Tuesday, November 16, 2021

THE MEDIUM (2021, Banjong Pisanthanakun, A+30)

 

THE MEDIUM (2021, Banjong Pisanthanakun, A+30)

ร่างทรง

 

spoilers alert

--

--

--

--

--

1.จริง ๆ แล้วตอนดูจบก็ชอบหนังในระดับ A+30 นะ แต่พอดูจบแล้วได้มาคุยกับเพื่อน ๆ ใน facebook แล้วทำให้เชื่อมากยิ่งขึ้นว่า ต้นกำเนิดส่วนหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้นกับมิ้งอาจจะมาจากความอาฆาตแค้นของกลุ่มกบฏผู้มีบุญแล้วทำให้ยิ่งชอบหนังมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับมิ้งมันดู “มากเกินไป” น่ะ แบบมิ้งทำผิดอะไร ทำไมต้องมารับกรรมหนักขนาดนี้ คือการมี sex กับผู้ชายจำนวนมากและการมี sex กับพี่ชายตัวเองมันก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นๆ มากถึงขั้นที่สมควรต้องโดนลงโทษหนักขนาดนี้น่ะ ส่วนการตบเด็ก ตบคนไปทั่วนี่เราว่ามันไม่น่ามาจากตัวมิ้งเอง แต่มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะมาจากการถูกผีเข้าแล้ว

 

คือพอดูจบแล้วพบว่าตัวละครถูกฆ่าตายจำนวนมาก เพราะมีคนแค้นฝังหุ่นกับตระกูลฝั่งพ่อของมิ้ง เราก็จะรู้สึกว่ามันมากเกินไปนิดนึง เพราะเหมือนตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าตระกูลนี้ทำอะไรผิดรุนแรงมากนัก จนถึงขั้นสมควรพบเจอกับอะไรแบบนี้ แต่เราติดใจกับคำพูดของตัวละครที่ว่า ต้นตระกูลนี้เคยฆ่าตัดคอคนหลายร้อยคน ก่อนที่ตระกูลนี้จะมาทำโรงงานปั่นด้าย แล้วเผาโรงงานตนเอง คือพอเราฟังได้แค่นี้ (ซึ่งอาจจะฟังตกหล่นไป) เราก็เลยนึกถึงเหตุการณ์ฆ่าตัดคอกบฏผู้มีบุญหลายร้อยคนที่ทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานีเลย ถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่หนังอาจไม่ได้ตั้งใจ แต่เราชอบมากที่หนังทำให้เราคิดถึงเรื่องนี้โดยที่หนังอาจไม่ได้ตั้งใจ

 

อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่

https://theisaanrecord.co/2021/06/16/phi-bun-rebellion-14/

 

ตอนนั้นทางการก็ส่งคนมาปราบ มีอาวุธที่ทันสมัย ผู้คนก็โดนปราบปรามได้ง่าย กบฏหลายที่ถูกจับ ที่บ้านสะพือใหญ่ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลฯ ก็มีการตายหลายคน

 

คนที่เป็นเหมือนแกนนำก็ถูกฆ่าตัดหัวประจานในพื้นที่ของตัวเอง แล้วก็มีมีการจับกุมคนประมาณ 200-300 คน มาไว้ที่ทุ่งศรีเมือง ผมไม่รู้ว่าช่วงนั้นมีฝนไหม แต่เป็นช่วงเดือนเมษาฯ ปี 2444-2445 เข้าใจว่า ช่วงนั้นยังคงมีการนับปีใหม่แบบไทยที่เป็นช่วงสงกรานต์ ทุ่งศรีเมืองจึงกลายเป็นลานสังหาร มีการฆ่าตัดหัว แล้วเขาเชื่อกันว่าศพจะถูกทิ้งลงแม่น้ำ มันคือการปราบปรามแบบกำราบ

 

 

แล้วพอได้คุยกับเพื่อนใน Facebook ที่ตั้งข้อสังเกตเรื่องความฝันของมิ้ง ที่เหมือนฝันเห็นผู้ชายที่แต่งกายคล้าย ๆ คนเมื่อ 100 ปีก่อน กับหัวคนที่พยายามพูดอะไรบางอย่างกับเธอ เราก็เลยยิ่งเชื่อมากยิ่งขึ้นไปอีกว่า ต้นตระกูลของมิ้งอาจจะเคยมีส่วนร่วมในการฆ่าตัดคอกบฏผู้มีบุญหลายร้อยคน แล้วพอความเชื่อของเราหันเหมาแบบนี้ เราก็เลยเหมือนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อหนังเรื่องนี้ไปเลย

 

คือถ้าหากต้นตระกูลของมิ้งเป็นเพียงแค่เพชฌฆาตธรรมดาในเรือนจำที่เคยสังหาร “อาชญากรชั่ว” หลายร้อยคน เราก็จะรู้สึกว่าหนังมันไม่สมเหตุสมผลสำหรับเราน่ะ เพราะอาชญากรชั่วหลายร้อยคน (ที่อาจจะสมควรถูกลงโทษในระดับนึง) ไม่น่าจะมีอำนาจทางจิตมากพอถึงขั้นที่จะตามสาปแช่งตระกูลของเพชฌฆาตได้นานเป็นร้อยปีแบบนี้ แต่ถ้าหากต้นตระกูลของมิ้งมีส่วนร่วมในการฆ่ากบฏผู้มีบุญหลายร้อยคน อันนี้สิถือเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลสำหรับเราที่จะทำให้เกิดอาเพศแบบในหนังขึ้นได้ เพราะบางทีการฆ่าตัดคอกบฏผู้มีบุญหลายร้อยคนมันอาจจะเป็น “ความอยุติธรรม” และเราชอบโลกจินตนาการที่ให้อำนาจแก่ “เหยื่อของความอยุติธรรม” ในการสาปแช่งได้อย่างสัมฤทธิ์ผล หรือในการตอบโต้เอาคืนได้อย่างสัมฤทธิ์ผล

 

คือจริง ๆ แล้วหนังมันก็ไม่ได้ชี้ชัดในตัวหนังเองหรอกว่า มันมีต้นเหตุมาจากกบฏผู้มีบุญ แต่พอหนังมัน “เปิดโอกาส” ให้เราจินตนาการต่อได้เองอย่างสนุกสนานแบบนี้ เราก็เลยชอบหนังอย่างสุด ๆ 5555

 

แต่ถึงต้นเหตุมันจะมาจากกบฏผู้มีบุญจริง ๆ เราก็ไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับมิ้งเป็นสิ่งที่ยุติธรรมนะ เพราะเรามองว่าไม่มีใครเลือกได้ว่าจะเกิดเป็นลูกของใคร เพราะฉะนั้นลูก ๆ ที่ไม่ได้ต้องการรับทรัพย์สมบัติใด ๆ จากพ่อแม่ ก็ไม่สมควรที่จะต้องรับกรรมใด ๆ ที่พ่อแม่หรือต้นตระกูลเคยก่อไว้ แต่ถึงแม้สิ่งที่เกิดขึ้นกับมิ้งมันจะไม่ยุติธรรมในแง่นึง แต่เราก็อดสะใจไม่ได้ที่ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นเมื่อ 100 ปีก่อนได้รับการเอาคืนอย่างรุนแรง

 

2.สรุปว่าหนังเรื่องนี้ทำให้เราเอามาจินตนาการต่อเองได้ดังนี้ว่า (ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่ผู้สร้างหนังตั้งใจแต่อย่างใด 5555)

 

2.1 ต้นตระกูลยะสันเทียะเคยมีส่วนร่วมในการฆ่าตัดคอกบฏผู้มีบุญหลายร้อยคนเมื่อราว 100 ปีก่อน และเจอคำสาปแช่งและจิตอาฆาตแค้นของผู้มีบุญที่ถูกฆ่าตัดคอ และพอมันเป็นเรื่องของความอยุติธรรมอย่างร้ายแรงมาก ๆ คำสาปแช่งจึงมีอำนาจจริง

 

2.2 นอกจากนี้ ต้นตระกูลยะสันเทียะในรุ่นต่อ ๆ มายังเป็นนายทุนใจร้ายด้วย และคง treat คนงานอย่างเลวร้ายมาก ๆ จนทำให้คนงานบางคนอาจจะทำหุ่นฟางคุณไสยสาปแช่ง

 

2.3 คำสาปแช่งจากทั้งหุ่นฟางและกบฏผู้มีบุญ ส่งผลให้ผู้ชายในตระกูลเจออะไรซวย  ๆ และส่งผลให้มิ้งเจออะไรซวย ๆ ด้วย

 

2.4 คนในตระกูลคนทรง อาจจะมีลักษณะทางกรรมพันธุ์ ทำให้ถูกสิงจากวิญญาณได้โดยง่าย เพราะฉะนั้นคำสาปจากหุ่นฟางและกบฏผู้มีบุญ ก็เลยอาจจะส่งผลให้มิ้งเจอความซวย ด้วยการถูกวิญญาณผีห่าอะไรต่าง ๆ มารุมเข้าสิง ซึ่งรวมถึงวิญญาณหมาที่ถูกน้อย (ศิราณี ญาณกิตติกานต์) เอาเนื้อมาขาย โดยวิญญาณหมาพวกนี้จะมีความอิจฉาริษยา “ลัคกี้” มากเป็นพิเศษ 55555

 

2.5 เนื่องจากมันเป็นคำสาปแช่งจากกบฏผู้มีบุญหลายร้อยคน มันก็เลยส่งผลรุนแรงมาก ๆ เหมือนดวงจิตอาฆาตพวกนี้นอกจากทำให้ผู้ชายในตระกูลเจออะไรซวย ๆ แล้ว มันยังรอ “ช่องทางระบายออก” มานานเป็นร้อยปีแล้วด้วย จนกระทั่งดวงจิตเหล่านี้ได้มาเจอกับมิ้งที่มาจากสายเลือดตระกูลร่างทรง คนในตระกูลนี้พร้อมจะถูกเข้าสิงได้ง่ายกว่าคนธรรมดา ดังนั้นมิ้งจึงเป็น “ช่องทางระบายออก” ของพลังอาฆาตแค้นที่เหมาะสมที่สุด

 

2.6 ส่วนย่าบาหยันนั้นเราก็ขอเลือกที่จะจินตนาการว่ามีจริง แต่สู้วิญญาณพวกนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นรูปปั้นของเธอคงไม่ถูกตัดคอ เหมือนเธอเกือบจะสู้ได้แล้วตอนเข้าสิงร่างน้อย แต่พอน้อยพยายามจะทำตัวเป็นแม่ของมิ้ง ย่าบาหยันเลยหลุดออกจากร่างน้อยไป

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราจินตนาการไว้นี้ก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเล่น ๆ เท่านั้น และเราก็ชอบสุด ๆ ที่ผู้ชมแต่ละคนจินตนาการออกมาไม่ซ้ำกันเลย และดูเหมือนหลายคนจะ enjoy กับจินตนาการของตัวเองมาก ๆ มีทั้งผู้ชมที่ไม่เชื่อว่าย่าบาหยันมีจริง และมีทั้งผู้ชมที่เชื่อว่าย่าบาหยันอยู่ฝ่ายเดียวกับวิญญาณร้ายด้วย ซึ่งเรารู้สึกว่าการที่หลาย ๆ คนจินตนาการออกมาในแบบที่แตกต่างกันไปนี้เป็นสิ่งที่เราชอบสุด ๆ

 

อ่านตัวอย่างจินตนาการของบางคนได้ที่นี่

https://pantip.com/topic/40986971

https://pantip.com/topic/41076837

 

 

3.เราว่าการที่หลายคนจินตนาการออกมาไม่ซ้ำกันเลยนี้ เป็นเพราะหนังมันเลือกจะไม่บอกอะไรหลาย ๆ อย่าง ซึ่งมันมาจากการที่หนังเลือกเล่าเรื่องผ่านทาง “กล้องของทีมงานสารคดี” นี่แหละ คือพอหนังมันเลือกเล่าเรื่องผ่านทาง “กล้องสารคดี” แบบนี้ มันก็เลยเป็นการจำกัดมุมมองของผู้ชม และไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรหลาย ๆ เรื่องให้ผู้ชมได้รับรู้ ทั้งเรื่องที่ว่าใครตัดเศียรรูปปั้นย่าบาหยัน, ตัวละครตัวไหนพูดจริงหรือตอแหล, สาเหตุของแต่ละเหตุการณ์มันมาจากอะไรกันแน่

 

คือเราว่าการที่หนังทำตัวเป็น “สารคดีปลอม” แบบนี้ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียน่ะแหละ ข้อดีก็คือสิ่งที่เราเขียนไว้ข้างต้น เพราะหนังมันจำกัดมุมมองของผู้ชม, ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรหลาย ๆ อย่าง และการไม่อธิบายแบบนี้ ก็เลยกระตุ้นจินตนาการของผู้ชมแบบเราให้แต่งเรื่องแต่งราวต่อไปได้เองอย่างสนุกสนานสราญใจมาก ๆ 55555

 

แต่ข้อเสียก็คือ ความเป็นสารคดีของมันดูลักลั่นในหลาย ๆ จุด อย่างที่ผู้ชมคนอื่น ๆ เขียนไปแล้ว

 

แต่เป็นโชคดีของเราที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ช้ามาก ๆ คือเราเห็นหนังมันดัง เราก็เลยไม่รีบดู เพราะรู้ว่ามันคงฉายอีกนาน เรารีบดูหนังหายากเรื่องอื่นๆ  แบบหนังใน “เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์” ที่มาฉายที่ศาลายาก่อนดีกว่า อะไรแบบนี้ จนกระทั่งเทศกาลหนังมาราธอนออนไลน์กำลังจะเริ่มต้นในวันที่ 12 พ.ย.นี่แหละ เราเลยต้องรีบตาลีตาเหลือกไปดู “ร่างทรง” ในวันที่ 10 พ.ย. ก่อนที่เราจะไม่มีเวลาว่างเหลืออีกต่อไป

 

เราพยายามจะไม่อ่าน comments เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก่อนไปดูนะ เพราะเรากลัว spoil แต่เหมือนเพื่อน ๆ ใน facebook ไปดูหนังเรื่องนี้กันเยอะมาก ๆ เราก็เลยต้องเห็น comments แบบผ่าน ๆ ตาโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่ดีน่ะแหละ และเหมือนหลายๆ คนจะมีปัญหากับความไม่สมจริงในการเป็นสารคดีปลอมของหนังเรื่องนี้ เราก็เลยรู้ตัวล่วงหน้าว่า ก่อนดูหนังเรื่องนี้ เราต้องตั้ง suspension of disbelief ตรงจุดนี้เอาไว้เลย ว่าตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ เราต้องไม่เพ่งความสนใจไปยังความลักลั่นในการเป็นสารคดีปลอมของหนังเรื่องนี้เด็ดขาด ไม่งั้นเราจะไม่สนุก 55555 ซึ่งมันก็ช่วยได้จริง ๆ เพราะตอนที่ดูหนังเรื่องนี้ เราสนุกไปกับมันมาก ๆ แต่พอดูจบแล้ว แล้วย้อนคิดไปถึงความสมจริงในการเป็นสารคดีปลอมในแต่ละฉากของหนังเรื่องนี้แล้ว เราจะรู้สึกหงุดหงิดมาก ๆ ปวดหัวมาก ๆ เราก็เลยหยุดคิดตรงจุดนี้ดีกว่า 5555 และจะไม่เขียนอะไรถึงจุดนี้ เราคิดว่ามันเป็นข้อเสียอย่างนึงของหนังเรื่องนี้ แต่เราจะไม่คิดถึงมันอีกต่อไป และคนอื่น ๆ คงสาธยายอย่างละเอียดถึงเรื่องนี้ไปแล้วล่ะ 555

 

4.ชอบชื่อหนังภาษาอังกฤษมากนะ เพราะ THE MEDIUM นอกจากจะแปลว่า “ร่างทรง” แล้ว มันยังแปลว่า “สื่อ” แบบเอกพจน์ได้ด้วยน่ะ ถ้าหากเราเข้าใจไม่ผิด เพียงแต่ว่าถ้าหากเป็นคำพหูพจน์ ร่างทรงหลาย ๆ คน มันจะเป็น “mediums” แต่ถ้าหากเป็นสื่อแบบพหูพจน์ มันจะเป็น “media  เพราะฉะนั้นชื่อหนังภาษาอังกฤษเรื่องนี้ THE MEDIUM นอกจากจะทำให้เรานึกถึง “ร่างทรง” แล้วมันยังทำให้เรานึกถึง “ทีมงานถ่ายสารคดี” ที่ก็คงเป็น “สื่อ” ประเภทนึงเหมือนกัน และนึกถึง “ภาพยนตร์” ในฐานะ “สื่อ” อย่างนึงด้วย

 

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทางผู้สร้างหนังตั้งใจเล่นกับความหมายอันหลากหลายของคำว่า MEDIUM หรือเปล่า แต่เราก็จินตนาการต่อเล่น ๆ ว่า ทั้งคนทรง, ทีมงานหนังสารคดี, ทีมงานข่าว และภาพยนตร์ ในฐานะ medium/mediums/media บางทีมันก็อาจจะแชร์อะไรบางอย่างคล้าย ๆ กัน ในฐานะความเป็นสื่อกลาง ร่างทรงก็เป็นสื่อกลางระหว่างผีกับมนุษย์, สื่อมวลชนก็เป็นสื่อกลางระหว่างผู้ให้สัมภาษณ์/เหตุการณ์ และผู้ชม และภาพยนตร์ก็เป็นสื่อกลางระหว่างผู้สร้างหนังกับคนดู และบางทีความที่มันเป็นสื่อกลางนี้ มันก็เลยเผชิญกับทั้งความจริง/ความลวงและความไม่สามารถเข้าถึงความจริงทั้งหมด ของผี/เหตุการณ์/จุดประสงค์ของผู้สร้างหนังได้

 

5.ช่วงแรก ๆ ของหนังเราชอบมาก เพราะมัน relate กับความเป็นจริงในความคิดของเราได้ คือหลาย ๆ อย่างในหนังช่วงแรก ๆ มันทำให้เรานึกถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เคยได้ยินมาในโลกแห่งความเป็นจริงน่ะ อย่างเช่น

 

5.1 เรามีเพื่อนคนนึงที่อยู่ในตระกูลร่างทรงเหมือนกัน แต่เพื่อนคนนี้ไม่จำเป็นต้องประกอบอาชีพร่างทรง แต่พอเขาเกิดมาในครอบครัวนี้ เขาก็จะถูก “องค์ลง” ในบางครั้งได้ โดยที่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คืออยู่ดี ๆ อยู่เฉยๆ เขาก็จะมีอาการ “องค์ลง” ได้ อย่างไรก็ดี เราไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนนี้มานาน 20 กว่าปีแล้ว รู้แต่ว่าเขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งนึง

 

5.2 การที่มิ้งอุ้มเด็กหายไป ทำให้นึกถึงข่าวที่มีผู้ชายคนนึงอุ้มน้องจิน่าหายไป โดยอ้างว่าเป็นเพราะเจ้าป่าเจ้าเขา

https://www.thairath.co.th/news/crime/2188080

 

5.3 การที่มิ้งมีอาการ anti social แบบรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งการรังแกเด็กเล็ก, การตบคนบนรถสองแถว และการขว้างปาข้าวของในขบวนแห่ทางศาสนา มันทำให้นึกถึง “คนบ้า” ที่พร้อมจะกลายเป็นฆาตกรโรคจิตได้น่ะ และคนพวกนี้มันน่ากลัวสุด ๆ เพราะมันเจอได้ในโลกแห่งความเป็นจริง อย่างเช่นคนบ้าที่ฆ่าพ่อของ “ดาว มยุรี”
https://tnews.teenee.com/crime/9706.html

 

5.4 ในช่วงแรก ๆ ของหนัง เราก็ไม่แน่ใจว่าอาการของมิ้งเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติหรือเปล่านะ เพราะอาการเมนส์ไหลนองนี่ มันอาจจะเกิดจากโรคทางกรรมพันธุ์ก็ได้

 

5.5 ส่วนอาการที่มิ้งโรคจิตมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่ ในช่วงแรกๆ ของหนัง มันทำให้เราตั้งข้อสันนิษฐานในช่วงนั้นว่า

 

5.5.1 บางทีมันอาจจะเกิดจากอาการทางจิต เพราะสภาพครอบครัวมีส่วน อย่างเช่นในหนังเรื่อง REQUIEM (2006, Hans-Christian Schmid) ที่สร้างจากเรื่องจริง คือทั้ง REQUIEM และ THE EXORCISM OF EMILY ROSE (2005, Scott Derrickson) สร้างจากเหตุการณ์ผีเข้าอันเดียวกัน แต่เหมือน REQUIEM ตีความว่าเหตุการณ์ผีเข้าดังกล่าวไม่ได้เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด

 

5.5.2 หรือบางทีมิ้งอาจจะแค่เป็น “เชื้อโรคขึ้นสมอง” แบบตัวละครในหนังสองเรื่องที่สร้างจากเรื่องจริง ซึ่งก็คือหนังเรื่อง BRAIN ON FIRE (2016, Gerard Barrett) และ THE 8-YEAR ENGAGEMENT (2017, Takahisa Zeze) คือเหมือนพอเราดูหนังสองเรื่องนี้ แล้วเราเลยได้ข้อสันนิษฐานว่า คนหลายๆ คนที่เคยถูกเชื่อว่า “ผีเข้า” ในอดีตนี่ จริงๆ  แล้วพวกเขาอาจจะเป็นคนที่เชื้อโรคขึ้นสมองแบบในหนังสองเรื่องนี้ก็ได้ เพราะตัวละครในหนังสองเรื่องนี้ พอเชื้อโรคขึ้นสมองแล้ว พวกเขาแสดงอาการเหมือนกับคนที่ถูกผีเข้ามาก ๆ โดยเฉพาะการพูดอะไรหยาบ ๆ คาย ๆ, ควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป, ควบคุมการแสดงออกของตนเองไม่ได้อีกต่อไป และเสียสติมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

คือเราว่าเนื่องจากในอดีตมันยังไม่มีวิทยาการทางการแพทย์แบบนี้น่ะ เพราะฉะนั้นผู้ป่วยเชื้อโรคขึ้นสมองแบบใน BRAIN ON FIRE และใน THE 8-YEAR ENGAGEMENT ก็เลยอาจจะถูกชาวบ้านเข้าใจว่าเป็น “ผีเข้า” ก็ได้

 

6. แต่พอเข้าสู่ช่วงท้าย ๆ ของหนัง เราก็เชื่อแล้วล่ะว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับมิ้งและในพิธีช่วงท้ายเรื่อง น่าจะเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างแน่นอน อย่างไรก็ดี ถึงแม้เราจะยอมรับว่า ช่วงท้ายของหนังมันสนุก แต่มันทำให้เรา “ไม่กลัว” น่ะ เพราะเรารู้สึกว่ามันหนักมือมากเกินไป จนทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นกับชีวิตเราได้ในโลกแห่งความเป็นจริง

 

คือเราเป็นคนที่เชื่อเรื่องไสยาศาสตร์มนต์ดำสิ่งเหนือธรรมชาติคุณไสยภูติผีน่ะ เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่า ช่วงแรกของหนัง มันยังอยู่ใน “โลกแห่งไสยาศาสตร์ คุณไสย” แบบที่เราคุ้นเคยและเชื่อว่ามีจริง คือเราเชื่อว่า ถ้าหากเราเผลอตอบเสียงประหลาด ๆ ไป คุณไสยอาจจะเข้าตัวเราได้ อะไรทำนองนี้ และสิ่งนี้สามารถเกิดได้ในชีวิตประจำวันของเรา เพราะฉะนั้นพอหนังช่วงแรก ๆ มันอยู่ในโหมดนี้ เราก็เลยกลัวมัน เพราะเรารู้สึกว่าหนังมันยังคงอยู่ในโหมดที่สอดคล้องกับ “สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของเรา”

 

แต่พอผีหมาอาละวาดในช่วงท้ายเรื่อง เรารู้สึกว่า หนังมันเหมือน shift เข้าโหมด “โลกแห่งเสือสมิง” อะไรทำนองนี้ ซึ่งเรายอมรับว่ามันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในโลกของหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่มันทำให้เรา “ไม่กลัว” น่ะ เพราะเรารู้สึกว่า เราคงไม่ได้เจอเสือสมิงในชีวิตประจำวันน่ะ เหมือนเรามองว่า โอกาสที่เราจะเจอคุณไสยในชีวิตประจำวันอยู่ที่ 66% น่ะ แต่โอกาสที่เราจะเจอเสือสมิงในชีวิตประจำวันอยู่ที่ 6% น่ะ เพราะฉะนั้นพอหนังมัน shift เข้าโหมดผีหมา เราก็เลยไม่กลัวมันไปเลย 55555  (อันนี้คือมุมมองของคนที่เชื่อเรื่องไสยาศาสตร์อย่างมากๆ ค่ะ)

 

7.เพราะฉะนั้นฉากที่เราชอบสุด ๆ ในหนังเรื่องนี้ ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ช่วงต้น ๆ เรื่อง อย่างเช่น

 

7.1 ฉากรำถวายย่าบาหยัน ซึ่งทำให้นึกถึงไตเติลของละครทีวีเรื่อง “ปอบผีฟ้า” เวอร์ชั่นปีราว ๆ 1975 มาก ๆเพราะไตเติลของละครเรื่องนั้นก็เป็นกลุ่มสาว ๆ รำถวายผีฟ้า

 

7.2 ฉากหมาตายกลางถนน แล้วต้องขับรถหลบ คือเรากลัวอะไรแบบนี้มากกว่าฉากผีหมาช่วงท้ายเรื่อง

 

7.3 ฉากยายตาบอดเดินตอนกลางคืน

 

7.4 ฉากที่มิ้งกับทีมงานเหมือนเห็นผู้หญิงชุดขาวยืนจ้องอยู่ไกล ๆ

 

7.5 ฉากที่มิ้งเล่าถึงความฝัน เพราะมันทำให้นึกถึงที่เพื่อนเราเคยเล่าว่า เขาเคยฝันเห็นผู้ชายนุ่งชุดผ้าเตี่ยวแบบโบราณมาทำร้ายเขา

 

7.6 ฉากจากกล้องหน้ารถ taxi

 

8. ในส่วนของการแสดงนั้น เราชอบมาก ๆ เราว่าทุกคนเล่นได้ทรงพลังมาก ๆ โดนใจเรามาก ๆ

 

9.อย่างไรก็ดี พอดู "ร่างทรง" จบแล้วเราก็ได้ข้อสรุปว่า หนังสยองขวัญแนวสารคดีปลอมและ found footage ของไทยที่เราชอบมากที่สุด ก็ยังคงเป็นหนังเรื่อง "รำลึกเหตุการณ์เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2549" (2013, Pongsakorn Ruedeekunrungsi) หนังเรื่องนี้เคยติดอันดับ 8 ในลิสท์หนังสุดโปรดของเราประจำปี 2013 ด้วย

https://www.youtube.com/watch?v=m0Qsu6S_414

 

10.เราชอบ ร่างทรงในระดับ A+30 นะ เพราะมันสนุกดี และมันจริงจังดี เราชอบการนำเสนอเรื่องไสยาศาสตร์ในแบบจริงจัง ไม่ใช่แบบตลก เพราะเราเชื่อเรื่องไสยาศาสตร์เวทมนตร์ลี้ลับอาถรรพ์ต่าง ๆ แต่ถึงแม้เราจะชอบหนังเรื่องนี้มาก ๆ มันก็ไม่ใช่หนังแบบที่ เข้าทางเราจริง ๆ เพราะหนังแบบที่เข้าทางเราจริง ๆ คงเป็นหนังแบบที่ไม่ทำเงินแน่ ๆ และหลาย ๆ คนคงไม่ชอบ เพราะเราอยากให้หนังมันเป็น talking heads สัมภาษณ์คนต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องไสยาศาสตร์ไปเรื่อย ๆ ราว 50% ของเรื่อง โดยไม่เกี่ยวกับเส้นเรื่องหลักแต่อย่างใด คือเรารู้สึกว่าช่วงท้าย ๆ ของหนัง มันทำให้เราดีดตัวออกห่างจากหนัง เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงท้ายของหนัง หรือเวทมนตร์ไสยาศาสตร์เรื่องลี้ลับต่าง ๆ ในช่วงท้ายของหนัง มันดำรงอยู่เพียงเพื่อ satisfy ความต้องการของผู้ชมคนอื่น ๆ น่ะ 5555 แต่ถ้าหากหนังมันเต็มไปด้วย talking heads ที่คนต่าง ๆ พูดถึงเรื่องไสยาศาสตร์, ตำนาน, ความเชื่อต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ มันจะสอดคล้องกับความเชื่อของเราที่ว่าไสยาศาสตร์ผีสางแม่นางโกงเหล่านั้นมีอยู่จริง และมันไม่ได้ดำรงอยู่ เพื่อสร้างความสยองขวัญให้ผู้ชมแต่อย่างใด สรุปได้ว่า หนังเกี่ยวกับ ร่างทรงที่เราชอบ ก็คงเป็นแบบ BLUE SKY ACADEMY (2020, Choy Ka Fai, Singapore) นี่แหละ

 

คือจริง ๆ แล้ว พอหนังเรื่อง “ร่างทรง” มาในโหมด “สารคดีปลอม” แบบนี้ เราก็เลยจินตนาการว่า อยากให้หนังมีการผสมเรื่องจริงเข้ามาด้วย เพื่อสร้างความงุนงงให้ผู้ชม 5555 อย่างเช่น มีการไปสัมภาษณ์ร่างทรงจริง, ชาวบ้านที่พูดถึงตำนานที่มีอยู่จริง, ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติที่มีอยู่จริง แล้วก็ใส่ฉากเรื่องจริงเหล่านี้เข้ามาในหนังด้วย โดยไม่บอกคนดูว่ามันเป็นจริงหรือปลอม แล้วหนังก็ใส่ฉากชาวบ้านปลอม เล่าถึงตำนานปลอม ๆ ที่แต่งกันขึ้นมาสด ๆ, ความเชื่อปลอม ๆ ที่แต่งกันขึ้นมาสด ๆ เข้ามาในหนังด้วย อย่างเช่นใส่ฉากคุณยาย (ปลอม) เล่าถึงตำนานประจำหมู่บ้านว่า “ถ้าหากใครได้ร่วมรักกับชายหนุ่มอายุ 18 ปีในคืนวันเพ็ญตอนเที่ยงคืน ภายในรัศมี 15 กิโลเมตรจากศาลเจ้าแม่รรีการ คนนั้นจะถูกหวย เพราะการร่วมรักกับชายหนุ่มอายุ 18 ปีแบบนี้ ถือเป็นพลีกรรมที่สร้างความพึงพอใจให้เจ้าแม่รรีการอย่างถึงที่สุด” อะไรทำนองนี้ ใส่เข้ามาในหนังด้วย เพื่อให้คนดูงงเล่นว่าความเชื่อไหนมีจริงหรือไม่มีจริงกันแน่ 55555

 

No comments: