Monday, September 16, 2024

GASTRITIS

 

ช่วงที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าเราถูกกลุ่มลูกสมุนเจ้าแม่จำปวย ทำพิธีเสกตะปูกับหนังควายเข้าท้องเรา วันนี้เราก็เลยไปโรงพยาบาล ทำ gastroscopy (ส่องกล้องกระเพาะ) กับ colonoscopy (ส่องกล้องลำไส้ใหญ่) เพื่อหาตะปูกับหนังควายในช่องท้อง ผลปรากฏว่า ไม่เจอตะปูกับหนังควายแต่อย่างใด

 

แต่หมอตรวจพบ mild inflammation ในกระเพาะเรา ซึ่งเราเดาว่าไอ้ตัวนี้แหละ ที่ทำให้เราเจ็บปวดทุกข์ทรมานกับท้องไส้ของเราในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา

 

และหมอก็ตรวจพบก้อนเนื้อ 5 ก้อนในลำไส้ใหญ่ของเราด้วย ตอนนี้ส่งก้อนเนื้อไปตรวจที่แล็บอยู่ ผลจะออกมาในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่ใช่มะเร็ง

 

รูปที่เราแปะไว้เป็นรูปจาก “กระเพาะ” ของเรานะ ไม่ใช่ “ลำไส้ใหญ่” ไม่ต้องตกใจไปจ้ะ 55555

 

ผลการตรวจสุขภาพ พบว่า เราอาจจะเป็น “คราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ” ด้วย แต่ถ้าจะตรวจว่าเราเป็นโรคนี้จริงหรือเปล่า เราอาจจะต้องเสียค่าตรวจเพิ่มอีก 15,000 บาท เราก็เลยไม่ตรวจดีกว่า

 

(สิ่งที่เขียนข้างบนเป็น fiction กับ nonfiction ผสมกัน เพื่อน ๆ คงเดาได้อยู่แล้วว่าส่วนไหนเป็น fiction ส่วนไหนเป็น nonfiction 55555)

 

Saturday, September 14, 2024

TAKLEE GENESIS

 

ลูกหมีไปดู THE FLOOR PLAN บ้านวิกลคนประหลาด (2024, Junichi Ishikawa, Japan, A+25) แล้วเธอได้แรงบันดาลใจ ลูกหมีก็เลยออกแบบ “บ้านซ่อนผัว” สำหรับ teddy bears ร่านรักที่อยากซ่อนผัวหลาย ๆ คนไว้ในบ้านหลังเดียวกัน

 ----

TAKLEE GENESIS (2024, Chookiat Sakveerakul, A+30)

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

--

--

--

--

--

1.อาจจะเป็นหนังที่เราดูแล้ว “นับถือ” มากกว่า “ชอบเป็นการส่วนตัว” นะ เพราะเราชอบความตั้งใจ, ความพยายาม, ไอเดีย, ทัศนคติ อะไรต่าง ๆ ในหนัง แต่หนังอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบทางอารมณ์ความรู้สึกกับเราเป็นการส่วนตัวในระดับที่รุนแรงสุดขีดอะไรทำนองนั้นน่ะ

 

2.สิ่งที่ชอบมากสิ่งแรกก็คือ “ความซับซ้อนของบท” เพราะเรารู้สึกชอบมากที่เวลานางเอกพยายามจะแก้ปัญหาอะไรก็ตาม แล้วมันก็แก้ไม่ได้สักที มันเหมือนไม่เกิดอะไรที่ win win ทั้งสองฝ่ายในเกือบทุก ๆ สถานการณ์ อย่างเช่นตอนที่ “บ้านเชียง” ถ้าหากนางเอกจะช่วยพ่อ คนในบ้านเชียงก็อาจจะโดนซอมบี้กิน, หรือในโลกอนาคต ถ้าหากนางเอกจะช่วยพ่อกับลูกสาว มันก็อาจจะเป็นการทำลายเกราะกำบังสำหรับกลุ่มขบถแห่งโลกอนาคต และในขณะเดียวกัน จำนูญ (ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล) และก้อง (วนรัตน์ รัศมีรัตน์) ต่างก็มี agenda ของตัวเองที่ไม่สอดคล้องกับนางเอก เพราะฉะนั้นแทนที่หนังจะเลือกเส้นทางง่าย ๆ ด้วยการให้นางเอกเดินทางไปเก็บชิ้นส่วนแหวนวิเศษพร้อมกับช่วยคนอื่น ๆ ไปด้วยได้อย่างง่ายดาย การเดินทางของนางเอกมันกลับเป็นการไปสร้างความชิบหายให้คนอื่น ๆ แทน ปัญหาทุกอย่างมันเลยยุ่งเหยิงอีรุงตุงนัง ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ยิ่งแก้ยิ่งปวดหัวกันไปหมด เราก็เลยทึ่งมาก ๆ ที่บทภาพยนตร์เรื่องนี้ทวีความซับซ้อน ความยาก ความยุ่งเหยิงมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เนื้อเรื่องดำเนินไป แทนที่จะเลือกให้อะไรต่าง ๆ มันคลี่คลายได้ง่าย ๆ คลี่คลายไปทีละเปลาะ อะไรทำนองนี้

 

สิ่งหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจ แต่เราคิดถึงไปเอง ก็คือหนังเรื่องนี้ทำให้เราคิดถึงประโยคที่ว่า “กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด” เพราะเหมือนหนังจะบอกในทางอ้อมว่า วิธีแก้ที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่การรวบรวมชิ้นส่วนแหวนให้ได้ เพื่อจะได้ช่วยลูกสาวและพ่อของนางเอกเท่านั้น แต่วิธีแก้ที่ดีที่สุดอาจจะเป็นการ reset ทุกอย่างใหม่หมด ซึ่งเหมือนสิ่งนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นในตอนจบของภาคแรก ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด

 

3.ฉากที่อินมากเป็นพิเศษ คือฉากในปี 2024 หรือเปล่า ถ้าหากเราจำไม่ผิด ที่ทราย เจริญปุระกับวาเลนไทน์ ออกจากโรงหนัง แล้วเจอกับ

 

3.1 ซอมบี้

3.2 ไดโนเสาร์

3.3 ระเบิดนิวเคลียร์

 

คือเราชอบสุดขีดที่ตัวละครต้องเจอกับอะไรสามอย่างนี้พร้อมกัน นึกว่าบ้า คือถึงมึงฆ่าซอมบี้ได้ แล้วมึงจะฆ่าไดโนเสาร์ได้ยังไง แล้วถึงมึงฆ่าไดโนเสาร์ได้ มึงจะปัดระเบิดนิวเคลียร์ให้ไปตกที่อื่นได้ยังไง ถ้าหากมึงไม่ใช่ “แม่ชีนกยูง” 55555 แล้วหนังเรื่องนี้ทำให้เรานึกถึงตัวเราเองโดยที่หนังไม่ได้ตั้งใจด้วย เพราะเหมือนเวลาเราดูหนังเรื่องต่าง ๆ ในโรงภาพยนตร์ เราอาจจะลืมปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริงชั่วขณะ แต่เมื่อเราออกจากโรงภาพยนตร์ เราก็จะเริ่มกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง และคิดถึงปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตตัวเองในหลาย layers ตั้งแต่ปัญหาส่วนตัวของตัวเราเอง, ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย, ปัญหาโลกร้อน ภัยธรรมชาติ น้ำท่วม และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ ตั้งแต่จีน-ไต้หวัน, รัสเซีย-ยูเครน, ตะวันออกกลาง ประเทศเหล่านี้มันจะยิงระเบิดนิวเคลียร์ใส่กันเมื่อไหร่, etc. เพราะฉะนั้นฉากที่ตัวละครเจออุปสรรคใหญ่มาก 3 อย่างในเวลาเดียวกันในตอนนั้น ในแง่หนึ่งมันก็ทำให้เรานึกถึงตัวเราเองโดยที่หนังไม่ได้ตั้งใจไปด้วย 555

 

4.ชอบนิสัยอย่างนึงของสเตลล่า (Paula Taylor) ด้วย นั่นก็คือ เธอเป็นคนที่ชอบพูดตรง ๆ ในทุก ๆ สถานการณ์ ต้องการอะไร มีจุดประสงค์อะไร ก็พูดออกไปตรง ๆ ทื่อ ๆ ไม่มีอ้อมค้อมอะไรเลย ชอบที่ตัวละครตัวนี้มีความคงเส้นคงวาแบบนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราค่อนข้างชอบคนนิสัยแบบนี้นะ เพียงแต่ว่าถ้าหากคนที่พูดตรง ๆ แบบนี้ เป็นคนที่สนใจแต่ความต้องการของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะมีต่อคนอื่น ๆ คนคนนั้นก็ควรจะต้องพิจารณาข้อเสียด้านอื่น ๆ ของตนเองด้วยเหมือนกัน

 

ชอบที่หนังออกแบบตัวละคร “อิษฐ์” (Peter Corp Dyrendal) ให้มาเป็นคนที่ช่วยแก้จุดอ่อนของสเตลล่าในด้านนี้ด้วย เหมือนเขาเป็นนักเจรจาต่อรอง

 

5.ตัวละครอิษฐ์ ก็น่าสนใจดี เราชอบสุดขีดที่เขาเป็นนักเขียนนิตยสารต่วยตูนพิเศษ ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีอิทธิพลกับเรามากสุดขีดในสมัยมัธยมในทศวรรษ 1980 แต่ตอนแรกเราไม่ไว้ใจตัวละครตัวนี้เลยนะ นึกว่าเขาเป็นผู้ร้าย โดยเฉพาะฉากที่เขาเหมือนไม่แคร์ความเป็นความตายของชุมชนบ้านเชียงเลย

 

และการตัดสินใจของเขาในตอนหลังเราก็ไม่ไว้วางใจอยู่ดี คือถ้าหากหนังเรื่องนี้มีการสร้างภาคสองออกมา เราก็กลัวว่าพอถึงเวลาที่มีการเจรจาต่อรองจริง ๆ เขาก็อาจจะทรยศหักหลังกลุ่มกบฏ และหันไปจับมือกับฝ่ายรัฐบาลก็ได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราอาจจะคิดมากไปเอง เพราะเห็นตัวอย่างจากพรรคการเมืองบางพรรคมาแล้ว 55555

 

6.ตัวละครพ่อของสเตลล่าก็น่าสนใจมาก ทำให้เรานึกถึง Jim Thompson ซึ่งเป็นสายลับของรัฐบาลสหรัฐที่หายสาบสูญไป และเราก็รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้กับโครงการ Taklee Genesis ในหนังเรื่องนี้ ทำให้เรานึกไปถึง “ผลพวงของสิ่งที่สหรัฐเคยทำกับไทยในช่วงสงครามเย็น” การที่สหรัฐเข้ามาทำอะไรบางอย่างในไทยเพื่อต่อต้านโลกคอมมิวนิสต์ในยุคนั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจนถึงไทยในยุคปัจจุบันและอาจจะรวมไปถึงไทยในอนาคตด้วย ซึ่งประเด็นนี้เคยถูกพูดถึงมาแล้วในหนังอย่าง ALL THE THINGS YOU LEAVE BEHIND (2022, Chanasorn Chaikitiporn) และหนังสือ “ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี” ของณัฐพล ใจจริง  (แต่เรายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้นะ) เพียงแต่ว่าหนังและหนังสือเหล่านี้อาจจะไม่ใช่ “ความบันเทิงสำหรับผู้ชมในวงกว้าง” เหมือนอย่าง TAKLEE GENESIS เพราะฉะนั้นเราก็เลยชอบมาก ๆ ที่หนังเรื่อง TAKLEE นี้อาจจะพยายามสื่อสารประเด็นเหล่านี้กับคนในวงกว้าง

 

และพอหนังเรื่องนี้บอกว่า กองทัพสหรัฐตั้งฐานลับแบบนี้ไว้ในจุดอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย เราก็เลยแอบจินตนาการเล่น ๆ ว่า สหรัฐคงจะมีฐานลับแบบนี้อยู่ใน “ชิลี” และหลายๆ ประเทศในภูมิภาคอเมริกากลางและอเมริกาใต้ด้วยแน่ ๆ เลย เพราะในยุคสงครามเย็นนั้น สหรัฐก็เข้าไปหนุนรัฐบาลเผด็จการทหารในหลาย ๆ ประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา และรัฐบาลเผด็จการของประเทศลิ่วล้อสหรัฐเหล่านี้ก็จับประชาชนจำนวนมากไปเข่นฆ่า และนำศพคนเหล่านี้ไปโยนลงจากเฮลิคอปเตอร์ลงทะเลเป็นจำนวนมากในยุคทศวรรษ 1970-1980 (ดูเพิ่มเติมได้จากหนังของ Patricio Guzman และหนังการเมืองหลายๆ เรื่องของอาร์เจนตินา)

 

7.ส่วนตัวละคร “ดวงพร” (เจนจิรา พงพัศ) ในหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้นึกถึงความระทมของหญิงไทยที่รักกับทหาร/เจ้าหน้าที่สหรัฐในยุคสงครามเย็น เหมือนอย่างในหนังเรื่อง “ลำนำ, แม่โขงที่รัก” MEKHONG MON AMOUR (2023, Chittapol Paengwiangjan)

 

8.ฉากเปิดนี่เราชอบสุดขีดมาก ตอนช่วงแรก ๆ นึกถึง “ดงรกฟ้า” (2001, Chookiat Sakveerakul, 30min, A+30) ที่นำเสนอความลี้ลับน่าสะพรึงกลัวของป่าไทยเหมือนกัน

 

และพอฉากนี้มันจบลงด้วยการที่ศพจำนวนมากหล่นมาจากฟ้า ใน “เดือนพ.ค. 1992” (ถ้าหากเราจำไม่ผิด) เราก็เลยนึกถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ และเรื่องที่คนจำนวนมากหายสาบสูญไปในเหตุการณ์นั้น หาศพไม่เจอด้วย ซึ่งประเด็นเหล่านี้เคยถูกพูดถึงมาแล้วในหนังอย่าง VANISHING HORIZON OF THE SEA (2014, Chulayarnnon Siriphol) และ LOST, AND LIFE GOES ON เลือน แต่ไม่ลืม (2022, Sumeth Suwanneth, documentary) เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่หนังบันเทิงสำหรับผู้ชมในวงกว้างเหมือนอย่างหนังเรื่องนี้

 

การเลือก MAY 1992 เป็นจุดหักเหก็น่าสนใจดีด้วย เพราะมันเป็นจุดที่สงครามเย็นจบแล้ว สหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว สถานะของสหรัฐในสายตาของกลุ่มคลั่งชาติในไทยก็เลยอาจจะเปลี่ยนไป จากการที่สหรัฐกับกลุ่มคลั่งชาติในไทยเคยร่วมมือกันต่อต้านคอมมิวนิสต์มาก่อน แต่พอหลังจากสงครามเย็นจบลง กลุ่มคลั่งชาติในไทยก็จะค่อย ๆ กลายเป็นศัตรูของสหรัฐเสียเอง เพราะฉะนั้นการที่ตัวละครพ่อของสเตลล่าหายสาบสูญไปใน MAY 1992 ก็เลยเป็นอะไรที่น่าคิดมาก ๆ

 

9.ประทับใจสุดขีดที่หนังเรื่องนี้พูดถึง “บ้านเชียง” เพราะเหมือนนี่เป็นหนังเรื่องแรกในชีวิตที่เราเคยดูที่พูดถึงประเด็นนี้

 

คือถ้าหากตัด “บ้านเชียง” ทิ้งไป เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้น้อยลงในระดับนึง เพราะการได้เห็น “บ้านเชียง” ในหนังนี่ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเราอย่างแท้จริง ในขณะที่ตัวเราเองนั้นไม่ใช่ “แฟนหนังไซไฟ” อยู่แล้ว 5555 และการที่หนังเรื่องนี้พูดถึงประเด็นการเมืองไทยตั้งแต่ “สงครามเย็น”, พฤษภาทมิฬ เรื่อยมาจนถึงการต่อสู้ของเด็ก ๆ ยุคใหม่ มันก็เป็นสิ่งที่อาจจะพบได้ในหนังสั้นไทยหลาย ๆ เรื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะในหนังสั้นอย่าง NOSTALGIA (2022, Weerapat Sakolvaree) ที่พูดถึงตั้งแต่ม็อบดินแดงในทศวรรษ 2020 แล้วค่อย ๆ ไล่ย้อนกลับไปทีละเหตุการณ์นองเลือดจนถึง 6 ต.ค. 1976 อะไรทำนองนี้เหมือนกัน

 

คือเรารู้สึกว่า การพูดถึง “บ้านเชียง” ในหนังเรื่องนี้ มันทำให้เราเกิดความรู้สึกบางอย่างที่เราชอบมาก ๆ แต่เราบรรยายไม่ถูกน่ะ ไม่รู้จะใช้คำคุณศัพท์ไหนบรรยายถึงความรู้สึกนั้นดี คือ “หนังการเมืองไทย” โดยส่วนใหญ่ มักจะพูดถึงแค่ปัญหาในยุค 100 ปีที่ผ่านมา หรือพูดถึง “ความเป็นไทย” รักผืนแผ่นดินไทย ตั้งแต่ยุคปลายอยุธยาเป็นต้นมา อะไรทำนองนี้

 

แต่การย้อนไปถึงบ้านเชียง นี่มันไปไกลกว่ายุคที่มี “ประเทศไทย” และก่อนที่จะมี “รัฐชาติ” เสียอีกมั้ง มันก็เลยทำให้เราเกิดความรู้สึกรุนแรงมาก ๆ มันเหมือนเป็นการย้อนไปตระหนักถึง “ความเป็นสิ่งสมมุติ” ของ “รัฐชาติ” อะไรทำนองนี้ด้วย หรือทำให้เราตระหนักถึง “มนุษยชาติ” ในแบบที่เก่าแก่และเนิ่นนานกว่า “ความเป็นชาติ” ด้วย

 

ซึ่งก่อนหน้านี้มีหนังไทยเพียงแค่ไม่กี่เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกรุนแรงกับอะไรแบบนี้นะ ซึ่งหนังไทยที่ทำให้เรารู้สึกคล้าย ๆ กันนี้ก็ได้แก่หนังเรื่อง

 

9.1 LEVITATING EXHIBITION (2016, Ukrit Sa-nguanhai, video installation, 23min, A+30) ที่พูดถึงโรงแรมม่านรูดในจังหวัดนครปฐมในยุคปัจจุบัน แล้วย้อนไปจนถึงแผนที่ปโตเลมีในค.ศ. 100 ที่พูดถึง “ดินแดนสุวรรณภูมิ” คือหนังเรื่องนี้ทำให้เรามองนครปฐมย้อนไปจนถึงเมื่อ 2000 กว่าปีก่อน ก่อนยุคสุโขทัย ย้อนไปจนถึงยุคที่นครปฐมอาจจะมีอาณาจักรรุ่งเรือง ติดต่อค้าขายกับอียิปต์โบราณน่ะ หนังเรื่องนี้ก็เลยเป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้เรามองดินแดนไทยย้อนไปจนเก่ากว่ารัฐชาติแบบยุคปัจจุบันมาก ๆ เหมือนกับที่ TAKLEE GENESIS ทำให้เรามอง “ไทย” และ “อุดรธานี” ย้อนไปจนเก่าแก่กว่าการมีรัฐชาติ

 

9.2 MAY THE LAND BEAR WITNESS ธรณีนี่นี้เป็นพยาน (2024, Vacharanont Sinvaravatn, video installation, A+30)

 

เพราะวิดีโอนี้เล่าเรื่องตั้งแต่ปัญหาการเมืองไทยในยุคปัจจุบัน (ศพในแม่น้ำโขง) และปัญหาการเมืองไทยในอดีต โดยเฉพาะในยุคคอมมิวนิสต์ในทศวรรษ 1970-1980 แล้วก็ย้อนไปจนถึงยุคที่คนอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตเมื่อหลายพันปีก่อน วิดีโอนี้มันก็เลยเป็นการพูดถึงปัญหาการเมืองไทย และทำให้เราตระหนักถึงอะไรบางอย่างที่เก่าแก่กว่า “รัฐไทย” อย่างมาก ๆ ด้วยเหมือนกัน

 

ก็เลยสรุปว่า การพูดถึง “บ้านเชียง” นี่แหละ คือหนึ่งในสิ่งที่เราประทับใจที่สุดในหนัง TAKLEE เรื่องนี้

 

10. แต่ก็ขนลุกและชอบสุดขีดที่หนังเรื่องนี้นำเสนอเหตุการณ์ 6 ต.ค. นะ เพราะถึงแม้ประเด็นนี้มันไม่ใหม่สำหรับเรา และเป็นประเด็นที่เราอาจจะเคยดูมาแล้วในหนังสั้น/หนังนอกกระแสราว 100 เรื่อง แต่มันก็ถือเป็น “บาดแผลที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา” “บาดแผลที่ยังไม่ได้รับการชำระล้าง” น่ะ และก็อย่างที่เราเขียน ๆ ไว้แล้วว่า หนังเรื่องนี้มันเป็น “หนังกระแสหลักสำหรับผู้ชมในวงกว้าง” เราก็เลยนับถือมาก ๆ ที่หนังเรื่องนี้กล้าที่จะนำเสนอประเด็นนี้ออกมาในแนวทางของตัวเองได้อย่างน่าประทับใจมาก ๆ

 

11.ตัวละครในโลกอนาคตในหนังเรื่องนี้ มันก็ทำให้เรานึกถึงม็อบดินแดง, กลุ่มทะลุแก๊ส, etc. อะไรทำนองนี้มาก ๆ แต่เรารู้สึกว่าตัวละครกลุ่มนี้มันยังดูขาด “พลัง” อะไรบางอย่าง เราก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

 

12.แล้วจริง ๆ เราก็ไม่ได้เป็นแฟนหนังซอมบี้ด้วย ส่วน “ไดโนเสาร์” นี่โดยส่วนตัวเราไม่ชอบเลย 55555 เราไม่ใช่แฟนหนัง JURASSIC PARK, GODZILLA อะไรพวกนั้นเลย เราก็เลยไม่ได้ “ว้าว” มากกับซอมบี้และสัตว์ประหลาดในหนังเรื่องนี้ แต่เราก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร คือเราชอบที่หนังใส่อะไรแบบนี้เข้ามาเพื่อทำให้ตัวละครเจอแต่อุปสรรคขวากหนามลำเค็ญตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนสมัยไหนบนผืนแผ่นดินสยาม แต่เราอาจจะไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้เป็นการส่วนตัว

 

13.อีกจุดที่เราไม่อินเป็นการส่วนตัว คือเรื่อง “ความรัก” “ความหวัง” อะไรทำนองนี้ เพราะเรามักจะอินกับ “ความเกลียดชัง” และ “ความสิ้นหวัง” มากกว่า 55555

 

14.อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรา “นับถือ” หนังเรื่องนี้มากกว่า “ชอบเป็นการส่วนตัว” เพราะเราเป็นสายไสยาศาสตร์นี่แหละ 55555 เราก็เลยจะชอบหนังไสยาศาสตร์, ตรี อภิรุม, LONGLEGS, etc. อะไรแบบนี้มาก ๆ

 

คือหนังของคุณชูเกียรติที่เราชอบสุดขีดก็คือ “ดงรกฟ้า” กับ THE EYES DIARY (2014) นะ ซึ่งเป็นหนังแนวไสยาศาสตร์ทั้งสองเรื่อง

 

และถึงแม้เราจะเป็นแฟนต่วยตูนพิเศษ เราก็ไม่ได้เน้นอ่านคอลัมน์ทางวิทยาศาสตร์หรือมนุษย์ต่างดาวน่ะ เราเน้นไปที่คอลัมน์ “ประสบการณ์ปีศาจ” หรือพวกทวีปแอตแลนติส, ทวีป Lemuria, ทวีป Hyperboria อะไรพวกนี้มากกว่า

 

ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้เราอาจจะไม่ได้ชอบ TAKLEE อย่างรุนแรงเป็นการส่วนตัว แต่เรานับถือหนังเรื่องนี้มาก ๆ เพราะไทยมีการผลิตหนังแนวไสยาศาสตร์ออกมาเยอะมากแล้ว และควรจะมีการผลิตหนังไซไฟออกมาบ้าง โดยเฉพาะหนังไซไฟที่เล่นท่ายาก, ใส่ทุกอย่างที่อยากจะใส่ และเต็มไปด้วยประเด็นที่น่าสนใจมากมายแบบหนังเรื่องนี้

 

15.ในแง่นึงเราก็ประทับใจนะ ที่ปีนี้หนังไทยมีทั้ง OPERATION UNDEAD ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ (Kongkiat Komesiri), URANUS 2324 (Thanadol Nualsuth) และก็ TAKLEE GENESIS เหมือนหนังทั้งสามเรื่องนี้มีไอเดียที่น่าสนใจ และพยายามจะทำสิ่งที่แปลกใหม่ให้กับวงการหนังไทยเหมือนกัน ซึ่งเราก็ชอบไอเดียของหนังทั้งสามเรื่องนี้ และก็ชอบ TAKLEE GENESIS มากที่สุดในสามเรื่องนี้ เพราะเราว่า OPERATION UNDEAD นั้น “ไอเดียดี แต่หนังไม่ค่อยสนุก” ส่วน URANUS 2324 นั้น เราชอบไอเดียของหนังมากพอสมควร โดยเฉพาะช่วงท้ายที่เป็นอีก multiverse นึงที่ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายชนะสงครามโลกครั้งที่สอง แต่หนังก็ยังเหมือนขาดอะไรบางอย่าง

 

16.สำหรับเราแล้ว “ความชอบ” กับ “ความดีงาม” ของหนัง เป็นสิ่งที่แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยนะ เพราะฉะนั้นถึงแม้เราจะนับถือ TAKLEE GENESIS มาก ๆ, ชอบหนังเรื่องนี้มากในระดับนึง โดยเฉพาะไอเดีย, ประเด็น, ทัศนคติทางการเมือง, etc. และเราก็รู้สึกว่า ถ้าหากเทียบกับหนังไทยด้วยกันแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ถือเป็นหนังที่ดีมาก ๆ เรื่องนึง

 

แต่ถ้าหากถามว่า เราชอบหนังไซไฟของไทยเรื่องไหนเป็นการส่วนตัวในระดับที่มากสุดขีดแล้วล่ะก็ หนึ่งในนั้นก็ยังคงเป็นหนังเรื่อง FATHER & SON (2015, Sarawut Intaraprom) ค่ะ 55555555 ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังดี แต่นี่แหละคือหนังที่กูชอบอย่างสุดขีดคลั่งเป็นการส่วนตัว ไม่ต้องพึ่งซีจีเนียน ๆ, ทุนสร้างสูง หรือ big idea อะไรทั้งสิ้น แค่หนังนำเสนอ “ความเงี่ยนผู้ชายอย่างตรงไปตรงมา” และมันสอดคล้องกับ fantasy ทางเพศของเรา เราก็ชอบมันอย่างสุดขีดแล้ว

 

ก็เลยสรุปว่า ถ้าหากมีใครถามว่า หนังไซไฟของไทยเรื่องไหนเป็นหนังดี เราก็จะตอบว่า TAKLEE GENESIS แต่ถ้าหากมีใครถามว่า หนังไซไฟของไทยเรื่องไหนเป็นหนังที่เราชอบ เราก็จะตอบว่า FATHER & SON ค่ะ จบ 55555555555

LOS ANGELES PLAYS ITSELF

 

BALL PEOPLE (2023, Scott Lazer, USA, documentary, 13min, A+30)

 

หนังโดยปกติมักจะพูดถึงนักเทนนิส อย่างเช่น CHALLENGERS (2024, Luca Guadagnino), KING RICHARD (2021, Reinaldo Marcus Green), JOHN MCENROE: IN THE REALM OF PERFECTION (2018, Julien Faraut, documentary), WIMBLEDON (2004, Richard Loncraine) เราก็เลยชอบสุดขีดที่หนังเรื่อง BALL PEOPLE หันไปพูดถึง “เจ้าหน้าที่เก็บลูกเทนนิสในสนามแข่ง” แทน ซึ่งเป็นอะไรที่มักจะถูกมองข้ามมาก่อน

 

ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด งานนี้เป็นงานของคนที่วิ่งเก็บลูกเทนนิสในสนามแข่ง และคอยป้อนลูกเทนนิสให้นักเทนนิสในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็ไม่เคยดูการแข่งขันเทนนิสมาก่อน เราก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ตำแหน่งนี้เขาต้องทำอะไรบ้างในระหว่างการแข่งขัน แต่เราก็ชอบสุดขีดที่หนังเรื่องนี้เลือกโฟกัสไปยังจุดที่หนังเรื่องอื่น ๆ มักจะมองข้ามไป

 

https://www.lecinemaclub.com/now-showing/ball-people/

---

เพิ่มเติมรายชื่อหนังที่มีอะไรใกล้เคียงกัน แล้วออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกันโดยบังเอิญ

 

74. HANGING UP (2000, Diane Keaton)

+ EVERYTHING IS FINE, WE’RE LEAVING (2000, Claude Mouriéras, France)

 

หนังทั้งสองเรื่องพูดถึงสามสาวพี่น้องที่รับมือแตกต่างกันไปกับ “พ่อ” ของตัวเองที่อยู่ในวัยชราและล้มป่วย โดยในกรณีของ HANGING UP นั้น หนังนำแสดงโดย Diane Keaton, Meg Ryan และ Lisa Kudrow ส่วนใน EVERYTHING IS FINE, WE’RE LEAVING นั้น หนังนำแสดงโดย Miou-Miou, Sandrine Kiberlain และ Natacha Régnier ซึ่งเราชอบตัวหนัง EVERYTHING IS FINE, WE’RE LEAVING อย่างรุนแรงสุดขีดมาก ฉากที่ Sandrine Kiberlain เจอหน้าพ่อ (Michel Piccoli) เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีนี่ เราขอยกให้เป็น ONE OF MY MOST FAVORITE SCENES OF ALL TIME เลย

 

75. LA CRISE (1992, Coline Serreau, France)

+ FALLING DOWN (1993, Joel Schumacher)

 

หนังทั้งสองเรื่องนำเสนอตัวละคร “ชายวัยกลางคน” (Vincent Lindon + Michael Douglas) ที่เกิดอาการ “สติแตก” เหมือนกัน และนำไปสู่ความชิบหายต่าง ๆ ตามมา เราชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้มาก ๆ ในระดับพอ ๆ กัน ตัดสินไม่ได้ว่าชอบเรื่องไหนมากกว่า

---

LOS ANGELES PLAYS ITSELF (2003, Thom Andersen, documentary, 169min, A+30)

 

หนังในตำนานที่เราอยากดูมานาน 20 ปีแล้ว ในที่สุดก็ได้ดูเสียที โดยดูทาง MUBI กราบตีนที่สุดของที่สุด แน่นอนว่าเรายกให้เป็น ONE OF MY MOST FAVORITE DOCUMENTARIES OF ALL TIME เลย เพราะเราชอบ “หนังเกี่ยวกับหนัง” อยู่แล้ว และหนังเรื่องนี้ก็ตอบสนองความเป็น cinephile ของเราอย่างสุดขีด เพราะมันพูดถึงหนังมากกว่า 100 เรื่องที่เรายังไม่เคยดู และก็ทำให้เราอยากดูหนังเหล่านั้น และมันก็พูดถึงข้อมูลอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราไม่เคยรู้มาก่อนด้วย อย่างเช่น “คดีจริง” ที่เกี่ยวข้องกับหนังเรื่อง CHINATOWN และ L.A. CONFIDENTIAL และเรื่อง “เหตุการณ์นองเลือด” ต่าง ๆ ใน Los Angeles ในอดีต โดยเฉพาะ Zoot Suit Riots ในปี 1943 และ Watts Riots ในปี 1965 เพราะเราเกิดไม่ทันเหตุการณ์เหล่านี้ เราเกิดทันแค่เหตุการณ์ Rodney King ในปี 1992 เราก็เลยไม่เคยรู้มาก่อนว่า ลอสแองเจลิสเป็นเมืองที่เคยเกิดเหตุการณ์นองเลือดมาแล้วหลายครั้ง

 

กราบความรู้ของผู้กำกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ ทั้งในการจดจำหนังเป็นร้อย ๆ เรื่อง, จดจำแต่ละฉากในหนังว่าถ่ายทำที่ไหน ถนนอะไร ย่านไหนใน Los Angeles และชอบข้อมูลด้านสถาปัตยกรรมในหนังเรื่องนี้ด้วย

 

อยากดูหนังเป็นร้อย ๆ เรื่องที่ถูกนำเสนอในหนังสารคดีเรื่องนี้ โดยเฉพาะเรื่อง

 

1.FEMALE (1933, Michael Curtiz, William Dieterle, William A. Wellman)

 

2.THREE SMART GIRLS (1936, Henry Koster)

 

3.DOUBLE INDEMNITY (1944, Billy Wilder)

 

4.THE CRIMSON KIMONO (1959, Samuel Fuller)

 

5.THE EXILES (1961, Kent Mackenzie)

 

6.THE DISORDERLY ORDERLY (1964, Frank Tashlin)

 

7.L.A. PLAYS ITSELF (1972, Fred Halsted)

 

8.KILLER OF SHEEP (1978, Charles Burnett)

 

9.BUSH MAMA (1979, Haile Gerima)

 

10.BLESS THEIR LITTLE HEARTS (1983, Billy Woodberry)

 

11.AMERICAN ME (1992, Edward James Olmos)

 

ถ้าต้องฉาย LOS ANGELES PLAYS ITSELF ควบกับหนังเรื่องไหน เราก็คงฉายควบกับ

 

1. MISTY PICTURE (2021, Matthias Muller, Christoph Girardet) ที่เป็นการนำเอา found footage จากหนังหลายสิบเรื่องที่มีตึก World Trade Center ปรากฏในหนังมาตัดต่อเข้าด้วยกัน

 

2.THE RAPE OF BANGKOK ข่มขืนกรุงเทพ (2011, Wachara Kanha, Teeranit Siangsanoh, 90min) ที่เหมือนเป็นการนำเสนอ “กรุงเทพ” ในฐานะ “ตัวละคร” หรือ “subject” ของหนัง แทนที่จะใช้ “กรุงเทพ” เป็นเพียงแค่ฉากหลังของหนัง

Friday, September 13, 2024

UNINTENTIONAL TELEPATHY OF FILMMAKERS AROUND THE WORLD

 

หนังในจินตนาการ: ทฤษฎีคลื่นกะหล่ำ
AN IMAGINARY FILM: THE THEORY OF CAULIFLOWER WAVES

พอดีช่วงนี้ได้ดูหนังบางเรื่องที่มันมีหลายอย่างพ้องกันโดยบังเอิญ โดยเฉพาะ “ไอเดียตั้งต้น” ของหนังเหล่านั้น (อย่างเช่น LOVE AT SECOND SIGHT กับ LOVE YOU FOREVER ที่มีหลายอย่างพ้องกันมากๆ และ SPECIAL ACTORS กับ ODE TO JOY ที่พระเอกเป็นโรค “เป็นลมง่าย” เหมือนๆกัน) เราก็เลยจินตนาการขึ้นมาเล่นๆว่า อยากให้มีคนหยิบเอา “เรื่องของความบังเอิญ” นี้มาสร้างเป็นหนังไปเลย 555

คือในความเป็นจริงนั้น การที่หนังหลายๆเรื่องที่ออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน มีหลายอย่างพ้องกันโดยบังเอิญนั้น อาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ อย่างเช่น

1. เป็นเรื่องของความบังเอิญจริงๆ
2. ทีมงานสร้างของหนัง 2 เรื่องนี้ขโมยไอเดียกัน
3.เรื่องที่ออกฉายทีหลังได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องที่ออกฉายก่อนหน้า
4. สาเหตุอื่นๆ อย่างเช่นกรณีของ 1492: CONQUEST OF PARADISE (1992, Ridley Scott) กับ CHRISTOPHER COLUMBUS: THE DISCOVERY (1992, John Glen) ซึ่งอธิบายได้ง่ายมากว่าทำไมหนังสองเรื่องนี้ถึงสร้างออกมาตรงกันในเวลาเดียวกัน เพราะปี 1992 เป็นครบรอบ 500 ปีของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกาเหมือนกัน

แต่เราอยากให้มีคนสร้างหนังขึ้นมาใหม่ โดยตั้งอยู่บนทฤษฎีฮาๆที่ว่า เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นแบบที่ตัวละครในหนังเรื่อง WAKING LIFE (2001, Richard Linklater) เคยพูดเอาไว้ในทำนองที่ว่า มนุษย์เรามีโทรจิตสื่อสารกันได้โดยไม่รู้ตัว

คือเราชอบสิ่งที่ตัวละครใน WAKING LIFE คุยกันมากๆเลยน่ะ และคิดว่าไอเดียนี้เอามาพัฒนาเป็นหนัง fiction แนว fantasy ได้ โดยหนังแนว fantasy เรื่องนี้จะตั้งทฤษฎีตาม WAKING LIFE ขึ้นมาเล่นๆว่า มนุษย์เราบางคนมีหัวสมองที่เป็นเหมือนเครื่องรับ-ส่งวิทยุ คือสมมุติ A คิดอะไรในหัว อย่างเช่นคิดคำว่า “กะหล่ำ” อยู่ดีๆ B ก็จะรู้สึกอยากกินกะหล่ำขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ มันเหมือน A ส่งคลื่นวิทยุออกไปจากหัวของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วหัวสมองของ B ก็รับสัญญาณคลื่นวิทยุพี่อ้อยพี่ฉอดจากหัวของ A โดยไม่ได้ตั้งใจ

แล้วพอ A คิดแต่งเพลงอะไรขึ้นมา B ก็ดันแต่งเพลงที่มีท่วงทำนองโน้ตดนตรีคล้าย A ออกมาในเวลาเดียวกัน แล้วพอ B คิดไอเดียว่าจะสร้างหนังเกี่ยวกับประเด็น CDEFG อยู่ดีๆ A ก็คิดไอเดียว่าจะสร้างหนังเกี่ยวกับประเด็น DEFGH ออกมาในเวลาเดียวกัน มันเหมือนกับว่าหัวสมองของคนบางคนมันสื่อโทรจิตกันได้โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วปัจจัยนี้เลยกลายเป็นสาเหตุให้คนบางคนชอบสร้างหนังที่มี “ไอเดียตั้งต้น” คล้ายๆกันออกมาในเวลาเดียวกันโดยบังเอิญ 55555

ตัวอย่างของคู่หนังที่เราแอบสงสัยว่าทำไมมันสร้างออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันโดยบังเอิญ 555

1.LUDWIG – REQUIEM FOR A VIRGIN KING (1972, Hans-Jürgen Syberberg, Germany)
+ LUDWIG (1973, Luchino Visconti, Italy)
https://www.imdb.com/title/tt0068883/?ref_=fn_tt_tt_1

2.VINCENT, FRANÇOIS, PAUL...AND THE OTHERS (1974, Claude Sautet, France)
https://www.imdb.com/title/tt0072368/?ref_=fn_al_tt_1
+ MY FRIENDS (1975, Mario Monicelli, Italy)
https://www.imdb.com/title/tt0072637/?ref_=nm_flmg_dr_35

3.DANGEROUS LIAISONS (1988, Stephen Frears, USA/UK)
+ VALMONT (1989, Milos Forman, France/UK)

4.BUGSY (1991, Barry Levinson)
+ MOBSTERS (1991, Michael Karbelnikoff)

5.THELMA & LOUISE (1991, Ridley Scott)
+ LEAVING NORMAL (1992, Edward Zwick)
+ BURNING LIFE (1994, Peter Welz, Germany)

6.TOMBSTONE (1993, George P. Cosmatos)
+ WYATT EARP (1994, Lawrence Kasdan)

7.SISTER MY SISTER (1994, Nancy Meckler, UK)
+ LA CÉRÉMONIE (1995, Claude Chabrol, France)

8.DANTE’S PEAK (1997, Roger Donaldson)
+ VOLCANO (1997, Mick Jackson)

9.ARMAGEDDON (1998, Michael Bay)
+ DEEP IMPACT (1998, Mimi Leder)

10.CAPOTE (2005, Bennett Miller)
+ INFAMOUS (2006, Douglas McGrath)
https://www.imdb.com/title/tt0420609/?ref_=nm_flmg_act_24

11.SAINT LAURENT (2014, Bertrand Bonello, France)
+ YVES SAINT LAURENT (2014, Jalil Lespert, France)

12.JUST A BREATH AWAY (2018, Daniel Roby, France/Canada)
+ EXIT (2019, Lee Sang-guen, South Korea)

13.ONCE UPON A TIME...IN HOLLYWOOD (2019, Quentin Tarantino)
+ THE MANSON FAMILY MASSACRE (2019, Andrew Jones)

14.THE ONLY MOM (2019, Chartchai Ketnust)
+ MALASAÑA 32 (2020, Albert Pintó, Spain)
ตอนดู MALASANA จนจบ เราจะแอบสงสัยว่า หนังสเปนเรื่องนี้ได้ไอเดียมาจาก THE ONLY MOM หรือเปล่า 55555

15. SPECIAL ACTORS (2019, Shinichiro Ueda, Japan)
+ ODE TO JOY (2019, Jason Winer)
พระเอกของหนังสองเรื่องนี้เป็นโรค “เป็นลมง่าย” เหมือนๆกัน แต่หนังสองเรื่องนี้แตกต่างจากกันมากๆ 555

16.LOVE YOU FOREVER (2019, Tingting Yao, China
+ LOVE AT SECOND SIGHT (2020, Hugo Gélin, France)

17. RIZAL IN DAPITAN (1997, Tikoy Aguiluz, Philippines)
+ JOSE RIZAL (1998, Marilou Diaz-Abaya, Philippines, 178min)

18. แสงกระสือ KRASUE: INHUMAN KISS (2019, Sitisiri Mongkolsiri)
+ กระสือสยาม SISTERS (2019, Prachya Pinkaew)

19. WHITE HOUSE DOWN (2013, Roland Emmerich)
+ OLYMPUS HAS FALLEN (2013, Antoine Fuqua)

20. A WOMAN CALLED SADA ABE (1975, Noboru Tanaka)
+ IN THE REALM OF THE SENSES (1976, Nagisa Oshima)

21. INSIDE OUT (2015, Pete Docter, Ronnie Del Carmen)
+ POISON BERRY IN MY BRAIN (2015, Yuichi Sato)

22. SEN NO RIKYU (1989, Kei Kumai)
+ RIKYU (1989, Hiroshi Teshigahara)

23. KHAMOSHI THE MUSICAL (1996, Sanjay Leela Bhansali, India)
+ BEYOND SILENCE (1996, Caroline Link, Germany)

24. HUMAN PORK CHOP (2001, Benny Chi-Shun Shan, Hong Kong)
+ THERE IS A SECRET IN MY SOUP (2001, Chi-Kin Yeung, Hong Kong)

25. SHOCK WAVE 2 (2020, Herman Yau, Hong Kong)
+ DETECTIVE CONAN: THE SCARLET BULLET (2021, Tomoka Nagaoka, Japan, animation)
เพราะหนังสองเรื่องนี้พูดถึงการก่อวินาศกรรมโดยใช้รถไฟเป็นอาวุธเหมือนกัน โดยที่ผู้ร้ายกระทำไปเพราะความแค้นที่มีต่อความอยุติธรรมที่ไม่ได้รับจากองค์การตำรวจเหมือนกัน

26. DOCTOR STRANGE IN THE MULTIVERSE OF MADNESS (2022, Sam Raimi)
+ EVERYTHING EVERYWHERE ALL AT ONCE (2022, Dan Kwan, Daniel Scheinert)
เพราะหนังสองเรื่องนี้พูดถึง multiverse เหมือนกัน, ต้นตอของปัญหาก็เกิดจาก “ความเป็นแม่” เหมือนกัน และตัวละครในทั้งสองเรื่องก็มี “ตาที่สาม” ในบางช่วงของหนังด้วย

27.THE HOUSE OF THE LOST ON THE CAPE (2021, Shinya Kawatsura, Japan, animation)
+ IN THE WAKE (2021, Takahisa Zeze, Japan)

28.DETECTIVE CONAN THE MOVIE 25: THE BRIDE OF HALLOWEEN (2022, Susumu Mitsunaka, Japan, animation, A+30)
+ FIREHEART (2022, Theodore Ty, Laurent Zeitoun, France/Canada, animation, A+25)

29. ORPHAN (2009, Jaume Collet-Serra) +
MURDERER (2009, Roy Hin Yeung Chow, Hong Kong)

30. EARWIG AND THE WITCH (2020, Goro Miyazaki, Japan, animation)
+ HELLBENDER (2021, John Adams, Zelda Adams, Toby Poser)

เพราะหนังสองเรื่องนี้เล่าถึงเด็กหญิง/เด็กสาวที่พยายามจะเรียนรู้โลกของแม่มดในบ้านของแม่มดวัยกลางคนเหมือนกัน และตัวละครแม่มดในหนังทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็เป็น “นักดนตรี” เหมือนกัน

31. ARGENTINA, 1985 (2022, Santiago Mitre)
+ EL JUICIO (2023, Ulises de la Orden, Argentina, documentary, 2hours 57mins)

32. OPERATION FORTUNE: RUSE DE GUERRE (2023, Guy Ritchie, UK, A+25) กับ THE UNBEARABLE WEIGHT OF MASSIVE TALENT (2022, Tom Gormican) โดยในกรณีของ OPERATION FORTUNE นั้น จริง ๆ แล้วหนังก็จะออกฉายในปี 2022 เหมือนกัน แต่มันโดนเลื่อนเวลาฉายออกไปเพราะหนังมีเนื้อหาพาดพิงถึง “ยูเครน”

33.ROGUE (2007, Greg McLean, Australia)
+ PRIMEVAL (2007, Michael Katleman)
คู่หนังจระเข้ยักษ์

34.HI, AI (2019, Isabella Willinger, Germany, documentary)
+ ROBOLOVE (2019, Maria Arlamovsky, Austria, documentary)
คู่หนังสารคดี AI ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ romantic ระหว่างมนุษย์กับ AI

35. SIMULANT (2023, April Mullen, Canada)
+ THE CREATOR (2023, Gareth Edwards)
+ MARS EXPRESS (2023, Jeremie Perin, France, animation)
หนัง 3 เรื่องที่พูดถึงบุคคลสำคัญที่จะมาปลดปล่อย AI จากการถูกควบคุมโดยมนุษย์

36. A VISUAL HISTORY OF THE WORLD TRADE CENTER (2020, Monty Diamond, USA, documentary)
+ MISTY PICTURE (2021, Matthias Muller, Christoph Girardet, Germany)
คู่หนัง found footage ของตึก World Trade Center

37. CLOSE (2022, Lukas Dhont, Belgium)
+ MONSTER (2023, Hirokazu Koreeda, Japan)

38. STRAYS (2023, Josh Greenbaum)
+ DARKDOG LOCKDOWN คุณตูบสายดาร์ก ปิดเมืองกัด (2023, Tumm Kronkan)
คู่หนังกลุ่มหมาผจญภัย

39. THE COVENANT (2023, Guy Ritchie, UK)
+ KANDAHAR (2023, Ric Roman Waugh)
คู่หนังทหารฝรั่ง + interpreter ใน Afghanistan

40. ALIVE DRIFT (2022, Ten Shimoyama, Japan)
+ GRAN TURISMO (2023, Neill Blomkamp)

41. KORO (2022, Karan Wongprakarnsanti)
+ POPURAN (2022, Shinichiro Ueda, Japan)

42. SUZUME (2022, Makoto Shinkai, Japan, animation)
+ BLIND WILLOW, SLEEPING WOMAN (Pierre Földes, France, animation)

เพราะหนังสองเรื่องนี้พูดถึงหนอนปีศาจยักษ์ที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นเหมือนกัน

43.MUD (2012, Jeff Nichols)
+ JOE (2013, David Gordon Green)

เพราะหนังสองเรื่องนี้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหนุ่มกับชายวัยกลางคนที่เป็นคนนอกสังคมในภาคใต้ของสหรัฐเหมือนกัน และนำแสดงโดย Tye Sheridan เหมือนกัน

44.REVOIR PARIS (2022, Alice Winocour, France)
+ MAALBEEK (2020, Ismael Joffroy Chandoutis, France, animation, documentary, short film)

เพราะหนัง 2 เรื่องนี้พูดถึงผู้หญิงที่สูญเสียความทรงจำในช่วงที่ประสบเหตุก่อการร้ายเหมือนกัน โดย REVOIR PARIS ออกฉายช้ากว่า MAALBEEK 2 ปี แต่เราสงสัยว่ามันอาจจะเริ่มสร้างในเวลาไล่เลี่ยกันก็ได้ เพราะ REVOIR PARIS เป็นหนังยาว ส่วน MAALBEEK เป็นหนังสารคดีสั้น

45. THE LITTLE GANG (2022, Pierre Salvadori, France)
+ NINA AND THE HEDGEHOG'S SECRET (2023, Jean-Loup Felicioli + Alain Gagnol, France, animation)

เพราะหนังสองเรื่องนี้พูดถึงเด็ก ๆ ที่วางแผนลักลอบเข้าไปในโรงงานเหมือนกัน

46. LOVE THE THIRTEEN: LOOK FOR ME AT DUSK (2018, Nipan Chawcharernpon)
+ GREENLAND (2020, Ric Roman Waugh)
จริง ๆ แล้วของไทยออกฉายก่อนฮอลลีวู้ด 2-3 ปี แต่รู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้มันไปด้วยกันได้ดีมาก ๆ 55555

47.WE MIGHT AS WELL BE DEAD (2022, Natalia Sinelnikova, Germany)
+ CONCRETE UTOPIA (2023, Eom Tae-hwa, South Korea)

48. CORSAGE (2022, Marie Kreutzer, Austria)
+ SISI & I (2023, Frauke Finsterwalder, Germany)

เพราะหนังสองเรื่องนี้พูดถึงจักรพรรดินีองค์เดียวกัน และมีฉากตัวละครนางเอกกระโดดจุ่มน้ำเหมือนกันอีกด้วย 5555 เพียงแต่ว่าใน CORSAGE นั้นตัวละครที่กระโดดจุ่มน้ำคือพระจักรพรรดินี แต่ใน SISI & I นั้นเป็นเคาน์เตสที่กระโดดจุ่มน้ำ แต่เรายังไม่ได้ดู SISI & I นะ

49. PATHANN (2023, Siddharth Anand, India, A+25) ซึ่งออกฉายในวันที่ 25 ม.ค. 2023
+ MISSION: IMPOSSIBLE – DEAD RECKONING PART ONE (2023, Christopher MacQuarrie, 163min, A+30) ซึ่งออกฉายในวันที่ 11 ก.ค. 2023

เพราะหนังเกี่ยวกับสายลับสองเรื่องนี้มีฉากไคลแม็กซ์สำคัญเป็นรถไฟถล่มคล้าย ๆ กัน แล้วปรากฏว่าชาวเน็ตจำนวนมากคิดว่า MISSION: IMPOSSIBLE ลอกฉากนี้มาจาก PATHAAN แต่เราว่าไม่ใช่น่ะ เพราะ PATHAAN ออกฉายก่อนหน้า MISSION: IMPOSSIBLE แค่ 6 เดือน แล้วฉากแอคชั่นใหญ่ขนาดนี้มันไม่น่าจะเขียนบท, เซ็ตฉาก, ถ่ายทำ, และทำ special effects + post production ต่าง ๆ ได้รวดเร็วขนาดนั้น เราก็เลยมีทฤษฎีว่า การที่ฉากทั้งสองคล้ายกันมากโดยบังเอิญ ไม่ได้เกิดจากการที่ Christopher MacQuarrie ไปลอกมาจาก Siddharth Anand แต่เกิดจากคลื่นสมองจูนติดกันโดยบังเอิญหรือเปล่า 55555

50. FAST X (2023, Louis Leterrier, A+30) ซึ่งออกฉายในวันที่ 19 พ.ค. 2023
+ MISSION: IMPOSSIBLE – DEAD RECKONING PART ONE (2023, Christopher MacQuarrie, 163min, A+30) ซึ่งออกฉายในวันที่ 11 ก.ค. 2023

เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้มี “ฉากขับรถไล่ล่า และฉากระเบิด” ในกรุงโรมที่คล้ายกัน เราก็เลยแอบสงสัยเล่น ๆ ว่า ทีมเขียนบทของ M:I 7 นี้ อาจจะมี “คลื่นสมอง” ที่สามารถจูนติดกับคลื่นสมองของคนอื่น ๆ ได้ง่าย ๆ หรือเปล่า หนังเรื่อง M:I 7 เลยมีฉากแอคชั่นสำคัญที่เหมือนกับไปลอกมาจาก PATHAAN และ FAST X ซึ่งจริง ๆ แล้วคือไม่ได้ลอก แต่อาจจะเป็นคลื่นสมองที่ตรงกันโดยบังเอิญ 55555

51.MAD FATE (2023, Soi Cheang, Hong Kong, A+30)
+ PROJECT-A (ASPHYXIA) (เกริกฤทธิ์ คำเก่ง, 23min, A+30) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏ สุรินทร์

เราไม่แน่ใจว่า PROJECT-A (ASPHYXIA) เป็นหนังปี 2022 หรือ 2023 แต่ดูแล้วเหมาะฉายควบกับ MAD FATE มาก ๆ เพราะตัวละครพระเอกของ PROJECT-A (ASPHYXIA) เป็นชายหนุ่มที่ struggling กับความเป็นฆาตกรโรคจิตในใจตัวเอง และเขาเคยฆ่าแมวในวัยเด็กด้วย ซึ่งเหมือนกับตัวละครเอกของ MAD FATE มาก ๆ โดยหนังทั้งสองเรื่องนี้ไม่ได้ treat ตัวละคร “ชายหนุ่มผู้ต่อสู้กับความเป็นฆาตกรโรคจิตในใจตัวเอง” นี้ในฐานะผู้ร้ายที่ต้องถูกพระเอกคนดีมาตามปราบ แต่ treat มันในฐานะ anti-hero อะไรแบบนั้นมากกว่า

เราเคยเขียนถึง MAD FATE ไว้แล้วที่นี่
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10232626676312703&set=a.10230383642238253

52. PANARE, SHIP ON THE SHORE ปะนาเระ เรือเล็กอาจจะไม่ได้ออกจากฝั่ง (2023, Naphat Wesshasartar, documentary, A+30)
+ PATA TARE’ ปาตา ตาเระ (2023, มุสลิมีน อาลีมามะ, documentary, 11min, A+30)

เรามีอายุ 50 ปีแล้ว แต่เราไม่เคยได้ยินชื่ออำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานีมาก่อน แต่อยู่ดี ๆ ในปีนี้ก็มีหนังสารคดีเกี่ยวกับปะนาเระออกมาพร้อมกัน 2 เรื่อง นึกว่าใจตรงกันโดยบังเอิญ โดยหนังสารคดีทั้งสองเรื่องนี้พูดถึงปัญหาของชาวประมงในปะนาเระเหมือนกัน โดยที่ PANARE, SHIP ON THE SHORE เน้นพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อชาวประมง ส่วน PATA TARE’ บอกว่ามีหลายปัจจัย (ซึ่งรวมถึงสิ่งแวดล้อม, กฎหมาย) ที่ส่งผลให้เด็กรุ่นใหม่อาจไม่สืบทอดอาชีพประมงต่อจากบรรพบุรุษ ซึ่งอาจจะส่งผลให้ “ดูหลำ” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาในการฟังเสียงปลาไม่ได้รับการถ่ายทอดต่อคนรุ่นหลัง ๆ และมันอาจจะหายสาบสูญไปได้

เราเคยเขียนถึง PANARE, SHIP ON THE SHORE ไว้แล้วที่นี่
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10231030127199973&set=a.10230383642238253

53.HAPPY DEATH DAY (2017, Christopher Landon)
+ BEFORE I FALL (2017, Ry Russo-Young)

นางเอกของทั้งสองเรื่องวนลูปอยู่ใน “วันสุดท้ายของชีวิต” เหมือนกัน

54. THE FINAL CUT (2004, Omar Naim)
+ ETERNAL SUNSHINE OF THE SPOTLESS MIND (2004, Michel Gondry)

หนังทั้งสองเรื่องเป็นหนังไซไฟเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีลบความทรงจำผู้คนเหมือนกัน

55.RASCAL DOES NOT DREAM OF A SISTER VENTURING OUT (2023, Soichi Masui, Japan, animation)
+ LONELY CASTLE IN THE MIRROR (2022, Keiichi Hara, Japan, animation)

หนังทั้งสองเรื่องพูดถึงเด็กสาวที่ไม่กล้าไปโรงเรียนเหมือนกัน

56. “ดุเหว่าลอยเลื่อน” FELT FOSTER (2023, ฐิตินัทธนนท์ ศรีสุภางค์กุล, A+)
+ COBWEB (2023, Samuel Bodin, A+30)

พบว่าหนังไทยเรื่อง “ดุเหว่าลอยเลื่อน” (2023, ฐิตินัทธนนท์ ศรีสุภางค์กุล, A+) กับหนังเรื่อง COBWEB (2023, Samuel Bodin, A+30) มีเนื้อเรื่องหลายจุดคล้ายกันมากอย่างน่าประหลาดใจ แต่ “ดุเหว่าลอยเลื่อน” ออกฉายครั้งแรกในวันที่ 2 พ.ค. 2023 ส่วน COBWEB ออกฉายในสหรัฐครั้งแรกในวันที่ 21 ก.ค. 2023 และเพิ่งเริ่มเข้ามาฉายในไทยในวันที่ 24 ส.ค. 2023 เพราะฉะนั้นหนังทั้งสองเรื่องนี้จึงไม่มีใครลอกใครอย่างแน่นอน เราก็เลยขอเติมรายชื่อหนังทั้งสองเรื่องนี้เข้าไว้ในลิสท์ “หนังที่คล้ายคลึงกัน และออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกันโดยบังเอิญ” ในทันที

57. THE SIXTH SENSE (1999, M. Night Shyamalan)
+ STIR OF ECHOES (1999, David Koepp)

58. THE UNDERTAKER สัปเหร่อ (2023, Thiti Srinual)
+ LIGHTING UP THE STARS (2022, Liu Jiangjiang, China)

เพราะหนังทั้งสองเรื่องนี้เล่าเรื่องชายหนุ่มที่มีพ่อเป็นสัปเหร่อ แล้วตัวชายหนุ่มก็มารับหน้าที่ทำงานเป็นสัปเหร่อต่อจากพ่ออย่างไม่ค่อยเต็มใจในตอนแรก ก่อนที่จะตั้งอกตั้งใจและเรียนรู้ที่จะเป็นสัปเหร่อที่ดีอย่างจริงจังในเวลาต่อมา แล้วก็ยังมี drama เกี่ยวกับพ่อในช่วงท้ายของเรื่องที่คล้าย ๆ กันด้วย อย่างไรก็ดี หนังทั้งสองเรื่องนี้คล้ายกันเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะครึ่งหนึ่งของ “สัปเหร่อ” พูดถึงตัวละครพระเอกอีกคนที่หมกมุ่นกับคนรักที่ตายไปแล้ว ส่วนครึ่งหนึ่งของ LIGHTING UP THE STARS พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเอกกับเด็กผู้หญิงกำพร้า

59. LONG LIVE LOVE! (2023, Piyakarn Butprasert)
+ LOVE RESET (2023, Nam Da-jung, South Korea)

หนังทั้งสองเรื่องนี้เล่าเรื่องของพระเอกที่สูญเสียความทรงจำไป แล้วก็เลยเหมือนได้โอกาสตั้งต้นสร้างความทรงจำ+ความสัมพันธ์ใหม่กับภรรยาที่แหนงหน่ายเขาอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี ใน LOVE RESET นั้น ตัวละครภรรยาก็สูญเสียความทรงจำเหมือนกัน ส่วนใน LONG LIVE LOVE! นั้น ตัวภรรยายังคงจดจำความระยำของพระเอกได้ดี

60. FACES OF ANNE (2022, Kongdej Jaturanrasamee + Rasiguet Sookkarn, 116min)
+ REDRUM (2022, Panupong Chankhiew, 12min)

หนังทั้งสองเรื่องนำเสนอกลุ่มเด็กสาวที่หนีฆาตกรโรคจิตที่แต่งตัวคล้าย ๆ กันในหนังทั้งสองเรื่อง แต่ FACES OF ANNE อาจจะพูดถึงประเด็นตัวตนของเด็กใน social media ในโลกยุคปัจจุบัน ส่วนใน REDRUM นั้น ฆาตกรโรคจิตก็คือฆาตกรโรคจิต ไม่ได้เป็นสัญลักษณ์แทนอะไร

61. A GIRL WHO WALKS ALONE AT DAY นางอาย (2022, Jatupol Kiawsaeng, 49min, A+30)
+รุ่งอรุญสูญสลาย (2023, ชฑาวรรษ คนซื่อ / 28.54 นาที, A+30)

หนังทั้งสองเรื่องนำเสนอตัวละครนางเอกที่เป็นสาวยากจนในชนบทที่ต้องการสมัครทุนเรียนต่อมหาลัย แล้วก็เลยมีเรื่องขัดแย้งกับเพื่อนสนิทที่ต้องการสมัครทุนเหมือนกัน โดยหนังทั้งสองเรื่องนำเสนอ dilemma ได้ดีมาก ๆ และพูดถึงประเด็นเรื่องปัญหาทางการศึกษาของไทยได้ดีมาก ๆ เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ส่วนอื่น ๆ ในหนังสองเรื่องนี้ก็ไม่ได้เหมือนกันแต่อย่างใด

62. ARNOLD IS A MODEL STUDENT (2022, Sorayos Prapapan)
+ THE ECLIPSE คาธ (2022, Tanwarin Sukkhapisit, TV series)

เรายังไม่ได้ดู “คาธ” จนจบนะ แต่คนที่ดูคาธแล้วบอกว่ามีอะไรคล้ายกันโดยบังเอิญ ซึ่งก็คงเป็นเพราะว่าหนัง+ละครทีวีเรื่องนี้ต่างก็ต้องการสะท้อนประเด็นเดียวกันในสังคมไทยในช่วงเวลาเดียวกัน

63.CLUB ZERO (2023, Jessica Hausner, Austria/UK, A+30)
+ ฮากเลือด (2023, Nuttanai Supukdee, A+30)

พอเราได้ดู CLUB ZERO มาก่อน เราก็เลยเหมือนจะพอเดาได้อย่างถูกต้องว่า หนังเรื่อง “ฮากเลือด” จะจบอย่างไร เพราะตัวละครนางเอกของ “ฮากเลือด” มันทำให้นึกถึงตัวละครตัวนึงใน CLUB ZERO แล้วขณะที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราก็เลยแอบตั้งข้อสงสัยว่า หนังเรื่องนี้จะมีฉาก climax แบบเดียวกับ CLUB ZERO หรือไม่ ซึ่งก็ปรากฏว่า ฉาก CLIMAX ของหนังสองเรื่องนี้มีความคล้ายคลึงกันจริง ๆ ด้วย เพราะมันลงเอยด้วยการที่ตัวละครทำแบบเดียวกัน

ซึ่งถึงแม้หนังสองเรื่องนี้จะมีฉาก climax ที่คล้ายคลึงกัน แต่เรามั่นใจว่า “ฮากเลือด” ไม่ได้รับแรงบันดาลใจจาก CLUB ZERO อย่างแน่นอน เพราะหนังเรื่อง “ฮากเลือด” ออกฉายทางยูทูบตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. 2023 แต่ CLUB ZERO เปิดฉายครั้งแรกในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ในเดือนพ.ค. 2023
https://www.youtube.com/watch?v=RlF9joZmUpg

64.PAPER MOON (1973, Peter Bogdanovich)
+ ALICE IN THE CITIES (1974, Wim Wenders, West Germany)

65. PERFECT DAYS (2023, Wim Wenders)
+ OKIKU AND THE WORLD (2023, Junji Sakamoto, Japan)

66.THE EXORCISM OF EMILY ROSE (2005, Scott Derrickson)
+ REQUIEM (2006, Hans- Christian Schmid, Germany)

หนังทั้งสองเรื่องสร้างจากคดีเดียวกันที่เกิดขึ้นจริงของ Anneliese Michel

67. A MONSTER CALLS (2016, J. A. Bayona)
+ I KILL GIANTS (2017, Anders Walter)

68. SALOME (1971, Werner Schroeter, West Germany)
+ SALOME (1972, Carmelo Bene, Italy, A+30)

69. MOON MAN (2022, Zhang Chiyu, China)
+ THE MOON (2023, Kim Yong-hwa, South Korea)

หนังสองเรื่องนี้พูดถึงชายหนุ่มที่ต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอดตามลำพังบนดวงจันทร์เหมือนกัน แต่เราว่า THE MOON ดีกว่า MOON MAN หลายร้อยเท่า 555

70. TALK TO ME (2022, Danny Philippou, Michael Philippou, Australia, A+30)
+ BAGHEAD (2023, Alberto Corredor, Germany/UK)

เพราะหนังสองเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญที่พูดถึง “การทรงเจ้าเข้าผี” ซึ่งการทรงเจ้าเข้าผีจะไม่เกิดอันตราย ถ้าหากทำภายในกรอบเวลาอันจำกัดที่กำหนดไว้ อย่างเช่น ทำภายใน 2 นาที แต่ถ้าหากทำนานเกิน 2 นาที จะเกิดอันตรายร้ายแรงตามมา หรือถ้าหากเสพติดการทรงเจ้าเข้าผีมากเกินไป ก็จะเกิดอันตรายตามมาได้เช่นเดียวกัน

71. IMMACULATE (2024, Michael Mohan, A+30)
+ THE FIRST OMEN (2024, Arkasha Stevenson, A+30)

72. FOR SALE (1998, Laetitia Masson, France, A+30)
+ RUNAWAY BRIDE (1999, Garry Marshall)

เรื่องย่อของ FOR SALE
A Private detective is hired to trace a woman who ran away and disappeared on her wedding day. The movie follows him and recounts the story of her life through her eyes and the eyes of those interviewed by the detective.

เรื่องย่อของ RUNAWAY BRIDE
A reporter is assigned to write a story about a woman who has left a string of fiancés at the altar.

73. BACK HOME (2023, Nate Ki, Hong Kong, A+30)
+ THE TENANT ผู้เช่า (2024, Anant Rasamee อนันต์ รัศมี, A-)

รู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้เหมาะฉายควบกันมาก ๆ อันนึงเป็นหนังด่ารัฐบาลจีน ส่วนอีกอันหนึ่งเป็นหนังด่ารัฐไทย โดยทำออกมาเป็นหนังสยองขวัญที่เกี่ยวข้องกับ “อาคารที่พักอาศัย” เหมือนกัน แต่เราชอบ BACK HOME อย่างรุนแรง ในขณะที่รู้สึกเฉย ๆ กับ “ผู้เช่า”

74. HANGING UP (2000, Diane Keaton)
+ EVERYTHING IS FINE, WE’RE LEAVING (2000, Claude Mouriéras, France)

หนังทั้งสองเรื่องพูดถึงสามสาวพี่น้องที่รับมือแตกต่างกันไปกับ “พ่อ” ของตัวเองที่อยู่ในวัยชราและล้มป่วย โดยในกรณีของ HANGING UP นั้น หนังนำแสดงโดย Diane Keaton, Meg Ryan และ Lisa Kudrow ส่วนใน EVERYTHING IS FINE, WE’RE LEAVING นั้น หนังนำแสดงโดย Miou-Miou, Sandrine Kiberlain และ Natacha Régnier ซึ่งเราชอบตัวหนัง EVERYTHING IS FINE, WE’RE LEAVING อย่างรุนแรงสุดขีดมาก ฉากที่ Sandrine Kiberlain เจอหน้าพ่อ (Michel Piccoli) เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีนี่ เราขอยกให้เป็น ONE OF MY MOST FAVORITE SCENES OF ALL TIME เลย

75. LA CRISE (1992, Coline Serreau, France)
+ FALLING DOWN (1993, Joel Schumacher)

หนังทั้งสองเรื่องนำเสนอตัวละคร “ชายวัยกลางคน” (Vincent Lindon + Michael Douglas) ที่เกิดอาการ “สติแตก” เหมือนกัน และนำไปสู่ความชิบหายต่าง ๆ ตามมา เราชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้มาก ๆ ในระดับพอ ๆ กัน ตัดสินไม่ได้ว่าชอบเรื่องไหนมากกว่า

1.มีใครมีข้อมูลมั้ยว่า ในบรรดาคู่หนังข้างต้น ทำไมถึงสร้างออกมาไล่เลี่ยกัน ใครก็อปไอเดียใคร 55555 หรือว่าเป็นเรื่องบังเอิญ

2.มีคู่หนังอื่นๆอีกบ้างมั้ย ที่เพื่อนๆสงสัยว่าทำไมมันถึงสร้างออกมาไล่เลี่ยกัน แล้วไอเดียตั้งต้นของหนังทั้งสองเรื่องมันคล้ายกัน

3.มีใครที่เคยคิดสร้างหนังหรือเขียนบทภาพยนตร์ แล้วพบว่าไอเดียมันไปตรงกับของคนอื่นๆโดยบังเอิญหรือโดยไม่ได้ตั้งใจบ้าง

4.ในบรรดาคู่หนังข้างต้น ใครชอบเรื่องไหนมากกว่ากัน

5.ใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างมั้ย คือเวลาที่เราเดินตามหลังผู้ชายบางคนตอนขึ้นบันไดแคบๆ แล้วเราไม่ได้คิดอะไรกับผู้ชายที่เดินข้างหน้าเรา เขาก็จะเดินไปเรื่อยๆตามปกติ แต่บางครั้งเวลาที่เราคิดอยู่ในหัวว่า “หูย ผู้ชายคนที่เดินอยู่ข้างหน้าเรา น่าเย็ดมากๆ กล้ามแขนงี้ล่ำมาก กล้ามขาก็แน่น ตัวก็สูงใหญ่ ถ้าเย็ดฉันสักที ฉันจะรู้สึกเป็นพระคุณอย่างสูง, etc.” แล้วพอเราคิดแบบนี้อยู่ในหัว ผู้ชายที่เดินข้างหน้าเราก็จะชอบหันหลังกลับมามองเราด้วยความระแวง มันเหมือนกับว่า เราส่งคลื่นโทรจิต “ความคิดอกุศล” ในหัวของเราออกไปโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ แล้วผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าเรา เขารับรู้ได้ 55555 

 

 

Sunday, September 08, 2024

TOKIHIKO OKADA

 

Favorite Actor: Tokihiko Okada from TOKYO CHORUS (1931, Yasujiro Ozu, Japan, silent film, A+30)

 

เสียดายมาก ๆ ที่พระเอกหนังคนนี้เสียชีวิตขณะอายุ 30 ปีเพราะวัณโรคในปี 1934 ก่อนหน้านี้เราเคยดูเขาแสดงในหนังเรื่อง THE WATER MAGICIAN (1933, Kenji Mizoguchi, silent film, A+30) ซึ่งเราชอบ THE WATER MAGICIAN อย่างสุดขีดที่สุดเช่นกัน

 

ตกใจมาก ๆ ที่เห็น Hideko Takamine (1924-2010) แสดงใน TOKYO CHORUS ในบทลูกสาวของพระเอกนางเอกด้วย เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอเป็นดาราเด็ก และเธอเคยถูกเปรียบเทียบกับ Shirley Temple ด้วย ก่อนหน้านี้เราเคยชอบเธออย่างสุดขีดจากหนังของ Mikio Naruse และก็ขอยกให้ Hideko Takamine นื่ถือเป็น one of my most favorite Japanese actresses of all time เลย

 

ส่วนตัวหนัง TOKYO CHORUS นั้น เราน่าจะชอบเป็นอันดับ 1 หรือ 2 ในบรรดาหนังของ Ozu เท่าที่เคยดูมานะ โดยต้องแข่งกับ EARLY SPRING (1956) ที่เราชอบอย่างสุดขีดเช่นกัน เพราะเราอินกับหนังที่พูดถึง “ตัวละครที่มีปัญหาทางการเงิน กระเสือกกระสนหาเงิน” อะไรทำนองนี้มาก ๆ ดูแล้วนึกถึงพวกหนังของ Aki Kaurismaki และหนังอย่าง TO HAVE (OR NOT) (1995, Laetitia Masson, France) กับ WORK HARD, PLAY HARD (2003, Jean-Marc Moutout, France) อะไรทำนองนี้ ที่เราอินอย่างสุดขีดเช่นกัน

 

ส่วนหนังของ Ozu เรื่องอื่น ๆ อีก 4 เรื่องที่เราเคยดู ซึ่งได้แก่  I WAS BORN, BUT... (1932), LATE SPRING (1949), LATE AUTUMN (1960) และ AN AUTUMN AFTERNOON (1962) นั้น เราตัดสินไม่ได้ว่าชอบเรื่องไหนน้อยสุด แต่บอกได้ว่า เรา “ไม่อิน” กับหนัง 4 เรื่องนี้เลย เพราะเราไม่อินกับตัวละครในหนังเหล่านี้หรือไม่อินกับครอบครัวที่ถูกนำเสนอในหนังเหล่านี้ ซึ่งแตกต่างจาก TOKYO CHORUS ที่มันพูดถึง “ปัญหาในการหาเงินมายังชีพ” ซึ่งเป็นปัญหาที่ครอบงำจิตใจเราอยู่ตลอดทุกเมื่อเชื่อวัน

 

Edit เพิ่ม: ลืมใส่ว่าชอบ TOKYO STORY (1953) มากเป็นอันดับ 3 ในบรรดาหนังของ Ozu ที่เราเคยดู

https://celinejulie.blogspot.com/2020/08/ozu.html

---

เหมือนผู้กำกับหนังฮอลลีวู้ดหลาย ๆ คนที่เราชอบก็ไต่เต้าขึ้นมาจาก “หนังนอกกระแส” หรือ “หนังทุนต่ำ” มั้ง ทั้ง Gus Van Sant ที่เริ่มต้นจาก MALA NOCHE (1986), Steven Soderbergh ที่เริ่มต้นจาก SEX, LIES, AND VIDEOTAPE (1989), Todd Haynes ที่เริ่มต้นจาก POISON (1991) และ Sam Raimi ที่เริ่มต้นมาจาก THE EVIL DEAD (1981) รู้สึกว่าพวกเขาเหล่านี้มีเส้นทางอาชีพที่น่าสนใจมาก ๆ

---

สรุปว่า ตั้งฮั่วเส็งที่จะปิด คือตั้งฮั่วเส็งสาขาธนบุรีนะ ซึ่งเป็นสาขาที่เคยมีโรงภาพยนตร์ และเราก็ได้ไปดูหนังเรื่อง CHUNGKING EXPRESS ผู้หญิงผมทอง ฟัดหัวใจให้โลกตะลึง (1994, Wong Kar-wai, Hong Kong) ที่โรงภาพยนตร์ในห้างตั้งฮั่วเส็งสาขาธนบุรีนี่แหละ น่าจะเป็นในปี 1996 ซึ่งเราจำได้ดีว่า ตอนที่เราดู CHUNGKING EXPRESS เสร็จ แล้วกำลังจะเดินออกจากโรง เราก็ได้ยินผู้ชมคนอื่น ๆ คุยกันว่า “นี่คือหนังที่ห่วยที่สุดในชีวิต” ซึ่งเป็นประสบการณ์เดียวกับตอนที่เราดู FALLEN ANGELS นักฆ่าตาชั้นเดียว (1995, Wong Kar-wai) ตอนมันเข้าโรงฉายในห้าง World Trade Center (หรือ Central World) ในช่วงปลายปี 1995 เช่นกัน ที่ผู้ชมคนอื่น ๆ คุยกันหลังหนังเสร็จว่า “นี่คือหนังที่ห่วยที่สุดในชีวิต” 555555 เหมือนประสบการณ์ตอนดู FALLEN ANGELS และ CHUNGKING EXPRESS ในครั้งนั้น สอนเราได้ดีว่า “หนังที่คนจำนวนมากเกลียด คือหนังที่ให้ความสุขสุดยอดที่สุดในชีวิตแก่เรา” จบ

HILDA BORGSTROM

 

วันนี้นั่งรถเมล์สาย 515 กลับจากหอภาพยนตร์ ศาลายา ตอน 20.00 น. นึกว่าตัวเองอยู่ในหนังเรื่อง “รถทัวร์ วีไอผี” (2024, Pasit Panithijaroonroj, A-) 55555 เพราะว่าพอรถเมล์เริ่มเลี้ยวเข้าถนนบรมราชชนนี เราก็เริ่มสังเกตว่า ผู้ชายที่นั่งข้างหลังเรา ไอเป็นระยะ ๆ แล้วพอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เขาก็ยังคงไอเป็นระยะ ๆ อยู่นั่นเอง เราก็เลยนึกถึงตัวละครฝรั่งใน “รถทัวร์ วีไอผี” ที่ต้องนั่งติดกับหญิงชราตัวเหม็นที่ไอเป็นเลือด

 

เราก็เริ่มลังเลใจว่า จะเอายังไงดี เราคิดว่าผู้ชายข้างหลังเราน่าจะไม่ใส่ mask ส่วนเราใส่ mask เราก็เลยไม่แน่ใจว่า แค่ที่เราใส่ mask นี่ มันจะช่วยป้องกันโรคให้เราได้มากพอแล้วยัง เพราะเพื่อน ๆ ก็รู้ดีว่า เราเป็นหวัด/คออักเสบง่ายมาก ๆ เหมือนภูมิคุ้มกันโรคหวัดของเรามันต่ำกว่าคนปกติ แล้วเราก็ไม่สามารถจะป่วยเป็นหวัดอะไรใดๆ ในช่วงนี้ได้ด้วย เพราะเรามีนัดจะส่องกล้องกระเพาะ+ลำไส้ใหญ่ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งถ้าหากเราป่วยเป็นหวัด เราก็อาจจะต้องเลื่อนกำหนดส่องกล้องออกไป แล้วมันก็ไม่รู้ว่าจะเกิดความยุ่งยากอะไรตามมา จะหาคนมารับเราออกจากโรงพยาบาลในวันนัดใหม่ได้หรือไม่, etc.

 

เราก็คิดว่า เอ๊ะ หรือเราจะลงรถเมล์ในทันที แล้วเรียก taxi กลับบ้านดี แต่ถนนบรมราชชนนีตอน 2 ทุ่มนี่มันก็เปลี่ยวมาก ๆ เลยนะ เราก็ไม่ชินกับการอยู่บนถนนเส้นนี้ตอนดึก ๆ คนเดียวด้วย เราก็เลยไม่ได้ลงจากรถเมล์กะทันหัน

 

เราก็เลยเอา mask สำรองจากเป้ขึ้นมาสวมทับ mask ที่เราใส่อยู่ เพื่อจะได้เป็นการใส่ mask สองชั้น เผื่อมันจะช่วยกันเชื้อโรคได้มากขึ้น แต่พอใส่ ๆ mask สองชั้นไปสักพัก เราก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่ามันจะกันโรคได้มากแค่ไหน เราก็เลยตัดสินใจย้ายที่นั่งจากแถวหลัง ๆ ไปด้านหน้าสุดติดคนขับรถเมล์เลย เพื่อให้ห่างจากคนที่ไอให้มากที่สุด แล้วก็นั่งต่อไปจนสุดสาย

 

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรารับเชื้อโรคอะไรไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ บางทีเราควรจะรีบลงจากรถเมล์ไปเลย แล้วเรียก taxi กลับบ้าน

 

แต่เราไม่โกรธคนที่ไอด้านหลังเรานะ เพราะคิดว่าถ้าหากเขาเลือกได้ เขาก็คงไม่อยากป่วย ไม่อยากไอ บางทีเขาอาจจะแค่แพ้อากาศกะทันหันก็ได้ อะไรแบบนี้ ก็เลยไม่รู้จะจัดการกับตัวเองยังไงดี, etc. (ซึ่งบางทีเราก็เคยมีอาการ แพ้อากาศกะทันหันแบบนี้เหมือนกัน) เราเพียงแค่รู้สึกว่า “ทำไมกูต้องซวยอะไรแบบนี้ด้วย” 55555 จบ

 ----------

Favorite Actress: ลูบหน้า อาซาบาล Lubna Azabal from YOU PROMISED ME THE SEA (2023, Nadir Moknèche, France, queer film, A+30)

 

จริง ๆ แล้วบทของ “ลูบหน้า” ใน YOU PROMISED ME THE SEA ไม่ได้มีอะไรเท่าไหร่ เราแค่ดีใจสุดขีดที่ได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง เพราะเหมือนเราไม่ได้เห็นเธอมานานกว่า 10 ปีแล้วนับตั้งแต่ INCENDIES (2010, Denis Villeneuve, Canada/France, A+30)

 

Favorite Actress: Hilda Borgström from THE PHANTOM CARRIAGE (1921, Victor Sjöström, Sweden, silent film, A+30)

 

ชอบเธอมาก ๆ นึกว่าเธอคือบรรพบุรุษของ Miranda Richardson และ Catherine Frot

 

รูปของ Miranda Richardson จาก DAMAGE (1992, Louis Malle) และ Catherine Frot จาก FAMILY RESEMBLANCES (1996, Cédric Klapisch, France)