เห็นช่วงนี้หลายคนพูดถึง Hidetoshi Nishijima ก็เลยขอบันทึกไว้ว่า ดิฉันตกหลุมรักเขาในวันที่ 20 พ.ย. 2004 เมื่อดิฉันได้ดูหนังเรื่อง 2/DUO (1996 Nobuhiro Suwa, Japan) ตอนหนังเรื่องนี้มาฉายที่ WORLD TRADE CENTER (CENTRAL WORLD) เหมือนก่อนหน้านั้นดิฉันเคยดูหนังที่เขาแสดงมาแล้วหลายเรื่องนะ ทั้ง LICENSE TO LIVE, LOVE/JUICE, DOLLS, etc. แต่ไม่เคยรู้สึกว่าเขาตรงสเปคมาก่อนเลย จนกระทั่งได้ดู 2/DUO นี่แหละ ที่ทำให้ดิฉันหลวมตัว ตกเป็นภรรยาของเขา นี่ดิฉันเป็นภรรยาของเขามานาน 17 ปีแล้วหรือเนี่ย
------THE LAST DUEL (2021, Ridley Scott, A+30)
1.ดีงาม นึกว่าต้องฉายควบกับ DESOLATION ANGELS (1995, Tim McCann) และ FROM MIYAMOTO TO YOU (2019, Tetsuya Mariko)
2.ตกใจมากตอนเห็นชื่อ Ben Affleck ขึ้นมาท้ายเรื่อง เพราะจำเขาไม่ได้เลย
3.กลายเป็นว่าพอดูหนังเรื่องนี้แล้วเลยเข้าใจหน้าที่เชิงแฟนตาซีของ PROMISING YOUNG WOMAN 2020, Emerald Fennell, A+30) มากขึ้น เพราะหนังที่เน้นความสมจริงอย่าง THE LAST DUEL มันจะทำให้เรารู้สึกว่า ตัวละครบางตัวที่สมควรโดนตบ ยังไม่ได้โดนตบในตอนจบน่ะ ซึ่งก็คงสอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริง เพราะฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องสร้างแฟนตาซีแบบ PROMISING YOUNG WOMAN ขึ้นมา เพื่อจะได้ตบเรียงตัวอีเหี้ยอีห่าทุกตัว 555
-----
MIDNIGHT คืนฆ่าไร้เสียง (2021, Kwon Oh-seung, South Korea, A+30)
หนังที่เหมาะสำหรับเราจริง ๆ ช่วง 2 ใน 3 แรกของหนังนี่ลุ้นระทึกมาก แต่หลังจากนั้นก็รู้สึก drop ลงนิดนึงเพราะรู้สึกเหมือนหนังจงใจช่วยให้ตัวละครมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะไม่งั้นหนังจะจบเร็วเกินไป 555
นึกถึงความสนุกสุดขีดที่เราได้รับจากหนังอย่าง
DOOR LOCK (2018, Kwon Lee, South Korea)
KRISTY (2014, Olly Blackburn)
THE CALL (2013, Brad Anderson)
TRAPPED (1989, Fred Walton)
-----
MIDNIGHT คืนฆ่าไร้เสียง (2021, Kwon Oh-seung, South Korea, A+30)
หนังที่เหมาะสำหรับเราจริง ๆ ช่วง 2 ใน 3 แรกของหนังนี่ลุ้นระทึกมาก แต่หลังจากนั้นก็รู้สึก drop ลงนิดนึงเพราะรู้สึกเหมือนหนังจงใจช่วยให้ตัวละครมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะไม่งั้นหนังจะจบเร็วเกินไป 555
นึกถึงความสนุกสุดขีดที่เราได้รับจากหนังอย่าง
DOOR LOCK (2018, Kwon Lee, South Korea)
KRISTY (2014, Olly Blackburn)
THE CALL (2013, Brad Anderson)
TRAPPED (1989, Fred Walton)
----
THE SEA STARES AT US FROM AFAR (2017, Manuel Munoz Rivas, Spain, documentary, 93min, A+30)
หนังสารคดีที่ถ่ายชายหาดแห่งนึงในสเปน โดยแทบไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในหนัง แต่แค่มองดูเม็ดทรายเคลื่อนตัวไปมา เราก็รู้สึกว่ามันงดงามสุด ๆ แล้ว
หนังไปสุดทางมาก ๆ กราบสถานทูตสเปนที่เลือกหนังแบบนี้มาฉายในไทย
นึกว่าสร้างขึ้นมาเพื่อปะทะกับหนังไตรภาคชุด SUN (2012, Teeranit Siangsanoh, 163min) ที่ถ่ายชาดหาดแห่งนึงในภาคใต้ของไทย โดยที่แทบไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในหนังเหมือนกัน
-----
THE HALT (2019, Lav Diaz, Philippines, 4hours 39mins, A+30)
SPOILERS ALERT
--
--
--
--
--
1. น่าสนใจดีที่ตัวละครหลายตัวในหนังมีปัญหาทางจิตแตกต่างกันไป ทั้งปธน.ที่ชอบแต่งตัวเป็นผู้หญิง, ฝังใจกับแม่ และต้องเปิดเพลงเมทัลดังลั่นบ้านเพื่อรับมือกับอาการประสาทแดกของตนเอง, Marissa ที่มีอาการเหมือนหัวจะระเบิด (ถ้าเราจำไม่ผิด) , นางเอกที่อยากดื่มเลือดสด ๆ และนักประวัติศาสตร์ที่ร้องห่มร้องไห้หนักมาก
จุดนี้ทำให้นึกถึงหนังที่เราชอบสุด ๆ เรื่อง MAPS TO THE STARS (2014, David Cronenberg) นะ ที่ตัวละครหลายตัวในหนังมีปมทางจิตอย่างรุนแรงหนักมากเหมือนกัน แต่ปมทางจิตของตัวละครแต่ละตัวใน MAPS TO THE STARS มันดูมีเสน่ห์น่าดึงดูดน่าหลงใหลสำหรับเราอย่างสุด ๆ เลยน่ะ แต่ปมทางจิตของตัวละครใน THE HALT มันดูเหมือนมีระยะห่างจากเรามากพอสมควร เหมือนเราทำได้เพียงแค่เฝ้าสังเกตอาการของตัวละครเหล่านี้ และอาจจะพยายามตีความอาการของตัวละครเหล่านี้ แต่ใน MAPS TO THE STARS นั้น เรารู้สึกเหมือนได้สัมผัสลึกเข้าไปในอาการทางจิตของตัวละคร
2.ตัวนักประวัติศาสตร์ที่ร้องไห้อย่างรุนแรง ทำให้เรานึกถึง Iris Chang โดยที่หนังไม่ได้ตั้งใจ เพราะ Iris Chang ฆ่าตัวตายโดยที่เราไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร แต่เธอศึกษาปวศ.ที่โหดร้ายมาหนักมากน่ะ ทั้งเรื่อง THE RAPE OF NANKING และเรื่องที่คนตายจำนวนมากในฟิลิปปินส์ช่วง WWII เพราะฉะนั้นพอเราเห็นนักปวศ.ร้องไห้ในหนังเรื่องนี้ เราก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่าการเป็นนักปวศ.ที่ศึกษาความโหดร้ายในอดีต บางทีมันส่งผลกระทบต่อจิตใจหนักมากด้วย อย่างเช่นในกรณีของ Iris Chang
3.รู้สึกเหมือนหนังเรื่องนี้จบอย่างมีความหวังมากกว่าหนัง Lav Diaz หลาย ๆ เรื่องนะ 55555 เพราะถึงแม้ระบอบการปกครองยังไม่ถูกเปลี่ยนแปลง แต่ "โชคชะตา", "พลังจักรวาล" หรืออาจจะเป็นพระเจ้า ก็หันมาเล่นงานคนชั่วบ้าง ในขณะที่เรามักจะรู้สึกว่าจักรวาลหรือพระเจ้าในหนังเรื่องอื่น ๆ ของ Lav Diaz ตั้งหน้าตั้งตากลั่นแกล้งคนดีอย่างรุนแรง 55555
4.ไม่แน่ใจว่าทั้ง SEASON OF THE DEVIL (2018), THE HALT และ GENUS PAN (2020, A+30) นี่จริง ๆ แล้วมันเป็นหนังด่า Duterte เหมือนกันทั้งสามเรื่องหรือเปล่า เพราะเราแอบคิดว่า บางทีหนังทั้งสามเรื่องนี้อาจจะมีจุดประสงค์เดียวกัน นั่นก็คือการวิพากษ์สังคมยุค Duterte เพราะฉะนั้นหนัง 3 เรื่องนี้ก็เลยใช้ genre ต่างกันไป เพื่อจะได้ไม่ดูคล้ายกันมากนัก โดย SEASON OF THE DEVIL ออกมาในแบบ MUSICAL, THE HALT เป็นไซไฟ ส่วน GENUS PAN เป็นหนังดราม่า
5.ดูแล้วนึกถึงหนังไซไฟอีกเรื่องของ Diaz ด้วย ซึ่งก็คือ HESUS THE REVOLUTIONARY (2002) ที่เคยมาฉายที่ห้องสมุดมหาลัยธรรมศาสตร์ เพราะเป็นหนังไซไฟทุนต่ำ, พูดถึงอนาคตในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า, วิพากษ์การเมืองเหมือนกัน และพระเอกของหนังทั้งสองเรื่องนี้ก็เป็นทั้งนักรบ, นักแม่นปืน และ rock musician เหมือนกันทั้งสองเรื่องด้วย 55555
แต่ HESUS THE REVOLUTIONARY เน้นฉากแอคชั่นยิงกันนะ ซึ่งเราจะไม่เห็นสิ่งนี้ใน THE HALT และถ้าเข้าใจไม่ผิด HESUS THE REVOLUTIONARY เป็นหนังวิพากษ์กลุ่มคอมมิวนิสต์ในฟิลิปปินส์ ไม่ใช่หนังเน้นด่ารัฐบาลเหมือน THE HALT
6.การที่พระเอกกลายไปเป็น NGO นี่เป็นอะไรที่น่าคิดมาก ๆ
7.สนใจการที่นานาชาติพยายามประณามแผนการร้ายของประธานาธิบดีที่พยายามสังหารหมู่ประชาชน คือเหมือนนานาชาติดูเหมือนจะเป็นพลังที่ดีในหนังเรื่องนี้
คือหนังคงไม่ได้ตั้งใจ แต่จุดนี้ทำให้เรานึกถึงความแตกต่างระหว่างเผด็จการยุคนี้กับในยุคสงครามเย็นด้วยน่ะ เพราะเผด็จการในหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงทั้ง Marcos กับผู้นำชั่วในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ในทศวรรษ 1970-1980 แต่ผู้นำพวกนั้นส่วนใหญ่มีอเมริกาอยู่เบื้องหลัง เพื่อใช้กอบโกยผลประโยชน์ให้สหรัฐ ภายใต้ข้ออ้างว่าเพื่อต้าน communists ในสงครามเย็นน่ะ เพราะฉะนั้นเผด็จการในยุคนั้น เลยเหมือนได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากต่างชาติ (สหรัฐ) แต่เหมือนเผด็จการในยุคนี้จะเปลี่ยนไปแล้วมั้ง ทั้งในไทย, เมียนม่า, ซีเรีย, เกาหลีเหนือ, จีน ที่ไม่ได้ทำเพื่อสหรัฐอีกต่อไป แล้วผู้นำที่ออกแนวเผด็จการในหลาย ๆ ประเทศในปัจจุบัน ก็มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยด้วย มันก็เลยน่าสนใจดีสำหรับเรา ว่าอะไรใน human nature ที่ทำให้ประชาชนหลายคนเลือกผู้นำแบบนี้
----
GLASSES (2007, Naoko Ogigami, Japan, A+30)
ชอบสุด ๆ ชอบที่หนังแทบไม่มี conflict อะไรเลย ชอบไอเดียของหนังมาก ๆ ด้วยที่มันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่มีอะไรให้ดู แต่ต้องการให้นักท่องเที่ยวนั่งเหม่อลอยไปเรื่อย ๆ
รู้สึกว่า sense ความตลกของหนังมันตรงกับเราอย่างสุด ๆ ด้วย แต่สิ่งที่เราฮาโดยที่หนังไม่ได้ตั้งใจ ก็คือการที่ตัวละครทุกตัวในหนังเหมือนไม่มีปัญหาทางการเงินเลย โดยเฉพาะเจ้าของโรงแรมที่แทบไม่มีแขกมาพัก คือเขาดูเหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใดที่แทบไม่มีแขกมาพักโรงแรมของเขา
คือบางทีการที่คนเราจะมีความสุขกับการนั่งเหม่อไปได้เรื่อย ๆ นี่ บางทีมันก็ต้องเป็นคนที่มีเงินมากพอที่จะมีเวลาว่างทำอะไรแบบนี้ได้นะ 555
ดูหนังเรื่องนี้แล้วนึกถึงเรื่องสั้นในนิตยสาร "แพรวสุดสัปดาห์" หรืออะไรทำนองนี้เมื่อ 30 ปีก่อน ที่ตัวละครนางเอกพักผ่อนหย่อนใจด้วยการ "นั่งรถเมล์ไปจนสุดสาย" นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ แล้วพอสุดสายแล้วค่อยนั่งรถเมล์ย้อนกลับมา ซึ่งเป็นไอเดียที่เราชอบมากตอนเด็ก ๆ แต่ก็ไม่เคยทำในความเป็นจริง แล้วจะมาทำตอนนี้ก็ไม่ได้ด้วย เพราะคงเจอกับมลพิษ และเราก็อาจไม่ได้ที่นั่งบนรถเมล์ด้วย 555
แต่ก็อยากจะทำอยู่ดีนะ อยากทำแบบนางเอกนิยายเรื่องสั้นเรื่องนั้น พักผ่อนหย่อนใจด้วยการนั่งรถไฟฟ้า เหม่อลอยไปเรื่อย ๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย ๆ จนสุดสายปลายทาง
----
ON A MAGICAL NIGHT (2019, Christophe Honore, France, A+25) ชอบไอเดียของหนังมาก ๆ แต่ดูแล้วไม่อินและไม่ซึ้งเท่าหนังอย่าง PEGGY SUE GOT MARRIED รักนั้น...หากเลือกได้ (1986, Francis Ford Coppola) หรือ WHEN MARGAUX MEETS MARGAUX (2018, Sophie Fillieres, A+30)
----
DUNE (2021, Denis Villeneuve, A+30)
1.กราบตีน อลังโคมมาก ๆ ขลังมาก ๆ ชอบที่โลกอนาคต/ไซไฟทั้งในหนังเรื่องนี้และ HARD TO BE A GOD (2013, Akeksey German, Russia) มีความเป็นยุโรปยุคมืดหรือยุคเมื่อราว 500-1000 ปีก่อนอยู่ด้วย
2.เมื่อกี้ลองเข้าไปดูประวัติของลัทธิ BENE GESSERIT แล้วหนักมาก นึกว่ารุนแรงพอ ๆ กับประวัติการเปลี่ยนราชวงศ์ในยุคกรุงศรีอยุธยา
https://www.wikiwand.com/en/List_of_Dune_Bene_Gesserit
3.อยากมีอิทธิฤทธิ์เปล่งเสียงแล้วคนทำตาม นึกว่าพอมีทหารบุกมา เราก็เปล่งเสียงว่า "พวกเจ้าทุกคนจงมาเป็นผัวข้า" อะไรทำนองนี้
No comments:
Post a Comment