MARIUPOLIS 2 (2022, Mantas
Kvedaravicius, Lithuania/France, about Ukraine, documentary, 112min, A+30)
1.เป็นหนังที่สร้างประสบการณ์การดูหนังแบบใหม่ให้เรา
คล้าย ๆ กับตอนที่ดู RUHR (2009, James Benning) เมื่อ12
ปีก่อน คือหนังเรื่องนี้ไม่ได้เหมือน RUHR นะ
แต่เหมือนเป็นหนังที่กระตุ้นให้เราค้นพบ approach ใหม่ ๆ
ในการดูหนังเหมือนกันทั้งสองเรื่องน่ะ
คือปกติแล้ว เวลาดูหนัง
บางทีมันก็สร้างความพึงพอใจให้ผู้ชมได้ด้วยเนื้อเรื่อง, การเร้าอารมณ์,
ข้อมูลที่น่าสนใจ (โดยเฉพาะหนังสารคดี) หรือบางทีก็เป็น
"มนตร์สะกด" (แบบหนังทดลอง, Marguerite Duras, Chantal Akerman,
Bela Tarr, etc.) แต่หนังบางเรื่องมันก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น
2.สิ่งที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือความรู้สึกที่เหมือนกับว่า
เราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในโซนสงครามจริง ๆ น่ะ ซึ่งมันจะเต็มไปด้วย moments ที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่งมองซากปรักหักพัง, กองขยะ
พร้อมกับได้ยินเสียงระเบิดอยู่ตลอดเวลา โดยไม่รู้ว่าระเบิดจะมาลงที่ตัวเราเมื่อไหร่
มันคือการจมอยู่ในความสิ้นหวัง ไร้ทางออก ทำอะไรแทบไม่ได้ไปเรื่อย ๆ
ซึ่งมันคือประสบการณ์จริงของชาวบ้านในยูเครนตั้งแต่ปลายเดือนก.พ.ปีนี้เป็นต้นมา
ซึ่งเอาจริง ๆ แล้ว moments เหล่านี้
ถ้าหากมันไปอยูในหนังปกติ มันคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อสุด ๆ เพราะมันดูเหมือนไม่มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นเลย
ได้แต่มองซากเมืองไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางเสียงระเบิด
และเราว่าหนังเรื่องนี้มันไปไกลกว่าหนังอาร์ทนิ่งช้า
miserabilism
ในแง่นึงด้วย เพราะถึงแม้ setting และอะไรต่าง
ๆ ในหนังเรื่องนี้อาจจะทำให้นึกถึงหนังของ Bela Tarr แต่มันไม่มี
"ความสวยงามด้านภาพ, ด้านการเคลื่อนกล้อง, ด้านการออกแบบฉาก, ด้านการร้อยเรียงเหตุการณ์"
แบบในหนังของ Bela Tarr การดูหนังเรื่องนี้มันเลยเหมือนเข้าไปใช้ชีวิตใน
setting ในหนังของ Tarr จริง ๆ โดยไม่มี
"ความงดงามทางภาพ" หรืออะไรแบบนั้นมาสร้างมนตร์มายาตราตรึงผู้ชม
และมันก็เลยทำให้ผู้ชมเข้าถึงความทุกข์ยากลำเค็ญของชาวบ้านในยูเครนได้อย่างหนักยิ่งขึ้น
เราก็เลยรู้สึกว่าประสบการณ์ตรงนี้มันใหม่มาก
ๆ สำหรับเรา และมันเป็น approach ที่น่าสนใจมากในการทำหนังสารคดีหรือหนังที่ต้องการถ่ายทอดความจริงที่โหดร้ายด้วย
3.เราว่าหนังเรื่องนี้มันต่างจากหนังสารคดีสงครามเรื่องอื่น
ๆ ที่เราเคยดูมาด้วยแหละ ทั้งสงครามปาเลสไตน์ (FIVE BROKEN CAMERAS ของ Emad Burnat + Guy Davidi), สงครามอิรัก ( HOMELAND
(IRAQ YEAR ZERO) ของ Abbas Fahdel), สงครามซีเรีย
(THE RETURN TO HOMS ของ Talal Derki), สงครามลิเบีย (TOMORROW TRIPOLI ของ Florent Marcie),
สงครามติมอร์ตะวันออก ( WHERE THE SUN RISES ของ
Grace Phan), etc. เพราะหนังสารคดีกลุ่มนี้มักจะนำเสนอ subjects
บางคนอย่างเฉพาะเจาะจง, ทำให้ผู้ชมได้รู้จักชีวิตของ
subjects เหล่านั้น และรู้สึกผูกพันกับ subjects เหล่านั้น หรือใช้ voiceover เพือป้อนข้อมูลต่าง ๆ
ให้ผู้ชมเข้าใจง่าย
แต่ MARIUPOLIS 2 ไม่ได้ใช้วิธีการเหล่านั้นเลย
เราแทบไม่ได้รู้จักใครอย่างเฉพาะเจาะจงเลย
และหนังก็ไม่ได้ให้ข้อมูลผ่านทางเสียงบรรยายด้วย
ซึ่งการใช้วิธีการแบบนี้ทำให้หนังเรื่องนี้ดูยากกว่าหนังสารคดีสงครามเรื่องอื่น ๆ
เป็นอย่างมาก แต่หนังก็ยังคงประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดความทุกข์ยากของประชาชนนะ
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการใช้วิธีการที่ยากแบบนี้
เป็น choices
ตั้งแต่แรกของผู้กำกับอยู่แล้ว
หรือว่าเป็นเพราะผู้กำกับถูกทหารรัสเซียฆ่าตายก่อน
เขาก็เลยไม่สามารถทำให้หนังสมบูรณ์กว่านี้ได้
4.สิ่งที่หนักมากในหนัง
คือสถานะสีเทาของโบสถ์ในหนังเรื่องนี้ เพราะโบสถ์ในหนังตอนแรกทำท่าว่าจะดี
เพราะทางโบสถ์รับดูแลให้ที่พักแก่ชาวบ้านจำนวนมากที่สูญเสียบ้านจากระเบิดของรัสเซ๊ย
แต่หลังจากนั้นคนของโบสถ์
(ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด) ก็ประกาศในโบสถ์ในทำนองที่ว่า " เห็นมั้ยว่า
ถึงเกิดสงครามนี้ขึ้น God ก็ยังคง exists อยู่นะ เพราะโบสถ์ของเรายังคงดำรงอยู่ได้อย่างปลอดภัย ในขณะที่คนในโรงหนังโดนระเบิดตายไปแล้ว”
และหลังจากนั้นในช่วงท้ายของหนัง
โบสถ์ก็พยายามขับไล่ประชาชนออกไปจากโบสถ์ โดยให้เหตุผลว่าเสบียงใกล้หมดแล้ว
เสบียงที่มีเหลืออยู่ในตอนนี้มีเพียงพอสำหรับเจ้าหน้าที่ของโบสถ์จริง ๆ เท่านั้น
ชาวบ้านทุกคนต้องอพยพออกไปจากโบสถ์ แต่ชาวบ้านก็บอกว่า ก็ตัวเองไม่มีบ้านอยู่แล้ว
บ้านจำนวนมากถูกระเบิดทิ้งไปหมดแล้ว แล้วจะให้ตัวเองพาคนชราและลูกเด็กเล็กแดงอพยพออกไปอยู่ที่ไหน
5.หนังเรื่องนี้ทำให้ความหมายของคำว่า
“ชั่วหม้อข้าวเดือด” เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เพราะปกติแล้วเรามักจะคิดว่าคำว่า “ชั่วหม้อข้าวเดือด”
เป็นอะไรที่ไม่นาน แต่ในหนังเรื่องนี้ มันกลับกลายเป็นอะไรที่ยาวนานและทรมานใจมาก
ๆ เพราะชาวบ้านพยายามต้มหรือทำอาหารอะไรกินกันที่ลานนอกบ้าน พวกเขาก็ทำอาหารไปเรื่อย
ๆ ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังอยู่ไกล ๆ แต่อยู่ดี ๆ ระเบิดก็เหมือนจะถล่มลงมาที่ใกล้สถานที่ทำอาหารมาก
ๆ ผู้ชายจำนวนมากที่อยู่แถวนั้นก็วิ่งหลบเข้าอาคารกันหมด
แต่ผู้หญิงก็ยังคงคนหม้อซุปท่ามกลางเสียงระเบิดกระหน่ำยิงต่อไป คือดูแล้วรู้สึกลุ้นมาก
ๆ ว่า เมื่อไหร่อาหารจะเดือด เมื่อไหร่ซุปจะเสร็จ เราจะถูกระเบิดหรือถูกยิงตายไหมก่อนที่หม้อข้าวจะเดือด
คือนี่คือชีวิตจริงในโซนสงครามที่มันหนักมาก ๆ
No comments:
Post a Comment