บันทึกความทรงจำไว้ว่า
นับตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมา เราได้ดูหนังยาว (และหนังขนาดกลาง) 10 เรื่องไปแล้ว
เรื่องละ 2 รอบ
1. SMALL HOURS OF THE NIGHT (2024, Daniel Hui, Singapore,
103min)
ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีด เราได้ดูหนังเรื่องนี้ใน BANGKOK
EXPERIMENTAL FILM FESTIVAL ในวันที่ 26 ม.ค.
และในวันที่ 31 ม.ค.
2. THE MOURNING FOREST (2007, Naomi Kawase, Japan, 97min)
ชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ HOUSE ในวันที่ 9 ก.พ. และในวันที่ 15 ก.พ. แต่จริง ๆ แล้วเป็นการดูเพียง 1 รอบครึ่ง
เพราะในวันที่ 15 ก.พ.เราได้ดูเพียงแค่ 60 นาทีแรก แล้วเราต้องรีบวิ่งมาดู BLACK BUTTERFLIES (2024, David
Baute, Spain/Panama, animation, A+30) ที่ Alliance รอบ 18.00 น.
เราเลือกที่นั่งริมสุดนะ เราจะได้ออกจากโรงได้สะดวก
3. THE BOY ON THE LIGHTHOUSE เด็กชายบนประภาคาร (2025,
Pichet Wongjoi, 90min, A+30)
ชอบหนังเรื่องนี้อย่างรุนแรง เราได้ดูหนังเรื่องนี้ที่ CINEMA
OASIS ในวันที่ 23 ก.พ. และในวันที่ 27
ก.พ.
4.THE BRUTALIST (2024, Brady Corbet,
214min, A+30)
ชอบสุดขีด ก็เลยดูสองรอบเลย
รอบแรกดูที่ PARAGON ในวันจันทร์ที่
3 มี.ค. รอบ 1440
รอบสองดูที่ SF TERMINAL 21 ในวันอังคารที่ 4 มี.ค. รอบ 1145
5.MAGIC MIRROR (2013, Sarah Pucill, UK,
75min, A+30)
เราดูทางดีวีดีไปแล้วสองรอบ
เพราะว่าชอบหนังอย่างสุดขีด
6. HAPPYEND (2024, Neo Sora, Japan,
113min, A+30)
ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีด การดูรอบแรกเกิดขึ้นในวันที่
8 ก.พ. รอบ 16.15 น.
ส่วนการดูรอบสองเกิดขึ้นในวันที่ 11 มี.ค. รอบ 18.35 น
7. GRAND TOUR (2024, Miguel Gomes,
Portugal, 128min, A+30)
ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีด
เราดูรอบแรกที่ HOUSE SAMYAN ในวันที่ 21 มี.ค. รอบ 17.20 น.
เราดูรอบสองที่ HOUSE SAMYAN ในวันที่ 23 มี.ค. รอบ 10.15 น.
8. A WORKING MAN (2025, David Ayer,
116min, A+15)
เราดูรอบแรกที่ Paragon ในวันศุกร์ที่
28 มี.ค.รอบ 11.30 น. ซึ่งหนังเริ่มฉายจริงตอนราว ๆ 12.00 น. แต่เราดูไม่จบ
เพราะเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงช่วง 13.20-13.30 น. เราก็เลยรีบเผ่นออกจากโรงหนังด้วยความรวดเร็ว
เราดูรอบสองที่ SF MBK ในวันที่
9 เม.ย. รอบ 14.10 น. คราวนี้เราได้ดูจนจบ
9. COLORFUL STAGE! THE MOVIE: A MIKU
WHO CAN’T SING (2025, Hiroyuki Hata, Japan, animation, A+30)
ชอบหนังเรื่องนี้อย่างสุดขีด อินกับหนังเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว
เราดูรอบแรกที่ MAJOR EKKAMAI ในวันที่ 11 เม.ย.รอบ 14.00 น.
เราดูรอบสองที่ SF MBK ในวันที่
16 เม.ย. รอบ 13.10 น.
10. CHINESE INK (2016, Ghassan Salhab,
Lebanon, 55min, A+30)
อันนี้อาจจะเป็น “หนังขนาดกลาง” มากกว่า “หนังยาว”
แต่เราถือโอกาสมารวมไว้ด้วยกัน 5555
เราดูหนังเรื่องนี้ทางเว็บไซต์ FESTIVAL
SCOPE ในวันที่ 21 เม.ย. พอดูรอบแรกแล้วชอบมาก
ก็เลยกินข้าว เสร็จแล้วก็ดูซ้ำรอบสองในทันทีก่อนที่หนังจะหมดอายุ
บันทึกการดูหนังซ้ำสองรอบครั้งก่อน ๆ ที่เราเคยโพสท์ไว้ก่อนหน้านี้
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10236918715250994&set=a.10236654765052404
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10236982245079200&set=a.10236654765052404
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10237078328441224&set=a.10236654765052404
+++++++++
ความสุขอย่างหนึ่งที่เราได้รับจากการดูหนังก็คือว่า
เวลาที่เราดูหนังเรื่อง A มันมักจะทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง B
โดยที่ผู้สร้างหนังเรื่อง A ไม่ได้ตั้งใจ
มันเหมือนกับว่า เนื้อเรื่องของหนังแต่ละเรื่อง มันอยู่คนละจักรวาลกัน
แต่พอเราดูหนังเหล่านั้น หนังเหล่านั้นก็เข้ามาอยู่ในหัวของเรา และหัวของเราก็มีจักรวาลจินตนาการเป็นของตัวเอง
และเปิดโอกาสให้เนื้อเรื่องและตัวละครของหนังแต่ละเรื่องมาประสบพบเจอ
ผสมพันธุ์ข้ามเรื่องกันได้ ภายในจักรวาลที่อยู่ในจินตนาการของเราเอง
หรือของผู้ชมแต่ละคน
ตอนที่เราดู HAPPYEND (2024, Neo Sora,
A+30) มันก็มีบางจุดของหนังที่ทำให้เรานึกถึง KISS OF THE
SPIDER WOMAN (1985, Hector Babenco, A+30) โดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างที่เราเคยเขียนถึงไปแล้วอย่างละเอียด
และปรากฏว่า ตอนที่เราดู SNOW WHITE (2025, Marc Webb, A+) มันก็มีจุดหนึ่งที่ทำให้เราแว่บนึกไปถึง
HAPPYEND โดยไม่ได้ตั้งใจด้วย 55555 เพราะสิ่งที่เราชอบที่สุดใน SNOW
WHITE 2025 ก็คือตัวละคร Dopey มันดูเหมือนเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักมาก
ๆ ชอบมาก ๆ ที่ตัวละครเด็กหนุ่มคนนี้กลายเป็นเหมือนยุวชนหัวขบถ ลุกขึ้นต่อต้านผู้ปกครองประเทศและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในช่วงท้ายของ
SNOW WHITE
เพราะฉะนั้นพอเราเห็น Dopey ทำแบบนั้นในช่วงท้ายของ SNOW WHITE เราก็เลยเผลอจินตนาการไปว่า
ถ้าหาก Dopey เป็นคนจริง ๆ ก็คงจะดีนะ ถ้าเขาเป็นมนุษย์จริง
ๆ เขาอาจจะเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักแบบ Kou (Yukito Hidaka) ใน
HAPPYEND ก็ได้ เพราะ Kou ก็เริ่มต้นจากการเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยแสดงออกทางการเมือง
และกลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่สนใจการเมืองอย่างรุนแรง และลุกขึ้นต่อต้านผู้มีอำนาจอย่างจริงจัง
และถ้าหาก Dopey เท่ากับ Kou
ตัวละคร Snow White (Rachel Zegler) ก็จะเท่ากับ
Fumi (Kilala Inori) ใน HAPPYEND ในฐานะ
“หญิงสาวผู้นำกลุ่มกบฏ” ที่ชักจูงให้เด็กหนุ่มบางคนตามมาเป็นยุวชนหัวขบถเหมือนเธอด้วย
55555
อันนี้คือที่เราเขียนถึง HAPPYEND + KISS OF THE SPIDER WOMAN
https://web.facebook.com/photo?fbid=10236701641224279&set=a.10236654765052404
+++++++
งดงามที่สุด พอได้อ่านสิ่งที่คุณมโนธรรมเขียนแล้วก็เห็นด้วยมาก
ๆ เรารู้สึกว่าตอนที่หนังเรื่อง GRAND TOUR ถ่าย “ทัศนียภาพของเอเชียในยุคปัจจุบัน”
นั้น มันคล้าย ๆ กับหนังเงียบเมื่อ 100 ปีก่อน โดยเฉพาะหนังหลาย ๆ เรื่องที่กำกับโดย
Gabriel Veyre ที่เคยมาถ่ายอินโดจีนและอีกหลายประเทศทั่วโลกในปี
1896-1900 และหนังเรื่อง MELODY OF THE WORLD (1929, Walter Ruttman, Germany,
A+30) ที่มาบันทึกภาพชาวบ้านในประเทศสยามหรือประเทศไทยในทศวรรษ 1920
เพื่อนำไปให้ชาวโลกได้ดูกัน
+++++++++++
พอได้อ่านที่คุณมโนธรรมเขียนถึง GRAND
TOUR (2024, Miguel Gomes, Portugal, A+30) ก็เลยนึกถึงหนังของ Gabriel
Veyre อย่างเช่นหนังเรื่องนี้
ANNAMITE CHILDREN PICKING UP CASH IN FRONT OF THE LADIES’
PAGODA (1899-1900, Gabriel Veyre, shot in Vietnam) ซึ่งเป็นหนังที่อาจจะถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นในปี
1900 ในเวียดนามอย่างตรงไปตรงมา แต่พอมาดูในยุคปัจจุบันแล้วก็พบว่า หนังเรื่องนี้มันเก็บบันทึกอะไรบางอย่างของผู้คนในยุค
COLONIAL เอาไว้ได้ดีมาก ๆ เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนดูแล้วอาจจะนึกถึง
“สลิ่ม” 55555
ข้อมูลเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ที่มีคนแปะไว้
The footage shows two French women throwing coins to
Vietnamese children, who then scramble to collect them. This film was shot
between 1899 and 1900 in what was then French Indochina (now Vietnam) by
director Gabriel Veyre. The women in the video are identified as the wife of
Paul Doumer (the Governor-General of French Indochina at that time. Doumer
later became the President of France in 1931), Blanche Doumer née Richel and
among their daughters, Hélène Blanche Doumer is the one during the filming depicted
in the footage.
https://www.youtube.com/watch?v=tr8B9GBDxrM
GOLD (1983) – Spandau Ballet เพลงที่เข้ากับยุคสมัยนี้
55555 ตัวมิวสิควิดีโอเพลงนี้มีการพาดพิงถึงหนังเรื่อง GOLDFINGER (1964,
Guy Hamilton) ด้วย และเราสงสัยด้วยว่า มิวสิควิดีโอเพลงนี้
ได้รับแรงบันดาลใจบางส่วนมาจากหนังเรื่อง EDEN AND AFTER (1970, Alain
Robbe-Grillet, A+30) ด้วยหรือเปล่า
https://www.youtube.com/watch?v=ntG50eXbBtc
งาน Flaherty ปีนี้เปิดรับสมัครแล้ว
จำกัดเพียง 60 ที่นั่งเท่านั้น ค่าสมัคร 32.56
ดอลลาร์สหรัฐสำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่นักศึกษา ช่วงนี้บาทแข็ง ดอลลาร์อ่อน
บาท/ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาแล้ว 9.87% ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
เพราะฉะนั้นรีบจ่ายเงินค่าสมัครตอนที่เงินบาทแข็งค่าแบบนี้เลยค่ะ
++++++++++
THE BLUE PLANET (1982, Franco Piavoli, Italy, 79min, A+30)
ดูได้ที่ Le Cinema Club จนถึงราว
ๆ เช้าวันศุกร์ที่ 25 เม.ย.
https://www.lecinemaclub.com/now-showing/the-blue-planet/
Franco Piavoli ปัจจุบันนี้มีอายุเกือบ 92
ปีแล้ว และกำกับหนังอิตาลีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950
แต่เราเพิ่งได้ดูหนังของเขาเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ตอนที่ Le Cinema Club นำมาฉายเนี่ยแหละ กราบ
หนังงดงามมาก ๆ เป็นเหมือนบทกวีที่เรียงร้อยภาพธรรมชาติกับชีวิตชาวบ้านเข้าด้วยกัน
เราชอบ gaze ของเขามาก ๆ โดยเฉพาะเวลาที่เขาถ่ายสิ่งต่าง ๆ
ตามธรรมชาติ จะว่ามันมีความเป็นหนังอนุรักษ์ธรรมชาติ + หนัง National Geographic
ผสมอยู่ด้วยก็ได้ แต่พอมันไม่มีเสียงบรรยายหรือท่าทีสั่งสอนอะไร
มันก็เลยให้ความรู้สึกเป็นบทกวี มากกว่าที่จะเป็นหนังสารคดีที่เน้นเนื้อหาสาระ
Andrei Tarkovsky เคยกรีดร้องอย่างรุนแรงให้กับหนังเรื่องนี้ด้วย
After watching The Blue Planet at Venice Film Festival
in 1982, Tarkovksy described the film as “a poem, concert, journey into the
universe, nature, life… truly a different vision.”
ซึ่งตอนที่เราดูหนังเรื่องนี้ เราก็นึกถึง Tarkovsky
เหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่หนังถ่ายพงหญ้าริมน้ำ ที่ทำให้เรานึกถึงช่วงท้าย
ๆ ของ SOLARIS (1972, Andrei Tarkovsky)
พอ THE BLUE PLANET เริ่มเน้นไปที่
“มนุษย์ในชนบท” ในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง เราก็รู้สึกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในหนังเรื่องนี้
มี sense บางอย่างที่ทำให้เรานึกถึงหนังของ Hayao Miyazaki
โดยไม่ได้ตั้งใจ เหมือนหนังของทั้งสองคนนี้แสดงให้เห็นถึง “ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่รายล้อมรอบตัวชาวบ้านในชนบท”
เหมือนกัน เพียงแต่ว่าหนังของ Franco Piavoli เน้น “ธรรมชาติ”
โดยปราศจากเนื้อเรื่อง ส่วนหนังของ Hayao Miyazaki เป็นหนังเล่าเรื่องที่เน้น
“เรื่องเหนือธรรมชาติ”
พอดู THE BLUE PLANET แล้วก็เลยทำให้นึกถึงหนังอิตาลีอีก
3 เรื่องที่ถ่ายทอดธรรมชาติออกมาได้อย่างงดงามสุด ๆ ด้วย
ซึ่งก็คือ THE AGE OF SWORDFISH (1954, Vittorio De Seta), THE
HOLE (2021, Michelangelo Frammartino) และ VERMIGLIO (2024, Maura Delpero)
เสียดายที่เรายังไม่เคยดู KOYAANISQATSI (1982,
Godfrey Reggio) ที่ออกฉายในปีเดียวกับ THE BLUE PLANET เพราะเรารู้สึกว่าหนังสองเรื่องนี้น่าจะเป็น “แฝดคนละฝากัน”
และน่าจะเข้าข่าย “หนังที่ออกฉายไล่เลี่ยกันแล้วมีความคล้ายคลึงกันโดยไม่ได้ตั้งใจ”
55555
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10224847974130010&set=a.10221574828503415
เรารู้สึกว่า จริง ๆ แล้วหนังอย่าง MAN
WITH A MOVIE CAMERA (1929, Dziga Vertov, Soviet Union), THE BLUE PLANET, BARAKA
(1992, Ron Fricke), NAQOYQATSI (2002, Godfrey Reggio), DOGORA (2004, Patrice
Leconte, France) อะไรพวกนี้ น่าจะมีศัพท์เรียก “หนังกลุ่มนี้” โดยเฉพาะนะ
แต่เราไม่รู้ว่ามันมีศัพท์เฉพาะนั้นหรือยัง
เพราะเรารู้สึกว่าหนังเหล่านี้มันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่จะเรียกว่ากลุ่ม non-narrative
documentary หรือกลุ่มหนัง avant-garde มันก็กว้างไป
หรือจะเรียกว่ากลุ่ม visual montage เหรอ
หนังไทยที่น่าจะอยู่ในกลุ่มนี้ได้ ก็มีเรื่อง FOURTH
WORLD พื้นที่ในสำนึก (2007, Chayanis Wongthongdee,
Techanan Jirachotrawee, 13min) มั้ง
No comments:
Post a Comment