RIP TED KOTCHEFF (1931-2025)
เราน่าจะเคยดูหนังที่เขากำกับแค่เรื่องเดียวมั้งนะ
ซึ่งก็คือ “เอาศพไปพักร้อน” หรือ WEEKEND AT BERNIE’S (1989)
แต่มีหนังบางเรื่องของเขาที่เราไม่แน่ใจว่าเราเคยดูตอนเด็ก
ๆ หรือเปล่า อย่างเช่น FIRST BLOOD (1982) และ SWITCHING
CHANNELS (1988)
เขาเคยได้รางวัล “หมีทองคำ”
จากเทศกาลภาพยนตร์เบอร์ลินด้วยนะ จากหนังเรื่อง THE APPRENTICESHIP OF
DUDDY KRAVITZ (1974, Canada) ที่นำแสดงโดย Richard Dreyfuss
และเขาเคยเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์
จากหนังเรื่อง WAKE IN FRIGHT (1971) และ JOSHUA THEN
AND NOW (1985, Canada) ด้วย
ภาพจากหนังเรื่อง WAKE IN FRIGHT
+++
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เราได้ไปดูหนังเรื่อง
DO THE RIGHT THING (1989, Spike Lee, A+30) ที่หอภาพยนตร์
ศาลายา เสร็จแล้วก็ดูหนังที่ห้องสมุดหอภาพยนตร์ต่อ
พอดูหนังที่ห้องสมุดเสร็จแล้ว วันนั้นเราเลยลองเดินทางกลับด้วยรถเมล์สายที่ไม่เคยขึ้นมาก่อน
นั่นคือสาย 124 เพราะว่าปกติเราจะกลับด้วยรถเมล์สาย 515 แต่บางทีสาย 515
ก็รอนานมาก วันนั้นเราเลยลองเปลี่ยนสายรถเมล์ดู
วันนั้นเราเลยเดินมาขึ้นรถเมล์ที่ป้ายตรงข้ามห้าง
Macro Salaya ได้ขึ้นรถเมล์สาย 124 ตอน 17.37 น.
แล้วก็มาลงรถเมล์ที่ป้ายแยกบรมราชชนนี ตอน 18.28 น. แล้วก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า MRT
สถานีบางยี่ขัน ใช้เวลาเดินราว 8 นาที สรุปว่าใช้เวลาราว 1 ชั่วโมงในการเดินทางจากหอภาพยนตร์มายังสถานี MRT บางยี่ขัน
ก็เลยสรุปว่า สาย 124 เป็นสายที่เราเดินทางกลับได้ด้วยเหมือนกัน
มาต่อรถไฟฟ้า MRT ได้เหมือนกัน แต่มีข้อด้อยกว่าสาย 515
เล็กน้อย เพราะว่าต้องใช้เวลาเดินราว 8 นาทีในการมายังสถานี MRT บางยี่ขัน และเราสังเกตว่ามีขี้หมาประปรายระหว่างทางด้วย
เพราะฉะนั้นเวลาเดินต้องระวังให้ดีนะคะ
++++++
เราเพิ่งค้นพบว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 28
มี.ค. อาจจะสร้าง trauma ให้เราโดยไม่รู้ตัว เพราะมันแอบเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกและในความฝันของเราแล้ว
เมื่อไม่กี่คืนก่อน เราฝันว่า เรากำลังจะไปเรียนที่มหาลัย
(คือในชีวิตจริงกูเรียนจบมหาลัยตั้งแต่เดือนต.ค. 1994 หรือเมื่อ 30 ปีมาแล้ว แต่ปัจจุบันนี้เราก็ยังคงฝันว่า
เรายังเรียนไม่จบมหาลัยอยู่เกือบทุกสัปดาห์ 55555 )
แล้วในขณะที่เรากำลังจะเดินไปที่ตึกเรียนนั้น
เราก็เห็นฝูงมดดำวิ่งพล่าน ๆ อยู่บนพื้นทางเดิน เราก็พยายามเดินหลบเลี่ยงอย่างยากลำบาก
เพื่อจะได้ไม่เดินเหยียบมัน แต่มันก็ยากมาก เพราะมดมันวิ่งพล่าน ๆ กระจายทั่วพื้น
พอเราเดินผ่านฝูงมดดำมาได้ไม่เท่าไหร่
เราก็เจอฝูงมดแดงวิ่งพล่าน ๆ อยู่บนพื้นทางเดินเหมือนกัน เราก็พยายามเดินหลบเลี่ยงมันเหมือนกัน
แล้วเราก็นึกขึ้นมาได้ว่า หรือว่ามดพวกนี้มันมี
sixth sense รับรู้ได้ว่า มันกำลังจะเกิดแผ่นดินไหวหรือเปล่าวะ
มันเลยวิ่งพล่าน ๆ กันแบบนี้ มันถึงได้เกิดอาเพศแบบนี้ กรี๊ดดดดดดด แล้วกูควรจะเดินเข้าไปเรียนหนังสือในตึกเรียนไหมเนี่ย
ถ้าอาคารเรียนมันถล่มขึ้นมา แล้วเราจะทำยังไง
แต่เราก็ตัดสินใจเข้าไปเรียนหนังสือ
แต่ก็พบว่าเราไม่รู้ “ตารางสอน” เราก็เลยพยายามตามหาเพื่อนสนิทเราเพื่อสอบถามเรื่องตารางสอน
แล้วเราก็ตื่นนอนขึ้นมา
เหมือนครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตเราเลยมั้ง
ที่เราเกิดความกล้วแผ่นดินไหวในฝันของเรา เราไม่เคยฝันถึงเรื่องแผ่นดินไหวอะไรแบบนี้มาก่อน
แสดงว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวในวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา มันเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราแล้วโดยไม่รู้ตัว
แต่นี่น่าจะเป็นความฝันครั้งที่ 1560 แล้วมั้ง
ที่เรา “ยังเรียนไม่จบมหาลัย” ในความฝัน 55555 (เราฝันถึงเรื่องเรียนไม่จบมหาลัยราวสัปดาห์ละครั้ง
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้น 52 คูณ 30 เท่ากับ 1560)
ส่วนความฝันของเราในคืนล่าสุดนั้น
เราฝันว่าเรากำลังนั่งดู closing credits ของหนังเรื่องนึงอยู่ในรอบดึก
เพื่อรอดูว่ามันจะมีฉากอะไรท้ายเครดิตไหม แต่เราง่วงมาก เราก็เลยหลับปุ๋ยไปเลยระหว่างนั่งดู
closing credits พอเราตื่นขึ้นมาอีกที เราก็พบว่า
เรายังคงนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ แต่โรงภาพยนตร์มันมืดสนิท ไม่มีคนเลย แสดงว่าพนักงานโรงภาพยนตร์ไม่เห็นหัวเรา
ไม่สังเกตว่าเรานั่งหลับอยู่ในโรงหนัง พวกเขาไม่ได้มาปลุกเรา แล้วพวกเขาก็ปิดโรงหนังไป
เหลือเราถูกทิ้งไว้อยู่คนเดียวในโรงหนังอันมืดสนิท กรี๊ดดดดดดด
แล้วเราก็พยายามหาทางออกจากโรง แล้วเราก็ตื่นนอนขึ้นมา
ก็เลยรู้สึกว่า มันประหลาดและตลกดี ที่เราฝันว่า
“เราง่วงนอน จนหลับไป แล้วตื่นนอนขึ้นมา” ในฝัน ก่อนที่จะตื่นนอนขึ้นมาจริง ๆ
อีกที 55555 คือขนาดเรานอนหลับอยู่ เรายังคงฝันว่า “เราง่วงนอน” อยู่เลย
++++++++
LOOK CLOSELY ENOUGH (2024, Warat Bureephakdee, 25min, A+30)
1. ในที่สุดก็เจอหนังไทยที่สามารถปะทะกับหนังของ
Herbert Achternbusch ได้ 55555 เพราะหนังไทยเรื่องนี้มีความเฮี้ยน,
ความ cult, ความประสาทแดก, ความบ้า ๆ บอ ๆ, ความไร้เหตุผล, ความพิสดาร,
ความตลก ผสมอยู่ด้วยกันอย่างน่าสนใจ และก็มีเนื้อหาสาระสอดแทรกอยู่ด้วย แต่ก็เป็นหนังที่เราดูแล้วไม่สามารถตีความอะไรได้อย่างแน่ใจเลย
เช่นเดียวกับหนังหลาย ๆ เรื่องของ Achternbusch
2. อีกจุดที่ทำให้นึกถึงหนังของ Achternbusch
โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็คือการที่หนังเรื่องนี้ให้วิญญาณของป๋วย
อึ้งภากรณ์ กับวิญญาณของปรีดี พนมยงค์ ที่สิงสู่อยู่ในรุปปั้น พูดคุยกัน จุดนี้ทำให้นึกถึง
“ความหลอนของประวัติศาสตร์” ในหนังของ Achternbusch อย่างเช่นใน
HEAL HITLER! (1986) ที่ตัวละครทหารเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเดินทางข้ามเวลามาสังเกตเยอรมนีในทศวรรษ
1980 และใน I KNOW THE WAY TO THE HOFBRAUHAUS (1992) ที่มีตัวละครมัมมี่อียิปต์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเดินท่องเยอรมนีในยุคปัจจุบัน
มีคนเขียนว่าหนังของ Achternbusch ชอบนำเสนอ an intermediate realm in which the dead interact with
the living ซึ่งเราก็คิดว่าหนังเรื่อง LOOK CLOSELY ENOUGH ก็เกือบ ๆ จะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
3. ดูแล้วเราก็ไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะพูดถึงอะไรโดยรวมนะ
55555 แต่ดูแล้วก็ชอบสุด ๆ อยู่ดี ตอนที่ดูหนังเรื่องนี้เราจะนึกถึงประเด็นดังต่อไปนี้ด้วย
3.1 ตอนแรกเรานึกว่าหนังเรื่องนี้จะสะท้อนถึงความเหลวเป๋วของวัยรุ่นยุคปัจจุบัน
หลังจากการลุกขึ้นสู้ของวัยรุ่นในยุคปี 2020-2021 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว ทำนองคล้าย ๆ
กับการลุกฮือของหนุ่มสาวในยุโรปในปี 1968 ที่พบกับความล้มเหลวและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง
แต่พอเราดูหนังเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ เราก็คิดว่านี่อาจจะไม่ใช่ประเด็นของหนังเรื่องนี้ก็ได้
3.2 ไม่แน่ใจว่าพื้นที่ที่ใช้ถ่ายหนังเรื่องนี้คือพื้นที่ใกล้ๆ
ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต และม.กรุงเทพ รังสิต หรือเปล่า
เราคิดว่าหนังเรื่องนี้ต้องการเก็บภาพและถ่ายทอดบรรยากาศยามกลางคืนของพื้นที่แถบนั้นเอาไว้
ซึ่งเราไม่มีความรู้เรื่องพื้นที่แถบนั้น เราก็เลยไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้ต้องการจะสะท้อนความเห็นอะไรเกี่ยวกับพื้นที่ตรงนั้นหรือเปล่า
แต่ก็ชอบที่หนังพยายามถ่ายทอดบรรยากาศของพื้นที่แถบนั้นเอาไว้
3.3 ชอบ “เสรีภาพ” ในหนังเรื่องนี้ ชอบที่มีการนำเสนอรูปปั้นป๋วยกับปรีดี
และไม่ได้ treat รูปปั้นเหล่านี้ว่าเป็น “สิ่งศักดิ์สิทธิ์”
เพราะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือแนวคิดของทั้งสองท่านนี้ต่างหาก
เพราะฉะนั้นในหนังเรื่องนี้เราเลยได้เห็นพฤติกรรมที่แสดงถึง “เสรีภาพ”
ได้อย่างน่าสนใจ ทั้ง
3.3.1 สิ่งที่ตัวละครชายหนุ่มสองคนทำกับรูปปั้น
3.3.2 กลุ่มตัวละครที่ “นอนแผ่ร้องแอ๊”
อย่างบ้าคลั่งและไร้เหตุผลหน้ารูปปั้น
3.3.3 ตัวละครที่พยายามหาสถานที่เพื่อมีเซ็กส์กันในสวนบริเวณนั้น
ชอบที่หนังไม่ได้ประณามและไม่ได้ยกย่องการกระทำของตัวละครต่าง
ๆ แต่เหมือนให้ผู้ชมลงความเห็นต่อตัวละครต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง หรือคิดถึงประเด็นเรื่อง
“เสรีภาพ” ด้วยตัวเอง อย่างเช่น การนอนแผ่ร้องแอ๊ ในหนังเรื่องนี้ ผู้ชมแต่ละคนก็สามารถลงความเห็นได้ด้วยตัวเองว่า
ตัวละคร “มีเสรีภาพ” ที่จะทำสิ่งนี้หรือไม่
ซึ่งอาจจะเป็นคนละประเด็นกับประเด็นที่ว่า ตัวละคร “สมควร” ทำสิ่งนี้หรือไม่
เหมือนตัวละครทำในจุดที่ก้ำกึ่งระหว่าง “เสรีภาพ” กับ “ความเหมาะสม”
แล้วเราก็รู้สึกว่าจุดนี้มันน่าสนใจดี
4. ตัวละครพระเอกนี่พิศวงมาก
เราไม่รู้ว่าเขาคือคนหรือผี หรือคนหรือสัตว์หรืออะไร 55555
5. ในหนังมีการพูดถึงแนวคิดเรื่อง “สันติประชาธรรม”
ของอ.ป๋วยด้วย ซึ่งเราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
6. ช่วงท้ายของหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงช่วงท้ายของหนังเรื่อง
WE
LIVE IN A BEAUTIFUL WORLD (2022, วรัตต์ บุรีภักดี,
34min, A+30) โดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเรารู้สึกว่าช่วงท้ายของหนังทั้งสองเรื่องนี้
เหมือนเป็นการ “ทอดสายตามองความเป็นไปของโลกยุคปัจจุบันด้วยความเป็นห่วงเป็นใย”
เหมือนกัน
LOOK CLOSELY ENOUGH ถือเป็นหนังเรื่องที่ 21 ของคุณ Warat ที่เราได้ดู ส่วนอีก 20 เรื่องที่เราได้ดูนั้น เราเคยทำรายชื่อไว้แล้วที่นี่
https://web.facebook.com/photo/?fbid=10235108510517007&set=a.10233542333003548
+++
เราชอบเวอร์ชั่นของ Godard มากกว่า CARMEN (1984, Francesco Rosi, France/Italy) และ U-CARMEN EKHAYELITSHA (2005, Mark Dornford-May, South
Africa)
++++
เพิ่งรู้ว่าราษฎรชาวไทยเคยร่วมกันสังหารหมู่ชาวจีนราว
3000 คนที่ฉะเชิงเทราในปีค.ศ. 1848 ในสมัยร.3 รุนแรงมาก ๆ
เราไม่เคยรู้เรื่องเหตุการณ์นี้มาก่อนเลย
https://www.silpa-mag.com/history/article_74866
No comments:
Post a Comment