Friday, November 19, 2021

PBTB4

 

ดีใจสุด ๆ ที่ได้ดู MOB 2020-2021 (2021, Supong Jitmuang, 118MIN, documentary, A+30) ในวันนี้ ดีใจที่ได้เห็นชื่อของคุณสุพงษ์ จิตต์เมืองอีกครั้ง เพราะเราเคยชอบหนังสารคดีของเขาในปี 2007 มาก ๆ เรื่อง “โรงเรียนชาวนา จากข้าวขวัญ...สู่ขวัญของชาวนาไทย” FARMER FIELD SCHOOL (2007, 38min) เราเคยเขียนถึงหนังสารคดีเรื่องนี้ลงในเว็บบอร์ด bioscope ด้วย แล้วก็ copy สิ่งที่เขียนไว้มาเก็บใน blog ของตัวเอง ดีใจที่ยังมีเก็บเอาไว้ใน blog
https://celinejulie.blogspot.com/2007/08/memory-of-last-december.html

 

ผู้บ่าวไทบ้าน อีสานจ้วด... (2021, Uthen Sririwi, A+25)

 

SPOILERS ALERT

--

--

--

--

--

1.เราเฉย ๆ กับตัวพล็อตเรื่องหรือโครงเรื่องหลักนะ ซึ่งอาจจะแยกเป็นส่วน ๆ ได้ดังนี้

 

1.1 เรื่องความรักระหว่างพระเอกกับนางเอกที่เราไม่ค่อยอิน (อันนี้อาจจะไม่ใช่ความผิดของหนังนะ แต่เรามักจะไม่อินกับตัวละครที่มีความรัก แต่เรามักจะอินสุด ๆ กับตัวละครที่มีปัญหาทางการเงิน) และที่แน่ ๆ คือเรามักจะไม่อินกับตัวละคร “หญิงสาว” ที่มีผู้ชายมาชอบเพราะเห็นว่าเธอสวยตรงสเปก แบบนางเอกในเรื่องนี้น่ะ

 

1.2 ส่วนเรื่องคนชราในชนบทเป็นอัลไซเมอร์นั้นมันน่าสนใจดี แต่เราว่ามันดูลอย  ๆ ยังไงไม่รู้ เหมือนหนังแค่ทำให้เราได้รับรู้ว่าตัวละครมีปัญหาอย่างนี้ แต่มันก็เหมือนไม่ได้นำพาไปสู่อะไรที่น่าสนใจจริง ๆ ซึ่งเราว่ามันเป็นเพราะหนังไม่ได้มีฉากระหว่างพระเอกกับแม่มากเท่าที่ควรด้วยแหละ คือเรารู้สึกว่าหนังทำให้เรารู้สึกได้จริง ๆ ว่าพระเอกผูกพันกับนางเอก และพระเอกผูกพันกับเพื่อน (ปีเตอร์ ช่างตัดผม) แต่หนังไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่า พระเอกผูกพันกับแม่มากเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นพล็อตอัลไซเมอร์มันเลยดูเหมือนเป็นส่วนประกอบที่ใส่เข้ามาในอาหาร แต่ยังไม่ได้ถูกเคี่ยวให้เข้ากับส่วนอื่น ๆ ในอาหารอย่างเต็มที่

 

1.3 ส่วนพล็อตเรื่องส่วนของน้องสาวนางเอกนั้น มันก็ดีแบบก้ำกึ่งน่ะ คือมันดีที่ตัวน้องสาวนางเอกมีปัญหาส่วนตัวเป็นของตัวเอง แต่พอปัญหาของน้องสาวนางเอกมันดูธรรมดา หรือมันดูเป็นเรื่องไม่น่าสนใจสำหรับเรา เราก็เลยรู้สึกก้ำกึ่ง

 

1.4 ส่วนเรื่องปัญหาทะเลาะกับเพื่อนบ้านนั้นเราก็รู้สึกก้ำกึ่งเล็กน้อยเช่นกัน คือฉากพวกนี้มันก็ตลกดีน่ะแหละ แต่มันดูแล้วรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็น function ที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกตลกแล้วนำไปสู่ความซาบซึ้งแบบจงใจยังไงไม่รู้ คือถ้าหากตัวละครคุณป้าทั้งสองมีฉากอื่น ๆ ที่ “ไม่ตลก และไม่ซาบซึ้ง” แต่เป็นฉากที่ไม่ได้จงใจสร้างผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้นต่ออารมณ์ของผู้ชมมากกว่านี้ หรือเป็นฉากที่ให้รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของคนในชนบทโดยไม่ต้องทำตลก เราก็อาจจะรู้สึกว่าตัวละครคุณป้าทั้งสองดูเป็นมนุษย์มากขึ้น และไม่ได้มี function เพื่อสร้างความตลกและซาบซึ้งกับผู้ชมเพียงเท่านั้น

 

คือดูแล้วแอบนึกถึงตัวละครคุณป้าคนนึงในหนังแบบ “15 ค่ำเดือน 11” (2002, Jira Maligool) น่ะ ที่เราจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่ามีตัวละครคุณป้าคนนึงในหนังเรื่องนั้นที่เหมือนมี function เดียวในหนัง คือออกมาพูดอะไรแบบภูมิปัญญาชาวบ้านหรืออะไรทำนองนี้ ถ้าจำไม่ผิด

 

แต่จริง ๆ แล้วก็ชอบตัวละครคุณป้าทั้งสองในหนังผู้บ่าวไทบ้านภาคนี้มากพอสมควรนะ รู้สึกว่าคุณป้าทั้งสองเล่นได้เก่งสุด ๆ ทั้งในฉากตลก, ฉากซึ้ง และฉากเศร้า และเราชอบมาก ๆ ที่บทตลกตกเป็นของคุณป้าทั้งสอง แทนที่จะเป็นของกลุ่มผู้ชายห่าม ๆ โง่ ๆ ในหมู่บ้าน หรืออะไรทำนองนี้ เพียงแต่ว่าอยากให้คุณป้าทั้งสองดูมีเลือดเนื้อมากกว่านี้อีกหน่อยนึง นอกเหนือไปจากการมี function ในการสร้างผลกระทบทางอารมณ์ต่อผู้ชม

 

1.5 ส่วนพล็อตที่เฉยสุด ๆ คือความอยากทำร้านลาบแบบอินดี้ของพระเอก คือเหมือนหนังแทบไม่ได้แสดงให้เรารู้สึกเลยว่า พระเอกมี passion จริง ๆ ในการทำสิ่งนี้ หรือมีความคู่ควรใด ๆ ที่จะประกอบอาชีพนี้ นอกจากการให้พระเอกพูดถึงสิ่งนี้เป็นประจำ และมีฉากการทำอาหารใส่เข้ามาในหนังบ้างเล็กน้อย

 

2.แต่ถึงแม้เราจะเฉย ๆ กับพล็อต แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราชอบหนังถึงระดับ “มากเกือบสุด ๆ” (หรือ A+25) ก็เป็นเพราะเรารู้สึกว่า มันมีความละเมียดทางอารมณ์ในแต่ละฉากน่ะ และนักแสดงก็เล่นดีใช้ได้เลย คือเหมือนเราไม่ชอบ “โครงเรื่อง” แต่ชอบ “รายละเอียดทางอารมณ์ในแต่ละฉาก” น่ะ โดยเฉพาะฉากที่พระเอกกับนางเอกคุยกันบนสะพานลอยตอนต้นเรื่องนี่ สุดยอดมาก ๆ ชอบฉากนั้นมาก ๆ

 

3.แล้วพอดูหนังเรื่องนี้ในเวลาไล่เลี่ยกับ “ส้มป่อย” แล้วทำให้เราพบปัญหาใกล้เคียงกันเลย นั่นคือฉาก climax ต้องให้พระเอกพยายามหายานพาหนะในการไล่ตามนางเอกให้ทันเพื่อยื้อยุดนางเอกไว้+บอกความในใจ มันก็เลยทำให้หนังทั้งสองเรื่องนี้ดู cliche ตรงจุดนี้ไปพร้อมๆ กันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 55555 คือเหมือนจุดที่เราไม่อินในหนังทั้งสองเรื่องนี้ก็คือพล็อตเรื่องแบบ romantic สูตรสำเร็จน่ะ แต่ยังดีที่หนังทั้งสองเรื่องนี้มีจุดที่เราชอบมาก ๆ มาชดเชยหรือทดแทนได้ โดยในส้มป่อยนั้นเราชอบตัวละครนางเอกและชอบการล้อเลียนความเป็นกุลสตรีมาก ๆ ส่วนในผู้บ่าวไทบ้าน 4 นั้น เราชอบความละเมียดทางอารมณ์ในแต่ละฉากมาก ๆ และเราว่าตัวละครก็ดูเป็นมนุษย์กว่ามาก ๆ เมื่อเทียบกับส้มป่อย (แต่ส้มป่อยมีประเด็นที่น่าสนใจกว่า) เราก็เลยชอบหนังทั้งสองเรื่องนี้ในระดับเกือบสุด ๆ เหมือนกัน ถึงแม้เราจะเบื่อพล็อตโรแมนติกในหนังทั้งสองเรื่องนี้ 55555

 

4.โอบนิธิหล่อสุด ๆ 55555

No comments: