Friday, June 20, 2025

LOVE OR LIE

ATTACK 13 (2025, Taweewat Wantha, A+30)

 

1. สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ ก็คือตัวละคร “จิน” (อ๊ะอาย-กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ) นี่แหละ ถือเป็นตัวละครหญิงที่เราอินด้วยมาก ๆ ได้ใจเราอย่างสุด ๆ นึกว่า “จิน” = จิตร โพธิ์แก้ว 55555

 

2. ชอบช่วงแรก ๆ ของหนังมากกว่าช่วงหลัง ๆ นะ เพราะพอมันเข้าสู่ความเป็น “หนังผี” เต็มตัว แล้วมันก็จะต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า “ผีในหนังเรื่องนี้สามารถทำอะไรได้บ้าง” ซึ่งเรารู้สึกว่า หนังเรื่องนี้เปิดโอกาสให้ผี  “มีอิทธิฤทธิ์ได้มากเกินไป” สำหรับเราหน่อยนึงน่ะ เหมือนผีในหนังเรื่องนี้สามารถฆ่าคนได้ง่ายเกินไปสำหรับเรา เราก็เลยรู้สึกว่า “กฎกติกาสำหรับผี” ในหนังเรื่องนี้ มันไม่ค่อยเข้าทางเราซะทีเดียว ความสนุกของเราในช่วงครึ่งหลังของหนัง ก็เลยลดลงมาหน่อย

 

ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาเดียวกับที่เรามีกับช่วงครึ่งหลังของ DEATH WHISPERER 2 (2024)

 

3. ตอนนี้ก็ยังสรุปไม่ได้นะว่า เราชอบหนังเรื่องไหนของ Taweewat Wantha มากที่สุด ระหว่าง ATTACK 13, DEATH WHISPERER (2023), THE SPERM (2007) และ SARS WARS: BANGKOK ZOMBIE CRISIS (2004) เหมือนเราชอบทั้ง 4 เรื่องเท่า ๆ กันในตอนนี้

 

ตอนนี้ก็เลยบอกได้แต่ว่า ตัวละคร “จิน” นี่น่าจะเป็น “หนึ่งในตัวละครหญิงที่เราชื่นชอบมากที่สุดในหนัง mainstream ของไทย”

++++++

 

LOVE OR LIE (2025, Jit Kamnoedrat, A+25)

ฮักสัปปะลี่กับคดีสีชมพู

 

1. สิ่งที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็คือ “ความตั้งใจในการเขียนบทภาพยนตร์” นี่แหละ คือจริง ๆ แล้วตัวบทภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้ก็อาจจะมีจุดที่ไม่เข้าทางเราบ้างนะ แต่เรารู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มี “ความตั้งใจจริงจังในการเขียนบท” มาก ๆ หรือมากกว่าหนังไทยเมนสตรีมหลาย ๆ เรื่อง เราก็เลยชอบจุดนี้มากที่สุดของหนัง

 

ชอบความพยายามที่จะเล่าเรื่องแบบคล้าย ๆ jigsaw ในหนังเรื่องนี้ คือหนังไม่ได้เล่าเรื่องเป็นเส้นตรง แต่เอาเนื้อเรื่องมาเล่าทีละเสี้ยว ทีละเสี้ยว แล้วคนดูต้องคอยประกอบภาพรวมในหัวเอาเอง ซึ่งวิธีการเล่าแบบนี้ต้องอาศัยความตั้งใจจริงในการเขียนบทสูงมาก และสิ่งนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ขาดไปในหนังไทยเมนสตรีมบางเรื่อง โดยเฉพาะหนังตลก

 

ดูหนังเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงหนังเรื่องอื่น ๆ ที่มีวิธีการเล่าคล้าย ๆ jigsaw เหมือนกัน อย่างเช่น

 

1.1 STRANGE DARLING (2023, JT Mollner, A+30)

 

1.2 VANTAGE POINT (2008, Pete Travis)

 

1.3 TICK TOCK (2000, Kevin Tenney, A+30)

 

1.4 OUT OF SIGHT (1998, Steven Soderbergh, A+30)

 

2. รู้สึกว่าทั้งพระเอกและผู้ร้าย (แฟรงค์) ของหนังเรื่องนี้น่ารักดี แล้วพอดูจบเราถึงเพิ่งรู้ว่าพระเอกของหนังเรื่องนี้คือ ศตานนท์ ดุรงคเวโรจน์ เราจำเขาแทบไม่ได้เลย อยากแต่งตั้งให้ ศตานนท์ เป็น national treasure สมบัติของชาติของประเทศไทย 55555

 

3. เราไม่เชี่ยวชาญเรื่องหนังฮอลลีวู้ดยุคเก่า เพราะฉะนั้นพอเราดูหนังเรื่องนี้ เราก็เลยสงสัยว่า หนังเรื่องนี้ถือเป็น SCREWBALL COMEDY หรือมีความเป็น SCREWBALL COMEDY ผสมอยู่ในหนังด้วยหรือเปล่า ถ้าใครมีความเห็นอะไรเกี่ยวกับประเด็นนี้ก็บอกมาได้นะคะ เพราะเราไม่เชี่ยวชาญเรื่อง SCREWBALL COMEDY จริง ๆ

 

ตัวอย่างของหนังกลุ่ม SCREWBALL COMEDY ก็มีเช่น TROUBLE IN PARADISE (1932, Ernst Lubitsch), IT HAPPENED ONE NIGHT (1934, Frank Capra), MY MAN GODFREY (1936, Gregory La Cava), EASY LIVING (1937, Mitchell Leisen), THE AWFUL TRUTH (1937, Leo McCarey), BRINGING UP BABY (1938, Howard Hawks), HOLIDAY (1938, George Cukor), THE LADY EVE (1941, Preston Sturges), MR. & MRS. SMITH (1941, Alfred Hitchcock), I MARRIED A WITCH (1942, René Clair)

 

4. ขำที่ตัวละครพระเอกของหนังมีนามสกุลว่า “โพธิ์แก้ว” เหมือนเรา 55555 แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจมากนัก เพราะนามสกุลของเราเป็นนามสกุลโหล มีคนที่มีนามสกุลเดียวกับเราในทุกจังหวัดของไทย แต่คนนามสกุล “โพธิ์แก้ว” ที่กระจายอยู่ทุกจังหวัดในประเทศไทยนี้ ไม่ได้เป็นญาติกันแต่อย่างใด

 

พอพูดถึงนามสกุล “โพธิ์แก้ว” ของเราแล้ว เราก็ขอเล่าเสริมว่า เราเข้าใจว่าต้นตระกูลของเราเป็น “ชาวนาในจังหวัดนครนายก” นะ เหมือนเราเคยได้ยินว่าปู่กับย่าของเราน่าจะเป็นชาวนาในจังหวัดนครนายก แต่ว่าพ่อของเราเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1976 ตอนที่เราอายุ 3 ขวบ แล้วหลังจากนั้นเราก็แทบไม่เคยได้ยินเรื่องราวของฝั่งครอบครัวพ่อเราอีกเลย และตอนนี้เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า “ปู่” กับ “ย่า” ของเรามีชื่อว่าอะไร หรือว่าพ่อของเรามีพี่น้องกี่คน 55555 สรุปว่าในชีวิตจริงนั้น ถ้าหากเราเจอคนนามสกุล “โพธิ์แก้ว” มันก็อาจจะมีความเป็นไปได้เพียงแค่ราว 1% ที่คนคนนั้นอาจจะเป็นญาติห่าง ๆ ของเรา

 

5. ทำไมดูตัวละครนางเอก “ปั๋น” (ตูน ภัสร์ดารินทร์ ปริญญารักษ์) ในหนังเรื่องนี้ แล้วนึกถึง “อึ้งย้ง” ใน “มังกรหยก” โดยไม่ได้ตั้งใจ 55555 รู้สึกว่า “เสน่ห์” ของตัวละครนางเอกสองคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้นึกถึงกัน อาจจะเป็นที่ความฉลาดและ “มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว” อะไรทำนองนี้มั้ง

 

6. ส่วนสาเหตุที่ทำให้เราไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้ถึงขั้น “ชอบสุด ๆ” หรือ A+30 ในตอนนี้ (แต่เราอาจจะชอบหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป) ก็เป็นเพราะว่า โทนของหนังเรื่องนี้มัน “เบา” เกินไปสำหรับเรามั้ง และเรามักไม่อินกับ “ความตลก” ในหนังเรื่องต่าง ๆ น่ะ ซึ่งรวมถึงในหนังต่างประเทศอย่างเช่น HIGH FIVE (2025, Kang Hyoung-chul, South Korea, A+25) ที่เพิ่งดูมาด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของหนังเหล่านี้แต่อย่างใดนะ เพราะหนังเหล่านี้อาจจะเป็นหนังที่ดี หรือเป็น “หนังตลกที่ดี” ก็ได้ แต่เราแค่ไม่อินกับหนังตลก หรือ “ความตลกในหนังเรื่องต่าง ๆ” เท่านั้นเองจ้ะ เราก็เลยไม่ได้ชอบหนังเหล่านั้นถึงขั้น A+30 และเราก็มักจะอินกับ “หนังสยองขวัญ” หรือหนังที่ซีเรียสจริงจังมากกว่า

 

ตัวอย่างของ “สิ่งที่เราไม่อินด้วย” ใน LOVE OR LIE ก็มีเช่น

 

6.1 การที่นางเอกขู่พระเอกด้วย “สายฉีดก้น” แล้วพระเอกกลัวจนต้องยอมทำตาม คือสิ่งนี้เป็นสิ่งที่โอเคแหละใน “หนังตลก” แต่เราไม่อินกับอะไรแบบนี้จ้ะ

 

6.2 การที่นางเอกใช้ประโยชน์จาก “กลุ่มอันธพาล 3 คน” ที่ถือปืนไล่ล่าตามฆ่าแฟรงค์

 

คือเรารู้สึกว่ากลุ่มอันธพาล 3 คนที่ถือปืนไล่ล่าตามฆ่าผู้ชายแปลกหน้า ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนเลวจริง ๆ หรือเปล่า นี่มันน่ากลัวพอ ๆ กับพวกตัวละครผู้ร้ายใน THE TEXAS CHAINSAW MASSACRE (1974, Tobe Hooper) เลยน่ะ แต่เหมือนหนังไม่ได้มองว่าตัวละครเหล่านี้น่ากลัวสุดขีดแบบที่เรามอง และปั๋นก็ยังไปใช้ประโยชน์จากตัวละครกลุ่มนี้อีก อันนี้ก็เลยถือเป็นอีกจุดนึงในหนังที่ไม่เข้าทางเรา

 

7. หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่เราชอบมากที่สุดของคุณ “จิต กำเหนิดรัตน์” เพราะก่อนหน้านี้เราเคยดูหนังของเขาอีก 2 เรื่อง ซึ่งก็ไม่ได้ชอบมากเท่านี้ โดยหนังอีก 2 เรื่องนั้นก็คือ

 

7.1 LOVE ARUMIRAI เลิฟอะรูมิไลค์ รักอะไรไม่รู้ (2015, จิต กำเหนิดรัตน์ + ชนาการ สายทอง, C+ )

 

7.2 CURSE แช่ง (2019, Jit Kamnoedrat, A+)

--วิปลาส (B )

--TATTOO (A+)

--คำแช่ง (A+20)

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10219068164998394&set=a.10218747653865816

 

8. ชอบตัวละครพนักงานโรงแรมหน้าบอกบุญไม่รับมาก ๆ

 

 

+++++++++

 

ดู “มนุษย์ 100 คุก” A MAN WHO WAS JAILED 100 TIMES (1979, Thitisarn Suriyong, A+30) แล้วอยากรู้มาก ๆ ว่า นักแสดงท่านไหนรับบทเป็นเด็กวัดชื่อ “ไอ้เป้ง” คะ หล่อมาก ๆ

 

Edit เพิ่ม: ตอนนี้ค้นเจอแล้วค่ะว่า คือคุณ จิระศักดิ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา เป็นน้องชายของคุณอรสา อิศรางกูร และเป็นพี่ชายของคุณจิระวดี อิศรางกูร

https://web.facebook.com/photo/?fbid=1273733732791634&set=a.832973860200959&locale=th_TH

 

+++++++

อันดับหนึ่งของเราในช่วงครึ่งปีแรก น่าจะเป็น INTERVIEWS WITH FORMER THAI COMMUNIST PARTY MEMBERS WHO RETURNED TO THE CITY (1985, produced by Kraisak Choonhavan, documentary, 705 min) ค่ะ

+++++++++++

 

ดีใจที่ตัวดิฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของ I A PIXEL, WE THE PEOPLE EPISODE 18: VOLUNTARY ARTIST: KIRATI (2025, Chulayarnnon Siriphol, video installation, 60min, A+30) ค่ะ โดยฟุตเตจดังกล่าวน่าจะเป็นการนำเอาภาพยนตร์เรื่อง FORGET ME NOT (2018, Chulayarnnon Siriphol, 90min, A+30) มา recycle ใหม่

+++++++++

 

อ่านเรื่องภาพของคุณ Butterfly Tong ที่ถูกสั่งปลดจากนิทรรศการ PRIDE ในโรงแรมแห่งหนึ่งแล้ว เราก็เลยนึกถึงนิทรรศการอะไรสักอย่างที่ “หอกลาง จุฬา” ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ที่มีการจัดฉายภาพยนตร์และวิดีโอต่าง ๆ โดยมีภาพยนตร์เรื่อง LIKE THE RELENTLESS FURY OF THE POUNDING WAVES หรือ “แม่ย่านาง” (1996, Apichatpong Weerasethakul, A+30) ร่วมแสดงด้วย และมีการจัดฉายภาพยนตร์สั้นเรื่องหนึ่งของคุณ Michael Shaowanasai ด้วย ซึ่งเราจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร เราจำได้แต่ว่า ตอนที่เราไปดูนิทรรศการดังกล่าว ภาพยนตร์เรื่อง “แม่ย่านาง” ได้รับการจัดฉายตามปกติ แต่ภาพยนตร์ของคุณ Michael ถูกสั่งห้ามฉาย โดยเจ้าหน้าที่เล่าว่า มีอาจารย์ของจุฬาท่านนึงมาดูนิทรรศการนี้ แล้วอีอาจารย์เหี้ยตัวนั้นเกลียดชังหนังของคุณ Michael Shaowanasai อย่างรุนแรงมาก ก็เลยสั่งห้ามฉายหนังเรื่องนี้ เราก็เลยอดดูไปเลย

 

มีใครรู้ข้อมูลเพิ่มเติมอะไรเกี่ยวกับนิทรรศการที่หอกลาง จุฬาในครั้งนั้น ก็มาเล่าได้นะคะ

 

กรี๊ดดดดดดดดดดดด ขอบพระคุณมากครับ ที่แท้คือหนังเรื่อง EASTERN WIND (1996, Michael Shaowanasai) นี่เอง

จำได้ว่าผมชอบงาน BEAUTY FIRST (Montri Toemsombat) ในนิทรรศการนี้มาก ๆ ด้วยครับ

 

++++++++

ขอเพิ่มรายชื่อภาพยนตร์/วิดีโอ 3 เรื่องนี้เข้าไปในรายชื่อ “หนังที่ออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วมีอะไรคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ”

 

82. MICKEY 17 (2025, Bong Joon Ho)

+ TO THE MARS AND BACK (2024, Chanya Hetayothin, 9:55 min, animation)

+  THE TRIP TO THE MOON (TARDIGRADE) (2025, Anurak Tanyapalit, video installation, 14min)

 

เพราะว่าหนัง/วิดีโอ ทั้ง 3 เรื่องนี้นำเสนอตัว tardigrade หรือสัตว์ที่คล้าย ๆ ตัว tardigrade ในอวกาศเหมือนกัน

 

วิดีโอ THE TRIP TO THE MOON (TARDIGRADE) เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ WHERE ARE WE LANDING ที่จัดแสดงที่ JWD Artspace จนถึงวันที่ 3 ส.ค.นะ

 

ดูรายชื่อ “หนังที่ออกฉายในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วมีอะไรคล้ายคลึงกันโดยบังเอิญ” ได้ที่

https://web.facebook.com/photo/?fbid=10224847974130010&set=a.10221574828503415

 

+++++++++

 

ประทับใจสิ่งที่ Jonas Mekas เขียนอย่างรุนแรงสิ่งขีด จนเราต้องขอ copy เก็บไว้

 

What it comes to is that the new cinema is being kept out; noncommercial cinema is being kept out; the avant-garde is being kept out. There is an open fear of poetry. It is so much easier to laugh yourself away with a cute, empty cartoon. It’s easy to sit through a “serious” realistic or psychological movie (by a “wellknown” director): it doesn’t really move or disturb us; we are able to keep a “safe” distance. Whereas poetry asks for our hearts. Poetry is dangerous to our egos. “Those damn film poets!” cried out Pauline Kael during one of the festival symposiums. For the poets are disturbing Pauline Kael; they don’t leave Pauline Kael in peace, they want her to wake up, to change, they want her heart to melt

 

“Damn those film poets!” cries Pauline Kael, for somewhere deep she realizes that there is no real protection against poetry, that eventually the poet’s arrows will get her. Instead of saying “How ominous we are,” we say, “How ominous is Godard”—that way we can continue our ugly existences in peace. That is the saddest failure of modern criticism.

 

Instead, these critics keep telling us: You can’t do this in cinema; you can’t do that; this belongs to literature; this belongs to painting, or science. Godard is saying: Go to hell. Everything is possible. Or we don’t care about the possible and the impossible. We have things to tell and we’ll tell them and while we tell them we’ll find new ways of telling them, new forms, new poetic figures.

 

Now I know what Pauline Kael lost at the movies: the taste for cinema.

 

On the symposiums, Andrew Sarris found himself in a position of a professional caught among amateurs; a professor dragged into a discussion of higher mathematics with students in the first grade. He could tell them things, teach them—but he couldn’t really discuss anything on a proper level: They wouldn’t understand his language.

 

Quotes เหล่านี้มาจากหนังสือ MOVIE JOURNAL: THE RISE OF A NEW AMERICAN CINEMA 1959-1971 ของ Jonas Mekas นะ เป็นหนังสือที่มีให้อ่านออนไลน์ เราลองคลิกดูผ่าน ๆ แล้วพบว่ามันน่าสนใจมาก เพราะมันพูดถึงผู้กำกับภาพยนตร์หลายคนที่เราไม่เคยดูหนังของเขามาก่อน อย่างเช่น Gregory Markopoulos, Barbara Rubin, Warren Sonbert, Marie Menken, Willard Maas, Joyce Wieland, Lionel Rogosin, Naomi Levine, Storm de Hirsch, The Kuchar Brothers, etc. โลกภาพยนตร์นี่ยังมีอะไรที่น่าดูอย่างสุด ๆ รอเราอยู่จริง ๆ

 

https://monoskop.org/images/3/39/Mekas_Jonas_Movie_Journal_The_Rise_of_a_New_American_Cinema_1959-1971_1972.pdf

 

CINEMANIA (2002, Angela Christlieb, Stephen Kijak, USA/Germany, documentary, 79min, A+30)

 

เราอยากดูหนังเรื่องนี้มานาน 20 กว่าปีแล้ว ในที่สุดก็ได้ดูเสียที หนังสารคดีที่ถ่ายทอดชีวิตของ cinephiles 5 คนในนครนิวยอร์ค ซึ่งทั้ง 5 คนนี้ไม่ใช่ cinephiles ระดับธรรมดา แต่เป็นระดับ “บ้าคลั่ง” บางคนนี่ดูเป็นตัวอันตรายมาก ๆ มีสิทธิถ้าเราได้เจอในชีวิตจริงอาจมีการจิกตบกระชากหนังหัวกันแน่นอน 55555

 

ชอบมาก ๆ ที่ทั้ง 5 คนนี้มีความบ้าคลั่งในภาพยนตร์เหมือนกัน แต่แต่ละคนก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางคนคลั่งหนังฝรั่งเศส, บางคนคลั่งหนังเพลง, บางคนจำความยาวของภาพยนตร์ที่เคยดูได้ทุกเรื่อง, บางคนเป็นนักร้องเรียนเรื่อง “ความบกพร่องในระหว่างการฉายหนัง” และบางคนชอบด่าทอและบีบคอพนักงานโรงภาพยนตร์ จนทางโรงภาพยนตร์ต้องแบนผู้หญิงคนนี้ไม่ให้เข้าโรงภาพยนตร์อีกต่อไป แต่ผู้หญิงคนนี้ก็พยายามปลอมตัว แต่งหน้าทาปาก ทาอายแชโดว์มาต่อแถวซื้อตั๋วที่โรงภาพยนตร์ แต่เจ้าหน้าที่ก็จำได้ และห้ามไม่ให้เธอเข้าไปดูหนังในโรง 55555

 

บางจุดนี่เหมือนตัวเรามาก ๆ อย่างเช่น “ความสนุกในการจัดตารางการดูหนัง” เพราะว่าถ้าหากเวลา 19.00 น.ของวันจันทร์ เราเลือกดูหนังเรื่องนี้ เราก็อาจจะพลาดหนังอีก 7 เรื่องที่ฉายในเวลาเดียวกันในวันเดียวกันในโรงภาพยนตร์อื่น ๆ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเลือกหนังที่ดูในแต่ละ slot ให้ดี เพื่อที่เราจะได้ดูหนังที่เราอยากดูมากที่สุดเป็นจำนวนมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้

 

บางคนก็จดชื่อหนังที่ตัวเองเคยดูลงสมุดด้วย ซึ่งก็เหมือนกับเรามาก ๆ เช่นกัน

 

ชอบที่หนังเรื่องนี้บันทึกวัฒนธรรมการดูหนังก่อนยุคอินเทอร์เน็ตแพร่หลาย, ก่อนยุคโทรศัพท์มือถือ, ก่อนยุคสตรีมมิง และเป็นช่วงที่วัฒนธรรม multiplex เพิ่งเริ่มต้นด้วย

 

หนังเรื่องนี้เปิดให้ดูฟรีออนไลน์จนถึงราว ๆ เที่ยงวันศุกร์ที่ 20 มิ.ย.นะ

No comments: