Saturday, August 10, 2019

SOMEWHERE ONLY WE KNOW

THE RAINBOW (2019, Thanakorn Sukkomol,  A+)

--หนังดูเหมือนจะมีอะไรฮาๆเยอะมาก หนึ่งในสิ่งที่ฮาที่สุดคือการที่นางเอกถามพระเอกในทำนองที่ว่า "วันนี้อากาศดีมากๆเลย เธอเลยมานั่งดูรุ้งกินน้ำตรงนี้ใช่ไหม" !?!?!?!?!

คือที่เราเรียนมาตอนชั้นประถม รุ้งกินน้ำ มันต้องเกิดหลังฝนตกไม่ใช่เหรอ แล้ววันที่อากาศดี ท้องฟ้าสดใสสว่าง ไม่มีเมฆฝนอะไรทั้งสิ้น แล้วมันจะเกิดรุ้งกินน้ำขึ้นได้ยังไง หรือว่าเนื้อเรื่องทั้งหมดของหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นในโลกคู่ขนาน ที่มีหลักเกณฑ์ทางธรรมชาติแตกต่างไปจากโลกของเรา 555

--แต่หนังโดยรวมดูบันเทิง ฮาๆดี คือรู้สึกว่าหนังมันไม่ดีเท่าไหร่ แต่ความไม่ดีของมันช่วยสร้างความฮา แทนที่จะสร้างความน่าเบื่อ

--ชอบที่ช่วงครึ่งหลังของหนังใช้ฉากในต่างจังหวัด

PRECIOUS TIME (2019, Tharachit Tamanee, A+15)

หนังดูโอเคมาก แต่เราจะสงสัยในช่วงท้ายของหนังว่า ในเมื่อตัวละครในช่วงกลางเรื่อง ตัดสินใจส่งแม่ไปอยู่สถานพยาบาล เพราะพวกเขาไม่มีเวลาดูแลแม่ (ไม่ใช่เป็นเพราะว่า พวกเขาไม่รักแม่) แล้วทำไมตัวละครในช่วงท้ายเรื่อง ถึงอยากเอาแม่กลับมาอยู่บ้าน โดยที่หนังไม่ได้บอกเลยว่า แล้วพวกเขาจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลแม่

คือพอเทียบกับ YESTERDAY'S US (2019, Jenjira Kanawiwat) แล้วมันทำให้รู้สึกว่า PRECIOUS TIME มองโลกสวยเกินไปน่ะ เพราะ YESTERDAY'S US แสดงให้เห็นว่า สำหรับครอบครัวที่ไม่มีเงินจ้างพยาบาลหรือคนดูแลนั้น ภารกิจในการดูแลคนป่วยในครอบครัว มันหนักหนาสาหัสเพียงใด ในขณะที่ PRECIOUS TIME เหมือนพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความจริงดังกล่าวในตอนจบของหนัง

 SOMEWHERE ONLY WE KNOW (2019, Suthiwat Sirifar, A+25)

1.ชอบการใช้คลิปที่เหมิอนสารคดีมาประกอบหนัง   ซึ่งก็คือคลิปที่ถ่ายเหล่าบรรดาโอตะที่ญี่ปุ่น

2. ส่วนช่วงที่เป็น fiction การสนทนาของหนุ่มสาวนั้น เราชอบมาก แต่ไม่ได้ถึงขั้นชอบสุดๆนะ อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้อยู่ในวัฒนธรรมโอตะมั้ง เราก็เลยไม่ได้อินกับส่วนนี้

สิ่งที่ชอบมากในส่วนนี้ก็คือว่า มันดูเน้นความสมจริงมากกว่าการเร้าอารมณ์น่ะ (ซึ่งตรงข้ามกับหนังเรื่อง THE RAINBOW ที่ฉายต่อกัน 555) และเห็นได้ชัดว่า "ตัวละครมีชีวิตมาก่อนหน้าที่หนังจะเริ่มเรื่อง" คือเหมือนผู้สร้างหนังคิดไว้ดีมากว่า ตัวละครทั้งสองมีประวัติชีวิต และผ่านอารมณ์ความรู้สึกอะไรมาบ้าง ก่อนที่จะมาเจอกันโดยบังเอิญในครั้งนี้

3.แต่เหมือนมันยังขาด magic อะไรบางอย่าง เราก็เลยรู้สึกเหมือนหนังเรื่องนี้มันยังเกร็งๆ ยังไงไม่รู้ เราก็เลยไม่ได้ชอบมันแบบสุดๆ ซึ่งจะแตกต่างจาก 168 ฮกลกซิ่ว (2019, ณัฐพงศ์ ประศรี) ที่ฉายในงานเดียวกัน ซึ่งมีฉากหนุ่มสาวสองคนคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติและสมจริงเหมือนกัน ซึ่งเราว่าฉากนั้นใน 168 ฮกลกซิ่ว มันดูมี  magic มากๆ

No comments: