Monday, December 26, 2022

SCALA (2022, Ananta Thitanat, documentary, 65min, A+30)

 

SCALA (2022, Ananta Thitanat, documentary, 65min, A+30)

 

1.ตอนดูหนังเรื่องนี้จะนึกถึงประโยคที่ว่า “Film is death at work” ซึ่งเราไม่แน่ใจว่าจริง ๆ แล้วใครเป็นคนพูดคนแรก และความหมายจริง ๆ ของมันคืออะไร แต่เราเอามาคิดเองเออเองว่า มันหมายความว่า “ภาพยนตร์คือการบันทึกภาพมัจจุราชขณะกำลังทำงานอยู่” เพราะภาพยนตร์เป็น “ภาพเคลื่อนไหว” เพราะฉะนั้นมันจึงบันทึก “ช่วงเวลา” ของสิ่งต่าง ๆ ขณะที่กล้องถ่ายสิ่งนั้นไปเรื่อย ๆ (ยกเว้นภาพยนตร์ animation) และเนื่องจาก “มนุษย์ทุกคนเดินหน้าเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วินาทีที่กำลังผ่านไป” เพราะฉะนั้นการที่กล้องถ่ายหนังบันทึกภาพสิ่งมีชีวิตใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะคนและสัตว์ ขณะที่ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ กำลังผ่านไป กล้องจึงได้บันทึกภาพคนและสัตว์ตัวนั้นขณะกำลังเดินหน้าเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วินาทีที่กำลังผ่านไปด้วย คนคนนั้นแก่ตัวลงเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วินาทีที่กำลังผ่านไปต่อหน้ากล้องถ่ายหนังนั้น และกล้องถ่ายหนังก็ได้บันทึกสิ่งนั้นเอาไว้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์แตกต่างจาก “ภาพถ่าย” และ paintings ด้วย

 

ซึ่งพอเราดู SCALA เราก็เลยรู้สึกว่าบางทีมันก็ไม่ใช่แค่ “การเดินหน้าเข้าใกล้ความตายในแต่ละวินาที” ของคนและสัตว์เท่านั้นที่กล้องถ่ายหนังได้บันทึกเอาไว้ เพราะในบางครั้งกล้องถ่ายหนังบางเรื่องก็อาจจะบันทึกการเดินหน้าเข้าใกล้ความตายของอาคารสถานที่บางแห่งเอาไว้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีของ “รักแห่งสยาม” (2007, Chookiat Sakveerakul), THE SCALA (2015, Aditya Assarat) และ SCALA ที่ต่างก็ช่วยกันบันทึกการเดินหน้าเข้าใกล้จุดสิ้นสุดในแต่ละวินาทีของโรงภาพยนตร์ Scala เอาไว้ในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน โดย LOVE OF SIAM ได้ช่วยบันทึกภาพโรงภาพยนตร์นี้ไว้ขณะอยู่ในวัยกลางคน, THE SCALA ได้ช่วยบันทึกภาพโรงนี้ไว้ขณะอยู่ในวัยชรา และ SCALA ได้ช่วยบันทึกภาพโรงหนังนี้ไว้หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว และศพของโรงภาพยนตร์นี้กำลังเสื่อมสลายลงเรื่อย ๆ ก่อนที่จะสูญสลายหายไปในที่สุด

 

เราก็เลยรู้สึกว่าหนังทั้ง 3 เรื่องนี้มันมีคุณค่ามาก ๆ ในแง่หนึ่ง เพราะมันได้ช่วยกันบันทึกภาพของ “สิ่งที่ไม่มีอยู่แล้วในปัจจุบันนี้” เหมือนกับหนังเรื่องต่าง ๆ ที่เคยบันทึกภาพ “ดาราภาพยนตร์ในอดีตที่ได้เสียชีวิตไปแล้วในปัจจุบันนี้”

 

กาลเวลาทำลายเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิตคน, สัตว์ และแม้แต่อาคารสถานที่บางแห่ง แต่ในบางกรณี ภาพยนตร์ก็ได้ช่วยบันทึกภาพคน, สัตว์ หรืออาคารนั้นไว้ในช่วงที่กำลังมีชีวิตอยู่ ภาพยนตร์บางเรื่องก็เลยเหมือนเป็นเครื่องรำลึกความทรงจำ หรือเครื่องปลอบประโลมใจบางอย่าง เพราะเราไม่สามารถปลุกคนที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ เราไม่สามารถทำให้อาคารที่ถูกทุบไปแล้วกลับคืนมาได้ แต่อย่างน้อยภาพยนตร์บางเรื่องก็ได้ช่วยบันทึกภาพสิ่งเหล่านั้นเอาไว้ก่อนที่มันจะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล

 

2.ชอบท่าทีของหนังเรื่อง SCALA ที่มีต่อ subject ของมันมาก ๆ ในระดับนึง เพราะหนังเรื่องนี้ approach ประเด็นของหนังโดยใส่ความเป็นชีวประวัติส่วนตัวเข้าไป และหนังก็บันทึกภาพบทสนทนากันของพนักงานโรงหนัง, การที่ผู้กำกับคุยกับพนักงานโรงหนัง, บรรยากาศต่าง ๆ ภายในโรง, การรื้อถอนโรง, การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยภายนอกโรง, และเล่าถึงประวัติของโรง, etc. โดยที่เหมือนไม่ได้ชี้นำอารมณ์คนดูใด ๆ เลยน่ะ คือหนังไม่ได้โหมประโคมว่า “อู้ย คนดูต้องเศร้านะ” และไม่ได้มีการตะโกนบอกคนดูใด ๆ เลยว่า “นี่เป็นอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ควรอนุรักษ์ไว้นะ” อะไรทำนองนี้ คือถ้าหากหนังเรื่องนี้จะมีความอาลัยอาวรณ์ มันก็เป็นความอาลัยอาวรณ์ที่ผู้กำกับอาจจะมีต่อสถานที่และผู้คนที่มีความสำคัญต่อตัวเธอเองในอดีต โดยที่หนังไม่ได้พยายามจะเรียกร้องให้ผู้ชมต้องฟูมฟายตามไปด้วยเลย

 

เพราะฉะนั้นการที่หนังเรื่องนี้ใช้ approach แบบนี้ มันก็เลยเข้ากับเรามาก ๆ ในระดับนึง เพราะโดยส่วนตัวแล้วเราก็มีความทรงจำทั้งที่ดีและไม่ดีต่อโรงหนังนี้และโรงหนังในเครือ APEX น่ะ 555555 (ซึ่งก็เหมือนโรงหนังทุกโรงนั่นแหละ ที่มันก็มีทั้งข้อดีและข้อด้อย เหมือนกับมนุษย์แหละมั้งที่มันก็ชั่ว ๆ ดี ๆ เทา ๆ อยู่ในคนคนเดียวกัน) เพราะฉะนั้นการที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ยกย่องเชิดชูโรงหนัง Scala ว่าเป็นอะไรที่ดีเลิศประเสริฐศรี แต่นำเสนอว่ามันเป็นโรงหนังที่มีความผูกพันต่อตัวผู้กำกับเป็นการส่วนตัว หนังเรื่องนี้ก็เลยไม่ได้ทำให้เรารู้สึกหมั่นไส้ 55555

 

3.ชอบการเก็บภาพบรรยากาศต่าง ๆ ในโรงหนังมาก ๆ คือถ้าหากมันผลักไปให้สุดทางกว่านี้ เราก็จะนึกถึงหนังแบบ HOTEL MONTEREY (1973, Chantal Akerman) เลย

 

4.ชอบส่วนที่เป็นชีวิตพนักงานโรงหนังด้วย ประทับใจมาก ๆ ทั้งเรื่องของพนักงานที่เรียนจบป.4 แต่ได้ทำงานที่นี่นานหลายสิบปี และเรื่องของผู้หญิงที่พยายามหาลู่ทางไปทำงาน live ขายของ

 

5.การรื้อถอนชิ้นส่วนต่าง ๆ ในโรงหนังก็น่าประทับใจมาก ๆ ทั้งในแง่ของ

 

5.1 หลาย ๆ อย่างเป็นสิ่งที่เรา “เห็น” แต่ไม่เคย “สังเกต” มาก่อน อย่างเช่นของประดับเพดานที่เป็นคล้าย ๆ ดาวเหลือง ๆ ดวงใหญ่ ๆ

 

5.2 ความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุตลอดเวลา 5555 คือเหมือนหนังได้บันทึกทั้งฉากผ้าม่านหล่น และอะไรต่อมิอะไรที่พร้อมจะหล่นใส่พนักงานขณะรื้อถอน

 

6. ส่วนที่เป็นอัตชีวประวัติของผู้กำกับเองก็รุนแรงมาก ๆ

 

7.การบันทึกภาพแมวก็ดีงามมาก ๆ

 

8.แต่เราว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราที่ได้จากหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่ “สิ่งที่อยู่ในหนัง” น่ะ แต่เป็น “การที่หนังเรื่องนี้กระตุ้นความทรงจำของเราที่มีต่อชีวิตในอดีต” เพราะเราก็ดูหนังในโรงเครือ APEX มาตั้งแต่ปี 1987 ได้มั้ง โดยเริ่มด้วยหนังฮ่องกงเรื่อง “เศรษฐีฉบับตี๋มีไว้ปึ้ก” และหลังจากนั้นเราก็ได้ดูหนังในเครือนี้เป็นประจำ เพราะฉะนั้นการดูหนังเรื่องนี้ก็เลยกระตุ้นความทรงจำของเราที่มีต่ออดีตของตัวเองอย่างรุนแรงสุด ๆ

 

ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในหนังเรื่อง SCALA แต่เป็นการบันทึกความทรงจำของตัวเองว่า หนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงอดีตอะไรบ้าง 55555

 

8.1 หนังเรื่องแรก ๆ ที่ได้ดูในโรงเครือ APEX รวมถึง “ฉันผู้ชายนะยะ” (1987, ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) , นางนวล (1987, ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล) และ “โอม สู้แล้วอย่าห้าม” (1987, O Sing-Pui)

 

8.2 ปกติเราไม่ค่อยได้นั่งล่าง ๆ ชิดขอบจอ เพราะโรงหนังเครือนี้มันมีขนาดใหญ่มาก ถ้านั่งใกล้ ๆ จอ เราต้องแหงนคอดู แต่จำได้ว่ามีครั้งนึงที่คนแน่นโรงมาก และเราก็เลยจำเป็นต้องเลือกที่นั่งข้างล่าง ๆ ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นเราไปดูเรื่อง BORN ON THE FOURTH OF JULY (1989, Oliver Stone) ที่โรงสกาลามั้ง แล้วต้องแหงนคอดูแบบตั้งบ่ามาก ๆ เป็นประสบการณ์ที่เข็ดมาก ๆ 555

 

8.3 หนึ่งในประสบการณ์แย่ ๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดจาก “โรงหนัง” หรือเกิดจาก “ตัวฟิล์มที่นำมาฉาย” ก็คือตอนที่ไปดูหนังเรื่อง THE PIANO (1993, Jane Campion) แล้วเรารู้สึกว่าภาพมันมัว ๆ มันไม่สดใสเอาเสียเลย คือดูหนังที่นำมาฉายทางโทรทัศน์แล้วยังได้เห็นภาพสีสดใสเต็มอิ่มกว่าเสียอีก แต่เราก็ไม่แน่ใจว่า มันเป็นเพราะเครื่องฉายมันเก่า แล้วหลอดไฟมันเลยไม่ค่อยสว่าง หรือเป็นเพราะตัวฟิล์มที่นำมาฉายมันเป็นก็อปปี้ที่ไม่ดี

 

8.4 แต่เหมือนระยะหลัง ๆ ก็เกิดปัญหาแบบนี้อีกนะ คือเหมือนเวลาดูหนังในโรงลิโดหรือสกาลาบางเรื่องแล้วเราจะรู้สึกว่าภาพมันมืดเกินไป และเราก็ไม่ได้รู้สึกอยู่คนเดียว เพราะจำได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งดู CAROL (2015, Todd Haynes) ทั้งในโรงลิโดและในโรงเครือใหญ่ แล้วเพื่อนบอกว่าความสว่างของภาพมันแตกต่างจากกันอย่างเห็นได้ชัด

 

8.5 อีกหนึ่งความทรงจำแย่ ๆ ก็คือว่า บางทีโรงสกาลาปิดม่านก่อนฉาย end credit จบ หรือบางทีก็ปล่อยให้คนดูรอบต่อไปเดินเข้ามาในโรงเลย ทั้ง ๆ ที่ end credit รอบก่อนหน้านั้นยังฉายไม่จบ

 

8.6 แต่หนึ่งในสิ่งที่ชอบมากที่สุดในโรงเครือ apex ก็คือว่า มันมีรอบ 10.00 น.ในวันเสาร์อาทิตย์ เราก็เลยเป็นแฟนขาประจำของรอบ 10.00 น.ในโรงเครือนี้ เพราะมันช่วยให้เราจัดตารางชีวิตฮิสทีเรียในการดูหนังได้ง่ายขึ้นมาก ๆ

 

8.7 จำได้ว่าในช่วงต้นทศวรรษ 2000 มีโอเปอเรเตอร์ชายของโรงหนังเครือนี้โด่งดังขึ้นมาเพราะอัธยาศัยที่ดีในการรับโทรศัพท์ของเขาด้วย เหมือนหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจเคยสัมภาษณ์เขาด้วยนะ และนิตยสาร “สารคดี” ก็เคยสัมภาษณ์เขาด้วยเช่นกัน อ่านได้ที่นี่
https://www.sarakadee.com/2018/05/28/operator-lido/

 

8.8 นึกถึงตอนช่วง Bangkok International Film Festival นำหนังบางเรื่องมาฉายที่โรงหนังสยามมาก ๆ ถ้าหากจำไม่ผิด เราได้ดูทั้ง RIGHT NOW (Benoit Jacquot), CLEAN (Olivier Assayas), VERA DRAKE (Mike Leigh) และ FACING WINDOWS (2003, Ferzan Ozpetek, Italy) ที่โรงหนังสยาม

 

9.สรุปว่าในแง่หนึ่งเราก็เศร้าใจกับการสูญสลายหายไปของโรงหนังสกาลา เพราะมันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอดีตของเราตั้งแต่ปี 1987 เป็นต้นมา แต่ในแง่หนึ่ง การที่มีหนังเรื่อง SCALA อยู่บนโลกนี้ มันก็ทำให้เรารู้สึกว่า อย่างน้อยโรงหนังสกาลาก็ยังโชคดีกว่าโรงหนังอื่นๆ อีกหลายโรงที่อยู่ในความทรงจำของเรา เพราะอย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็ได้ช่วยบันทึกภาพการเสื่อมสลายของโรงหนังสกาลาเอาไว้ ในขณะที่โรงหนังสามย่าน, รามา, แมคเคนนา, ฮอลลีวู้ด, เอเธนส์ ที่ต่างก็เคยมีบทบาทสำคัญในชีวิตของเรา ต่างก็ล้วนสูญสลายหายไป โดยแทบไม่มีหนังเรื่องไหนได้บันทึกไว้ และเราก็ไม่เคยถ่ายภาพโรงหนังเหล่านี้เก็บไว้ด้วย เพราะในยุคนั้น “กล้องถ่ายรูป” ถือเป็นสิ่งที่แพงเกินไปสำหรับคนจน ๆ อย่างเรา เพราะฉะนั้นหนังเรื่อง SCALA ก็เลยทำให้เราทั้งรู้สึกเศร้าใจ (กับการจากไปของโรงหนัง) และดีใจ (ที่มีคนบันทึกภาพมันเอาไว้) และหนังเรื่องนี้ก็ทำให้เราหวนคิดถึงโรงหนัง STAND ALONE อีกหลายโรงในความทรงจำของเราด้วย

No comments: