องไม่ใช่ในแง่ของ “ความสะเทือนใจจากเนื้อเรื่อง” แต่เป็นในแง่ขององค์ประกอบอื่นๆ เพราะเราชอบ LA FRANCE ในแง่ที่มันทำออกมาเป็น “หนังเพลง” ซึ่งมันดูขัดกับเนื้อหาของหนังที่เป็นสงครามโลกมากๆ

5.แอบรู้สึกว่า ถ้าหากเรากับเพื่อนๆได้ดู 1917 ก่อนไปฝึกรด.ที่เขาชนไก่ พวกเราคงฝึกรด.อย่างสนุกมากขึ้น มีอะไรให้ role play มากขึ้น 555

คือตอนที่ดู 1917 เราก็แอบนึกถึงตอนไปเขาชนไก่น่ะ จำได้ว่ามีอยู่ฐานนึงที่ต้องวิ่งๆหมอบๆ ทำเป็นหลบระเบิดจำลองอะไรทำนองนี้ ตอนนั้นจำได้ว่า เรากับเพื่อนๆแอบร้องเพลง RESCUE ME ของMadonna ไปด้วย ขณะวิ่งๆหมอบๆไปเรื่อยๆในสนามรบจำลอง

 KILL ME, COP (1988, Jacek Bromski, Poland, A+30)

1.เป็นหนังตำรวจจับผู้ร้ายที่เราว่าดูแล้ว “ไม่สนุก” เพราะมันไม่ได้เน้นความ thriller ลุ้นระทึกตื่นเต้นแบบหนังฮอลลีวู้ด และมันก็ไม่ใช่หนัง stylish แบบหนังของ Jean-Pierre Melville ด้วย คือจะว่ามันบันเทิงก็ไม่ใช่ จะว่ามันเป็นหนังอาร์ตก็ไม่ใช่ แต่เราก็ชอบหนังเรื่องนี้มากๆอยู่ดี เพราะเราว่า wavelength มันประหลาดดี เหมือนกับการได้กินอาหารพื้นบ้านของท้องถิ่นบางแห่งที่อาจจะอร่อยถูกปากมากๆสำหรับชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น และเป็นอาหารที่ไม่ได้พยายามทำรสชาติให้เข้าปาก “นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก” แต่อย่างใด 555

2.เหมือนหนังไม่ได้พยายามให้ผู้ชม identify ตัวเองกับทั้งฝ่ายตำรวจและอาชญากรเลยด้วย ซึ่งเราว่ามันประหลาดดี

3.ตัวละครสาวนักจิตวิทยานี่รุนแรงมากๆ ดูแล้วนึกถึงประสบการณ์จริงของเพื่อนคนนึงมากๆ ตัวละครในหนังเรื่องนี้เเป็นสาววัยกลางคนที่ขึ้นรถไฟ แล้วได้นั่งตรงข้ามกับชายหนุ่มคนนึง เธอใช้ความรู้ทางจิตวิทยาของเธอในการลอบสังเกตอากัปกิริยาของชายหนุ่มคนนี้ แล้วก็ประเมินได้ว่า เขาน่าจะเป็นผู้ร้ายที่กำลังหลบหนีตำรวจอยู่ เธอก็เลยเสนอตัวที่จะช่วยเหลือเขาในการหลบหนีตำรวจ เพราะเธอต้องการเขามากๆ และเธอก็ได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าเมื่อเขายอมมีอะไรกับเธอ

ส่วนเรื่องของเพื่อนเรานั้นไม่เหมือนกับเหตุการณ์ในหนังเสียทีเดียว เพราะเพื่อนของเราเคยไปจิกผู้ชายมาได้จากสนามหลวง และก็มีอะไรกัน แต่เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มารู้ทีหลังว่าเขาเป็นมือปืนจากราชบุรีที่ตำรวจกำลังตามล่าตัวอยู่

 RAFIKI (2018, Wanuri Kahiu, Kenya, A+30)

1.น่าจะเป็นหนังยาวของเคนยาเรื่องที่สองที่เราได้ดู ต่อจาก VEVE (2014, Simon Mukali) เราว่าในแง่ filmmaking หนังเรื่อง RAFIKI อาจจะไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก แต่เราก็ชอบหนังมากๆอยู่ดี รู้สึกว่าหนังมันเล่าเรื่องของมันเองได้ดีพอใช้ และเป็นหนังที่อาจจะไม่ได้ทะเยอทะยานอะไรมาก

2.สิ่งที่ประทับใจสุดๆในหนังรวมไปถึงสภาพบ้านเมืองของเคนยา ชอบที่หนังถ่ายทอดสภาพอาคารบ้านเรือน ที่อยู่อาศัยของตัวละครในเคนยาออกมา มันดูได้อารมณ์มากๆ และมันดูใกล้เคียงกับไทยด้วย โดยเฉพาะพวกเพิงขายของข้างทาง

3.ฉากที่ตัวละครเกย์กับเลสเบียนมานั่งอยู่ด้วยกันนี่ซึ้งมากๆ

4.นึกถึง DAKAN (1997, Muhammad Camara, Guinea) ซึ่งเป็นหนังเกย์จากทวีปแอฟริกาเรื่องแรกที่เราได้ดู จำได้ว่าตอนนั้นมันมาฉายที่ศูนย์ศิลปะวัฒนธรรมแสงอรุณ ถนนสาทร
https://www.imdb.com/title/tt0118917/?ref_=nv_sr_srsg_0

No comments: