SOIL WITHOUT LAND (2019, Nontawat Numbenchapol, documentary, A+30)
ดินไร้แดน
1.ชอบเนื้อหาที่หนังนำเสนอมากๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย
ชอบที่หนังเลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้สู่การรับรู้ของผู้ชม
สาเหตุนึงที่เราไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน
อาจจะเป็นเพราะมันไม่ค่อยตกเป็นข่าวด้วยมั้ง ไม่เหมือนเรื่องของชาวโรฮิงญา
ขอสารภาพว่า
ก่อนหน้านี้เหมือนเราเคยได้ยินเรื่องกองกำลังรัฐฉานเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นมั้ง
จากเพื่อนที่เป็นเกย์คนนึง เพื่อนเราเล่าว่า เขาไปเที่ยวเชียงใหม่
และได้มีเซ็กส์กับหนุ่มหล่อคนนึง พอรุ่งเช้า หนุ่มหล่อคนนั้นก็บอกเพื่อนเราว่า
จริงๆแล้วเขาเป็นทหารของเจ้ายอดศึก และเขาต้องกลับขึ้นดอยแล้ว อะไรทำนองนี้
ซึ่งก็ไม่รู้ว่า สิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นบอกเพื่อนเรา
เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เขาเป็นทหารของเจ้ายอดศึกจริงๆ หรือเขาแต่งเรื่องขึ้นมา แต่มันเหมือนเป็นการรับรู้เพียงครั้งเดียวของเราที่มีต่อคนกลุ่มนี้
แล้วเราก็ไม่เคยได้ยินเรื่องของคนกลุ่มนี้อีก จนกระทั่งได้มาดูหนังสารคดีเรื่องนี้
2.จริงๆแล้วตอนที่ดูหนังเรื่องนี้
เราจะนึกถึงหนังเกี่ยวกับชาวยิวในยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ, นึกถึงหนังสารคดีต่างๆเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในเลบานอน
(เพราะพวกเขาเหมือนเป็น คนไร้รัฐ เหมือนกัน) และนึกถึงหนังสารคดีเกี่ยวกับนักรบชาวซีเรีย
อย่างเช่น THE RETURN TO HOMS (2013, Talal Derki) ด้วย เพราะ THE RETURN TO HOMS ก็ตามติดชีวิตของชายหนุ่มที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแบบคนธรรมดา
แต่ความขัดแย้งทางการเมืองก็ทำให้เขาต้องกลายเป็นนักรบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ตอนที่เราดูหนังกลุ่มข้างต้น เราจะรู้สึก “สบายใจ” ในระดับนึง
เพราะตอนที่เราดูหนังเกี่ยวกับชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง เราจะบอกตัวเองว่า “มันเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากเราทั้งในด้าน
เวลา และสถานที่” และเวลาที่เราดูหนังสารคดีเกี่ยวกับชาวปาเลสไตน์
และชาวซีเรีย เราก็จะบอกตัวเองว่า “มันเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากเรา ในแง่ของ
สถานที่”
เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่เรารู้สึกแตกต่างออกไป เวลาที่ดู SOIL WITHOUT LAND ก็คือว่า
เราไม่สามารถสร้างเกราะกำบังทางความรู้สึกให้กับตัวเองได้เหมือนเวลาที่เราดูหนังกลุ่มข้างต้น
เพราะมันไม่มีระยะห่างทางเวลาและสถานที่ สำหรับเราแบบหนังกลุ่มข้างต้น
ชาวไทใหญ่ในหนังเรื่องนี้อาศัยอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันกับเรา
และอาศัยอยู่ไม่ห่างจากเรา แต่ชีวิตของพวกเขาลำบากกว่าเรามากๆ
3.ก่อนที่จะดูหนังเรื่องนี้ เราจะแอบสงสัยด้วยว่า
มันจะแตกต่างจากหนังกลุ่ม “เกี่ยวก้อย” มากน้อยแค่ไหน เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เราได้ดูหนังสั้นกลุ่มเกี่ยวก้อยที่ดีมากๆหลายเรื่อง
ซึ่งหนังกลุ่มนี้จะนำเสนอเรื่องปัญหาชีวิตของชาวชาติพันธุ์ต่างๆโดยเฉพาะในภาคเหนือของไทย
พอได้ดู SOIL WITHOUT LAND จริงๆ
ก็พบว่าเนื้อหามันแตกต่างกันมากๆ โดยเฉพาะในเรื่อง “ต้นเหตุของปัญหา”
เพราะเวลาที่เราดูหนังกลุ่มเกี่ยวก้อยนั้น
เราจะรู้สึกว่าปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากกฎหมายของไทยที่ควรปรับปรุงแก้ไขในหลายๆจุด
แต่ปัญหาไม่ได้เกิดจากรัฐบาลเมียนมาเป็นหลัก
ส่วนใน SOIL WITHOUT LAND นั้น
ถึงแม้ชาวไทใหญ่ในเรื่องจะประสบปัญหาเวลามาทำงานในไทย
แต่น้ำหนักของหนังส่วนใหญ่เน้นไปที่ปัญหาที่เกิดจากรัฐบาลพม่าที่ดำเนินมานานหลายสิบปี
เราก็เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าสนใจดี และหนังเรื่องนี้มันก็เลยช่วยขยายการรับรู้ของเราว่าปัญหาทางชาติพันธุ์ในภาคเหนือของไทยมันมีความแตกต่างหลากหลายมากกว่าที่เราเคยคิดไว้
ความแตกต่างอีกอันที่น่าสนใจก็คือว่า หนังกลุ่มเกี่ยวก้อยมักจะเน้น “ชีวิตเด็กเล็ก”
เป็นหลัก ส่วน SOIL WITHOUT LAND นั้นเน้นไปที่ภารกิจของคนหนุ่ม
ซึ่งเป็นภารกิจที่ยากลำบากมาก
4.รู้สึกสะเทือนใจกับ “ความรู้สึก unstable” เวลาดูหนังของ
Nontawat หลายๆเรื่อง อาจจะเริ่มตั้งแต่ WEIDROSOPHER
WORLD (2005) ที่เป็นความ unstable ทางกายภาพ
เพราะมันเป็นหนังสารคดีที่ตามติดหนุ่มๆนักเล่นสเก็ตบอร์ด พวกเขาอาจจะล้มพลิกคว่ำคะมำหงาย
ประสบอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา
พอมาถึง BOUNDARY ความรู้สึก unstable จะกลายเป็นเรื่องของ
“ความไม่มั่นคงของชีวิต” แทน สำหรับชาวบ้านที่อยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
และความไม่มั่นคงของชีวิตนี้ ก็ปรากฏอยู่ใน BY THE RIVER (2013) ด้วย เพราะสารพิษในแม่น้ำอาจจะทำให้ subjects ในหนังล้มป่วยและเสียชีวิตได้
พอมาถึง SOIL WITHOUT LAND นี้ เราก็รู้สึกสะเทือนใจกับความไม่มั่นคงของชีวิตเช่นกัน
และมันเป็นความรู้สึกไม่มั่นคงที่รุนแรงมากๆด้วย เพราะมันเป็นความไม่มั่นคงทาง “ตัวตน”
อะไรบางอย่างน่ะ คือถ้าเทียบกับตัวเราเองแล้ว ถึงแม้เราจะรู้สึกไม่มั่นคงว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้าในชีวิตเรา
แต่อย่างน้อยเราก็รู้สึก “มั่นใจ” ว่า
เรามีสถานะที่ได้รับการรับรองทางกฎหมายจากรัฐบาลน่ะ คืออย่างน้อยเราก็รู้สึกมั่นคงกับตัวตนของเราในปัจจุบัน
ว่าสามารถกินอยู่หลับนอนในประเทศของตัวเองได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
เพราะฉะนั้นตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราก็เลยรู้สึกถึงความ unstable ที่รุนแรงกว่าหนังเรื่องอื่นๆ เพราะเหมือน subjects
ในหนังมีเรื่องให้ต้องกังวลมากมาย ต้องแบกรับทั้งปัญหาแบบ personal
และ political ทั้งเรื่องของการทำมาหากินเพื่อหาเลี้ยงชีพให้ตนเอง
และต้องกังวลกับการสู้รบกับทหารเมียนมาและว้าด้วย
No comments:
Post a Comment