Tuesday, February 08, 2022

THE MAESTRO: A SYMPHONY OF TERROR

 

THE MAESTRO: A SYMPHONY OF TERROR (2021, Paul Spurrier, F/BEYOND DEFINITION ไม่ทราบชีวิต)

 

หนังยังมีรอบฉายอยู่นะ ถ้าใครจะไปดูก็ยังไม่ควรอ่านที่เราเขียนจ้ะ

 

ดูรอบฉายได้ที่

https://www.facebook.com/maestroterror/?ref=page_internal

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

 

1.เป็นหนังที่ทำลายระบบระดับความชอบของเราจริง ๆ 555555 เพราะโดยปกติแล้วเราจะบอกได้ว่า เราชอบหนังเรื่องไหนมากขนาดไหน เหมือนเราสามารถเอาความชอบไม่ชอบในแต่ละส่วนของหนังแต่ละเรื่องมาหักลบกันได้โดยง่าย และระบุออกมาได้เลยว่าเราชอบหนังเรื่องนั้น         ๆ โดยรวมในระดับสุด ๆ (หรือ A+30) หรือชอบมากขนาดไหนกันแน่

 

ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้นะ แต่ก็ยอมรับว่ามัน “ทรงพลัง” ในแบบของมันเองจริงๆ  55555 นี่แหละที่เรียกว่าหนัง cult คือมันเหมือนไม่สามารถเอาหลักเกณฑ์ทางศิลปะใด ๆ ไปวัดมันได้ และมันมีพลังรุนแรงในแบบของตัวเอง ซึ่งถ้าหากคนไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย (อย่างเช่นเรา) แต่พลังรุนแรงในแบบของมันก็ย่อมสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมบางคนที่ชอบอะไรแบบนี้

 

แต่เราก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเราไม่ชอบหนังเรื่องนี้นะ เหมือนหนังมันมีอะไรบางอย่างที่จิตใต้สำนึกของเราต่อต้านมั้ง เราก็เลยรู้สึกไม่ดีขณะที่ดูหนังเรื่องนี้ คือดูเสร็จแล้วรู้สึกเหมือนเพิ่งตกท่อน้ำครำมา เหมือนร่างกายเราถูกแปดเปื้อนด้วยอะไรชั่วร้ายบางอย่าง หรือเหมือนเราเพิ่งอาบน้ำเมนส์มา อะไรทำนองนี้ 55555

 

2.คือแทนที่เราจะให้ F เฉย ๆ แบบหนังห่วย ๆ โดยทั่ว ๆ ไป เรารู้สึกว่าเราควรจดบันทึกไว้ด้วยว่า ถึงเราไม่ชอบหนังเรื่องนี้ มันก็เป็นหนังที่สร้างความประทับใจให้เราอย่างรุนแรงมากในหลาย ๆ อย่าง เราก็เลยให้เป็นเกรด “F/ไม่ทราบชีวิต” ก็แล้วกัน 55555

 

สิ่งที่เราชอบมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือการสร้าง characters ตัวละครแรงๆ มากมายหลายตัวมั้ง คือเอาจริงแล้วตัวละครประกอบในหนังเรื่องนี้มันเข้าทางเรามาก ๆ อย่างเช่น

 

2.1 ดร.อิงก้า คือเห็นสภาพเธอแล้วรู้เลยว่า ทำไมดร.อรุณ (Somtow Sucharitkul) ที่เป็นโรคจิตถึงทำอะไรเธอไม่ได้

 

2.2 นักข่าวสาวจากสำนักข่าวไทย-ออสเตรีย ที่เป็นเหมือน stalker ที่คลั่งไคล้ดร.อรุณอย่างรุนแรง

 

2.3 นักดนตรีสาวที่ชอบเปลือยกายเล่น cello

 

2.4 แม่ของ Luke ที่เป็นสาวญี่ปุ่นที่ทำหน้าทำตาที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้

 

2.5 Luke ที่โรคจิตมาก

 

2.6 เด็กชายที่ขายตัว

 

คือเราว่าหนังเรื่องนี้เหมือนมีองค์ประกอบที่เข้าทางเรามาก ๆ นั่นก็คือการรวมเอาตัวละครโรคจิตสิงสู่หลาย ๆ ตัวมาปะทะกันน่ะ ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบหนังเป็นอาหารแล้ว เราก็อาจบอกได้ว่า ถึงแม้ ingredients ของหนังเรื่องนี้จะเข้าทางเราอย่างสุด ๆ แต่วิธีการปรุงของมันไม่เข้าทางเรามาก ๆ เรากินอาหารจานนี้แล้วรู้สึกเหมือนกินน้ำล้างตีนหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้เราอยากขย้อนมันออกมา แต่ถ้าหากพิจารณาดู ingredients ซึ่งได้แก่ตัวละครแรง ๆ หลาย ๆ ตัวแล้ว เราว่ามันก็เป็น ingredients แบบเดียวกับที่เราชอบในหนังของ David Cronenberg (MAPS TO THE STARS), Paul Verhoeven (BENEDETTA) และ John Waters น่ะ คือดูหนังเรื่องนี้แล้วก็เสียดาย รู้สึกว่าถ้าหากมันทำดี ๆ เราอาจจะได้หนังแบบ John Waters ก็ได้ หรืออาจจะได้หนังแบบ SALO, OR THE 120 DAYS OF SODOM (1975, Pier Paolo Pasolini) ก็ได้

 

3.การแสดงโดยรวมฮาสุด ๆ คือเราว่านักแสดงหลายคนเล่นแล้วไม่สมจริง แต่มันฮามาก ๆ แบบหนังสั้นหลาย ๆ เรื่องในเทศกาลมาราธอนน่ะ และเราขอยอมรับว่าเราดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงละครทีวี “คุณหญิงบ่าวตั้ง” เวอร์ชั่นสุนันทา นาคสมภพมาก ๆ คือมันมีเสน่ห์คล้าย ๆ กันเลย คือมันไม่สมจริง แต่มัน cult มาก ๆ โดยเฉพาะตัวสมเถาที่ให้การแสดงที่สามารถเทียบชั้นกับสุนันทา นาคสมภพใน “คุณหญิงบ่าวตั้ง” ได้

 

อย่างไรก็ดี ในขณะที่ “คุณหญิงบ่าวตั้ง” ถือเป็นละครทีวีที่เรามองว่า “ห่วยมาก แต่เราชอบความห่วยของมันอย่างสุด ๆ” เรากลับไม่รู้สึกแบบนั้นกับ THE MAESTRO ซึ่งก็คงเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัวน่ะ เพราะเรามองว่าเอาจริงแล้ว THE MAESTRO อาจจะดีกว่า “คุณหญิงบ่าวตั้ง” ด้วยซ้ำ เพราะมันอาจจะเล่าเรื่องได้สนุกกว่า แต่เหมือนเสน่ห์ของ “คุณหญิงบ่าวตั้ง” มันคือความกะหรี่กะหล่ำอะไรบางอย่างที่มันเข้าทางเรามาก ๆ น่ะ ในขณะที่  THE MAESTRO มันไม่ได้เน้นความกะหรี่กะหล่ำ แต่ไปเน้นความโหดหรือความวิปริตอะไรแทน หนังมันก็เลยไม่ได้เข้าทางเรา

 

4.เป็นหนังที่ดูจบแล้วงงมาก ๆ สรุปว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดมีอะไรเกิดขึ้นจริงบ้าง ตกลงตัวละครหลาย ๆ ตัวถูกฆ่าตายจริงไหม หรือว่าพวกเขาฟื้นคืนชีพขึ้นมา ทำไมตัวละครสองคนที่ฆ่าคนตาย ถึงได้ดูเหมือนประสบความสำเร็จในตอนจบ ไม่มีตำรวจไปจับพวกเขาในข้อหาฆาตกรรม หรือเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในโลกคู่ขนานที่ไม่ได้ยึดโยงกับตรรกะความเป็นจริงบนโลกเรา หรือเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการของคนบ้า 55555

 

 แล้วเด็กแต่ละคนไม่มีใครใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อโลกภายนอกบ้างเลยเหรอ ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ในหนังมันก็เกิดขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน

 

5.สรุปว่าเป็นหนังที่เราให้ F น่ะแหละ แต่ยอมรับว่ามัน “สุดตีน” ของจริง  555555

No comments: