เห็นข่าวดราม่าแล้วก็นึกถึงหนังสารคดีที่เราชอบมาก
ๆ เรื่อง “เก๊าไม้เอสเตท 1955” KAOMAI ESTATE 1955 (2021,
Navarutt Roongaroon, documentary, 8min, A+30) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโรงบ่มใบยาสูบเก่าแก่
เสียดายที่ตอนนี้ตัวหนังสารคดีจริง ๆ ที่ยาว 8 นาทีเรากดเข้าไปดูไม่ได้แล้ว
เหลือแต่คลิป trailer ที่ยาวเพียงแค่ 39 วินาที
https://web.facebook.com/ASAArchitectExposition/videos/1259247571208373
++++++++++++
ถ้าหากใครติดใจดนตรีบลูส์ใน SINNERS
(2025, Ryan Coogler, A+30) เราก็ขอแนะนำหนังเรื่องนี้นะคะ THE
SOUL OF A MAN (2003, Wim Wenders, documentary, 103min) หนังเรื่องนี้พูดถึงนักดนตรีบลูส์ 3 คน
ซึ่งได้แก่ Skip James, Blind Willie Johnson และ J. B.
Lenoir แล้วก็นำเสนอการแสดงของศิลปินดนตรียุคปัจจุบันอีกหลายคน
อย่างเช่น Nick Cave and
the Bad Seeds, Beck, Jon Spencer Blues Explosion, James 'Blood' Ulmer, T-Bone
Burnett, Eagle Eye Cherry, Shemekia
Copeland, Garland Jeffreys, Alvin Youngblood Hart, Los Lobos, Bonnie
Raitt, Lou Reed, Marc Ribot, Lucinda
Williams และ Cassandra
Wilson.
ตัวเราเองไม่ใช่แฟนดนตรีบลูส์ แต่เราจำได้ว่า
เราเคยฟังเพลงบลูส์ครั้งแรกก็จากตอนที่ดูหนังเรื่อง THE COLOR OF MONEY
(1986, Martin Scorsese, A+30) ตอนที่หนังเรื่องนี้เข้ามาฉายในไทยในช่วงต้นปี
1987 แล้วเราก็ซื้ออัลบัม soundtrack หนังเรื่องนี้มาฟังด้วย
อัลบัมชุดนี้มีเพลงของ Willie Dixon ซึ่งเป็นนักดนตรีบลูส์
ตอนนั้นเรายังเป็นนักเรียนมัธยมต้น พอฟังเพลงในอัลบัมชุดนี้แล้วก็รู้สึกว่า
มันไม่ใช่ทางของเรา แต่ก็ทำให้จดจำได้ว่า ดนตรี blues มันเป็นแบบนี้หรอกเหรอ
และเราก็เข้าใจว่า Martin Scorsese น่าจะชอบดนตรี blues มาก ๆ เพราะนอกจากเขาจะนำเพลง blues
มาใช้ประกอบหนังเรื่อง THE COLOR OF MONEY แล้ว
เขายังอำนวยการสร้างภาพยนตร์ชุด THE BLUES (2003) ด้วย
ซึ่งหนังสารคดีเรื่อง THE SOUL OF A MAN ก็เป็นส่วนหนึ่งของหนังชุด
THE BLUES นี้
ส่วนหนังเรื่องอื่น ๆ ในหนังชุด THE
BLUES ก็มีเช่น
1. FEEL LIKE GOING HOME (2003, Martin
Scorsese) พูดถึงดนตรีแนว Delta blues
2. THE ROAD TO MEMPHIS (2003, Richard Pearce) พูดถึง
Memphis blues
3. WARMING BY THE DEVIL’S FIRE (2003, Charles Burnett) น่าดูสุดขีด
4. GODFATHERS AND SONS (2003, Marc
Levin) พูดถึง Chicago blues
5. RED, WHITE & BLUES (2003, Mike Figgis) พูดถึงดนตรี
blues ในสหราชอาณาจักรอังกฤษ
6. PIANO BLUES (2003, Clint Eastwood) มีสัมภาษณ์ Ray Charles ด้วย
ในหนังชุด THE BLUES นี้
เราเคยดูแค่ THE SOUL OF A MAN นะ ส่วนหนังอีก 6 เรื่องที่เหลือเรายังไม่ได้ดู
+++++++++
ปีนี้เป็นปีของ “หนังยาวมาก” ของไทยจริง ๆ เพราะปีนี้มีการจัดฉาย
1.ภาพยนตร์เรื่อง
“สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่กลับออกจากป่า” หรือ INTERVIEWS
WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985,
produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705 min) ที่หอภาพยนตร์
ศาลายา ซึ่งตอนนี้เราได้ดูหนังเรื่องนี้ไปเพียง 654 นาที ( หรือ 10 ชม. 54 นาที) ยังเหลืออยู่อีก
51 นาทีที่เรายังไม่ได้ดู
แต่ช่วงหลัง ๆ ฟุตเตจของหนังเรื่องนี้มันซ้ำกับช่วงต้นเรื่องนะ
เพียงแต่ว่า “เสียง” มันชัดขึ้น เราก็เลยไม่แน่ใจว่า มันจะเป็นฟุตเตจซ้ำแบบนี้ต่อไปในช่วง
51 นาทีที่เหลือหรือเปล่า
2. I A PIXEL, WE THE PEOPLE (2025,
Chulayarnnon Siriphol, video installation, 1440 mins)
ในขณะที่เราหลงระเริงดีใจ
คิดว่าเหลืออีกเพียงแค่ 51 นาที เราก็จะได้ดูหนังเรื่อง INTERVIEWS WITH
FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY
จบแล้ว หลังจากเราทยอยดูหนังไทยที่เราชอบสุดขีดเรื่องนี้วันละนิดวันละหน่อยในช่วง
2-3 เดือนที่ผ่านมา เข้ก็เปิดตัวผลงานวิดีโอเรื่องใหม่ของเขาที่มีความยาวเพียงแค่
24 ชั่วโมงในวันนี้ โดยเราเข้าใจว่า งานวิดีโอนี้ประกอบด้วย 24 episodes และแต่ละ episode มีความยาว 1 ชั่วโมง
(เราไม่ได้รับสูจิบัตรงานนี้นะ แต่เราแอบส่องดูสูจิบัตรจาก facebook ของเพื่อน)
วันนี้เราลองไปดูงานวิดีโอนี้ของเข้
และเราก็ดูไปได้เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ นั่นก็คือ EPISODE 6 GOLDEN SPIRAL กับ EPISODE 7 CYBER SCOUT เราได้ดูในเวลาราว 18.00-20.00 น.
ตอนแรกเรากะจะนั่งดูถึง 23.00 น. แต่ปรากฏว่า
มันต้องนั่งดูกับพื้นค่ะ เราก็เลยนั่งขัดสมาธิดู แล้วก็พบว่า เราคงนั่งขัดสมาธิดูติดต่อกัน
5 ชั่วโมงไม่ได้แน่ ๆ มันทรมานขาเรามากพอสมควร สังขารเรานั่งนาน ๆ แบบนี้ไม่ไหว เราก็เลยดูหนังเรื่องนี้เพียงแค่
2 ชั่วโมงพอในวันนี้ แล้วถ้าวันอื่น ๆ เรามีเวลาว่าง เราค่อยมาดูอีก 22
ชั่วโมงที่เหลือ
แต่เราก็ไม่ mind เรื่องการนั่งขัดสมาธิดูหนังเรื่องนี้นะ
เพราะเราแอบเดาเอาเองว่า งาน video installation นี้อาจจะต้องการสร้างบรรยากาศอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึง
“การเข้าร่วมม็อบชุมนุมประท้วง” น่ะ ซึ่งผู้เข้าร่วมม็อบก็น่าจะต้องนั่งกับพื้นอย่างลำบาก
ๆ เป็นเวลานาน ๆ แบบนี้นี่แหละ จะให้นั่งบนเก้าอี้หลุยส์นุ่ม ๆ ดูวิดีโอนี้ติดต่อกันหลายชั่วโมง
มันก็อาจจะไม่เข้ากับจุดประสงค์ของงาน video installation ชิ้นนี้ก็ได้มั้ง
ซึ่งเข้อาจจะไม่ได้ตั้งใจสร้างบรรยากาศแบบการเข้าร่วมม็อบชุมนุมประท้วงก็ได้นะ
เพราะทั้งหมดนี้คือการที่เรารู้สึกเอาเอง เดาเอาเอง คือพอเราเห็นสิ่งต่าง ๆ ในนิทรรศการนี้
อย่างเช่น
1. กระโจมต่าง ๆ
2. ถุงกระดาษมากมาย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าสื่อถึงอะไร
มันอาจจะสื่อถึงสิ่งที่ครอบครัวเข้ชอบเก็บสะสม, การตั้งคำถามว่าอะไรเป็นศิลปะหรือไม่
หรืออาจจะสื่อถึง “สามัญชน” ก็ได้
3. กองเสื้อผ้าของคนธรรมดาเป็นภูเขาเลากา
เราก็เลยรู้สึกราวกับว่า การเข้าไปอยู่ในนิทรรศการนี้
มันให้ความรู้สึกคล้ายกับการเข้าร่วมม็อบชุมนุมประท้วงน่ะ ม็อบที่ประกอบไปด้วย “คนธรรมดา”
จำนวนมากมายมารวมตัวกัน และคนธรรมดาเหล่านี้ พอรวม ๆ ตัวกันมาก ๆ เข้า มันก็กลายเป็น
“ภูเขาใหญ่” และกลายเป็นอะไรที่ monumental ทลายได้ยาก
(นึกถึงสิ่งที่พวก Creepers ทำในช่วงท้ายของหนังเรื่อง MICKEY
17 สิ)
และความ monumental ของงานนี้ก็มาในรูปแบบทั้ง
“จำนวน” เสื้อผ้า, “ความใหญ่โต” ของกระโจม และ “ระยะเวลา” ของงานวิดีโอด้วย 55555
ในส่วนของตัววิดีโอที่เราได้ดูนั้น เราชอบทั้ง episode
6 และ 7 นะ โดย episode 6 นั้นเป็นเหมือน home
video ถ่าย Chulayarnnon ตอนที่ยังเป็นเด็กชั้นประถมมั้ง
โดยเฉพาะตอนที่เขาขึ้นไปแสดงบนเวที, นำเสนอผลงานการวาดรูปของเขา
และตอนที่เขาไปเที่ยวแดนเนรมิตในช่วงราว ๆ ปี 1996 และก็มีคลิปเด็กอีกคนใน supermarket
ในยุคปัจจุบันด้วย ซึ่งเราไม่แน่ใจว่านั่นคือลูกของ Chulayarnnon
หรือเปล่า
แล้วก็มีฉากแพทย์บรรยายเรื่องการตัดรังไข่ด้วย
ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดเท่าที่เราดูใน EPISODE
6 นั้น เหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เคยผ่านตาเรามาก่อนเลย ถึงแม้เราเคยดูหนังของเข้มาแล้วมากมายหลายเรื่องนับตั้งแต่เราได้ดูภาพยนตร์เรื่อง
HUA-LAM-PONG (2004, Chulayarnnon Siriphol) เป็นต้นมา เราก็เลยชอบส่วนนี้มาก
ๆ
ส่วน EPISODE 7 นั้น
ช่วงต้น ๆ เรากรีดร้องหนักมาก เพราะมันเป็นการสัมภาษณ์อดีตลูกเสือชาวบ้านในปีพ.ศ.
2519 รุนแรงที่สุด
แต่ช่วงต่อมาของ episode 7 เหมือนเป็นการผสมหนังเก่าของ Chulayarnnon สองเรื่องเข้าด้วยกัน
ซึ่งก็คือ 10 YEARS THAILAND: PLANETARIUM (2018) กับ THAI
CONTEMPORARY POLITICS QUIZ (2010, Scene22, A+30) เพราะฉะนั้นเนื้อหาช่วงนี้ก็เลยไม่น่าตื่นเต้นสำหรับเรามากนัก
แต่เราก็ดูได้ เหมือนเป็นการทบทวนบทเรียนเก่า ๆ โดยเฉพาะ PLANETARIUM ที่เราเคยดูไปเพียงแค่ครั้งเดียวเมื่อหลายปีก่อน
สรุปว่า เหลืออีก 51 นาที เราก็จะดู INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY จบ และเหลืออีก 22 ชั่วโมง เราก็จะดู I A PIXEL, WE THE PEOPLE จบค่ะ
No comments:
Post a Comment